ฮ่องเต้ปรายตามองเจียงหนิงอย่างสงสัย และทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของนาง พระองค์ก็จดจำได้ทันทีว่านางคือสตรีที่พระองค์ตามหามาตลอด “นางผู้นี้ทำอันใดผิดหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสถามเซี่ยวหลานด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความคาดคั้น
เซี่ยวหลานชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังคงตอบอย่างหนักแน่น “นางทำผิดกฎระเบียบ ผู้ต่ำกว่าระเมิดผู้สูงกว่าเพคะ”
ฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรัสเสียงเย็นชา “ข้าได้ยินมาว่าตำหนักของเจ้ามักมีสาวใช้ถูกทุบตีหรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตำหนักของเจ้าคงจะเข้มงวดถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เซี่ยวหลานเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันจากคำพูดของพระองค์ นางรีบก้มหน้าลงและกล่าวอย่างรวดเร็ว “พระองค์โปรดระงับโทสะเพคะ ข้าเป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้ ข้าดูแลคนของข้า และนางผู้นี้เป็นเพียงสาวใช้”
ทันใดนั้น ฮ่องเต้ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงแฝงอำนาจและหนักแน่น “ผู้ใดบอกเจ้าว่านางเป็นเพียงสาวใช้? นางผู้นี้เป็นผู้หญิงของข้า”
เมื่อเซี่ยวหลานได้ยินเช่นนั้น นางถึงกับตื่นตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจอย่างที่สุด นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าสาวใช้ที่นางพยายามจะลงโทษคือคนที่ฮ่องเต้ตามหามาตลอดและเป็นผู้หญิงของพระองค์ นางรีบย่อกายลงคำนับ แต่ในใจของเซี่ยวหลานเริ่มเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความอิจฉาที่ล้นเอ่อ
ฮ่องเต้ยืนตรงอย่างสง่างาม สายพระเนตรแน่วแน่พลางหันไปสั่งขันทีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ “ขันที! เจ้าเขียนราชองค์การบัดเดี๋ยวนี้ แต่งตั้งให้หญิงผู้นี้เป็นสนมของข้า”
เมื่อคำสั่งถูกเปล่งออกไป ขันทีก็รีบคำนับและเริ่มเตรียมตัวปฏิบัติตาม ฮ่องเต้หันกลับมามองเจียงหนิงซึ่งนั่งก้มศีรษะอยู่ใกล้ ๆ พระองค์กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “เจ้าชื่ออันใด?”
เจียงหนิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างนอบน้อม “ข้าชื่อเจียงหนิงเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะตรัสอย่างหนักแน่น “แต่งตั้งให้เจียงหนิงเป็นพระสนมของข้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และให้นางพำนักอยู่ในวังหลง”
ทันทีที่คำสั่งดังกล่าวออกมา เจียงหนิงรู้สึกถึงความสำเร็จของแผนที่นางวางไว้ นางยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ขณะเดียวกัน เซี่ยวหลานกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างที่สุด นางรู้สึกเหมือนถูกหักหน้าและถูกแทนที่อย่างไม่ยุติธรรม
“สาวใช้ผู้ต่ำต้อยจะคู่ควรกับตำแหน่งพระสนมได้อย่างไรกัน?” เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงคัดค้าน นางไม่สามารถระงับความโกรธได้อีกต่อไป
ฮ่องเต้หันมามองเซี่ยวหลานด้วยสายพระเนตรที่เย็นชาและทรงพลัง “เจ้ากล้าขัดตามความประสงค์ของข้าหรือ?”
เซี่ยวหลานรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความยำเกรง “มิบังอาจเพคะ”
ความเงียบครอบคลุมบริเวณนั้นขณะที่ฮ่องเต้หันกลับมาหาเจียงหนิงอีกครั้ง พระองค์ก้าวไปประคองร่างของเจียงหนิงอย่างอ่อนโยน ให้นางลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่งอยู่ เจียงหนิงแอบยิ้มอย่างพอใจ รู้ว่านางได้บรรลุสิ่งที่ต้องการแล้ว ขณะที่เซี่ยวหลานยังคงยืนอยู่ข้างหลัง รู้สึกถึงความพ่ายแพ้และความอิจฉาที่ไม่อาจระงับได้
ฮ่องเต้ยืนสง่างามอยู่เบื้องหน้าสนมทั้งสอง พระสุรเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความหนักแน่นและทรงอำนาจ “นับตั้งแต่บัดนี้ เจ้าทั้งสองเป็นสนมเหมือนกัน จงอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขและเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความทะเลาะเบาะแว้งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า”
คำสั่งนั้นเหมือนเป็นการเตือนล่วงหน้า ไม่ใช่เพียงแค่ให้ปฏิบัติตามกฎของวังเท่านั้น แต่ยังเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยเจตนาที่จะป้องกันความบาดหมางในภายภาคหน้า สายพระเนตรของฮ่องเต้จับจ้องทั้งเจียงหนิงและเซี่ยวหลานอย่างแน่วแน่
เซี่ยวหลานก้มศีรษะลงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางไม่อาจปฏิเสธคำสั่งได้ เจียงหนิงเองก็ย่อกายลงแสดงความเคารพ แต่ภายในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความพอใจ นางรู้ดีว่าตอนนี้ตนได้รับพระกรุณาจากฮ่องเต้มากเพียงใด
ไม่นานนัก ฮ่องเต้ก็หันไปประคองเจียงหนิงด้วยพระหัตถ์อันอบอุ่น นำพานางก้าวเดินออกจากตำหนักอย่างเงียบ ๆ ทิ้งเซี่ยวหลานยืนอยู่เพียงลำพัง ความโกรธและความอิจฉาที่เก็บงำไว้ภายในกลับยิ่งเพิ่มพูน นางมองตามร่างของฮ่องเต้และเจียงหนิงที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจระงับได้ ในขณะที่บรรยากาศรอบข้างค่อย ๆ เงียบสงบลง
หลังจากนั้น ฮ่องเต้ได้นำพาเจียงหนิง เด็กสาวผู้ใสซื่อ มายังห้องของพระองค์ ขณะที่เข้ามาในห้อง เจียงหนิงแสร้งทำเป็นหวาดกลัวต่อผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าขึ้นมาในทันที “ท่านคือฮ่องเต้หรือ?” นางถามด้วยเสียงสั่นเครือ
ฮ่องเต้ยิ้มเยาะ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงท้าทาย “ตอนนี้เจ้ากลัวข้าแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้เจ้ายังดูหยิ่งยโสอยู่มิใช่หรือ?” พระองค์กล่าวขณะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าสวยของเจียงหนิง สายตาของเขาจับจ้องนางอย่างไม่ละสายตา
เมื่อเจียงหนิงได้ยินเช่นนั้น นางรีบคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว “ก่อนหน้านี้ ข้าหยิ่งยโส และพูดจาล่วงเกินท่าน ขอให้ท่านโปรดอภัย” นางกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อมและถ่อมตน
ฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตรัส “ข้าเพียงล้อเล่นกับเจ้า” พระองค์ยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่เจียงหนิงจะกล่าวต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ ที่คอยทำความสะอาด จะคู่ควรเป็นสนมของท่านได้หรือ?”
ฮ่องเต้ยืนนิ่งก่อนจะตอบกลับอย่างแน่วแน่ “ข้าบอกว่าเป็นได้ก็เป็นได้ วันก่อนเจ้าวิ่งหนีข้าเร็วมาก ทำให้ข้าต้องเสียเวลาหาอยู่นาน”
เจียงหนิงจึงยิ้มบาง ๆ พร้อมกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ประจบประแจง “ทว่าท่านก็สามารถหาข้าจนพบ เปรียบเสมือนทหารเทพจากสวรรค์ที่ลงมาช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
ฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ และกล่าวอย่างหยอกเย้า “แสดงว่าสวรรค์ลิขิตให้เจ้ากับข้ามาคู่กัน” ทันใดนั้น พระองค์ก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ริมฝีปากของพระองค์จะสัมผัสริมฝีปากของเจียงหนิง
ขณะนั้น เจียงหนิงรู้สึกถึงความอบอุ่นและสัมผัสอันอ่อนนุ่มจากการบดจูบของฮ่องเต้ ใจของนางเต้นแรง แต่ในใจกลับคิดไปไกล “นี่แผนการของข้าสำเร็จไปอีกหนึ่งแล้วหรือ?” นางคิดในใจอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะที่ยังคงยืนด้วยท่าทีอ่อนโยนและใสซื่อ
หลังจากนั้น ฮ่องเต้ใช้วงแขนแกร่งของพระองค์ช้อนร่างบอบบางของเจียงหนิงขึ้นอย่างเบามือ ราวกับผ้าผืนบางในอ้อมกอดของพระองค์ จากนั้นฮ่องเต้ค่อย ๆ วางนางลงบนเตียงนอนอย่างนุ่มนวล ผืนผ้าไหมของเตียงรองรับร่างกายของนางอย่างอ่อนโยน ขณะที่เจียงหนิงยังคงตกอยู่ในภวังค์แห่งความรู้สึกอันซับซ้อน
ขณะเดียวกันฮ่องเต้ก้มหน้าลงอีกครั้ง สายพระเนตรที่จับจ้องไปยังนางเต็มไปด้วยเสน่ห์และความปรารถนา ริมฝีปากของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของนาง ก่อนจะจูบนางอีกครั้ง ในความเร้าร้อนกำลังจะเริ่มขึ้นนั้น จู่ ๆ เจียงหนิงใช้มือเรียวบางผลักแผ่นหน้าอกอันกว้างใหญ่ของบุรุษตรงหน้าเบา ๆ
“ช้าก่อนเพคะ” เจียงหลิงกล่าวห้าม
“มีอันใดหรือ?” ฮ่องเต้ชะงักก่อนจะกล่าวถาม
“คือแผ่นหลังข้า มีรอยบาดแผล ซึ่งไม่น่ามอง หม่อยฉันเกรงว่าพระองค์เห็นแล้วจะไม่พอพระทัยเพคะ”
“อืม! ไม่เป็นอันใด เจ้าอย่าได้กังวนใจ เจ้าสามารถอยู่บนตัวข้างได้ ข้าอนุญาติ”
หลังจากนั้นเขาก็ก้มหน้าจูบนางอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เสื้อผ้าอาภรณ์ของทั้งสองถูกล่วงกองอยู่พื้น ฮ่องเต้ผู้มีพระพักหล่อเหล่า เชยชมเรือนร่างของเจียงหนิงอย่างเมามัน ก่อนแท่งหยกจะทิ่มแทงยังรูสวาทของนาง ร่างบิดเกร็งของเจียงหนิงทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยยิ่งนัก ไม่นานจึงทำให้ฮ่องเต้เสียน้ำขาวขุ่นไปถึงสามน้ำตลอดทั้งคืน ทั้งสองแทบไม่เป็นอันพักผ่อน ด้วยความหลงไหลเพราะความเจ้าเสน่ห์ของเจียงหนิงจึงทำให้ฮ่องเต้เริ่มหลงรักนาง
ในตำหนักที่เต็มไปด้วยความหรูหรา เสียงของสิ่งของที่ถูกขว้างกระทบผนังดังก้องไปทั่ว เซี่ยวหลาน ผู้มีใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยโทสะ กำลังยืนหอบหายใจด้วยความไม่พอใจ ร่างกายของนางสั่นสะท้านจากความโกรธ “เจียงหนิง! เจ้าบังอาจหลอกข้ามาตั้งนาน ข้าควรจะฆ่าเจ้าเสียให้สิ้นเรื่อง!” นางเสียงดังลั่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
สาวใช้คนหนึ่งที่ยืนก้มศีรษะอยู่ใกล้ ๆ รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น “พระสนมเซี่ยวเพคะ โปรดระงับโทสะก่อนเถิดเพคะ ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเจียงหนิงมาก หากท่านคิดขัดพระประสงค์ จะยิ่งทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยนะเพคะ”
คำพูดนั้นดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มเชื้อไฟให้กับความโทสะในใจของเซี่ยวหลาน “เจ้าจะให้ข้าทนอยู่เช่นนี้หรือ! เจียงหนิงเหมือนจงใจมาดูถูกข้า! ข้าคือพระสนมเอกผู้ยิ่งใหญ่ กลับต้องมาทนเห็นนางได้ดีไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้หรือ?”
สาวใช้ยังคงก้มศีรษะต่ำ พลางพูดต่ออย่างระมัดระวัง “หากพระสนมหลี่ทราบเรื่องนี้ พระนางคงไม่ยอมเป็นแน่เพคะ พระสนมหลี่นั้นหัวโบราณ และพระนางมักจะกล่าวร้ายให้เจียงหนิงเสมอ หากท่านสนับสนุนพระสนมหลี่ นี่อาจเป็นโอกาสดีที่จะกำจัดเจียงหนิงได้เพคะ”
คำพูดนั้นทำให้เซี่ยวหลานนิ่งคิด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโทสะเริ่มเปลี่ยนเป็นความคิดคำนวณ “พระสนมหลี่… ใช่แล้ว นางมักใช้สถานะทางครอบครัวของนางมากดข้าตลอดเวลา หากเรื่องนี้ไปถึงนาง ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่านางจะทำเช่นไร”
เซี่ยวหลานหยุดเคลื่อนไหว ความโกรธที่เคยแสดงออกอย่างชัดเจนเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบ แต่ในดวงตาของนางยังคงเปล่งประกายแห่งความเคียดแค้น นางหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอย่างเงียบ ๆ ทว่าในใจยังคงเก็บความโกรธเกรี้ยว
เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในห้องโถงที่สว่างสดใสของตำหนักหลง แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่ข้างเจียงหนิง พระพักตร์ของทั้งสองเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะและการสนทนาแสนหวานดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่น
“ท่านจะชมข้า ว่าข้าสวยใช่หรือไม่?” เจียงหนิงกล่าวถามด้วยสายตาที่อ่อนหวานและแฝงด้วยความขี้เล่น
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางด้วยสายตาที่อ่อนโยน “เจ้านี่ฉลาดนัก จึงสามารถสอนได้ ข้าเพียงสอนเจ้าเพียงเล็กน้อย เจ้าก็เข้าใจเร็วเสียจริง”
เจียงหนิงยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนจะเอียงหน้าเข้าใกล้ฮ่องเต้ “งั้นสิ่งที่ท่านสอนข้าเมื่อคืนนี้ ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจนัก เหตุใดท่านไม่สอนข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้ฟังแล้วคลี่ยิ้ม พลางเอื้อมพระหัตถ์เชยคางนางขึ้น และก้มลงจูบเบา ๆ บนริมฝีปากของนาง เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและหลงใหล ก่อนที่ทั้งคู่จะผละออกจากกัน
ในขณะนั้น ขันทีก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบและน้อมคำนับต่ำ “พระสนมหลี่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทหารยามได้ยินเช่นนั้น ก็เริ่มลังเล กลัวว่าตนจะมีความผิดหากขัดขวาง จึงยอมให้เจียงหนิงและไป๋เหม่ยเข้าไปภายในตำหนักของเซี่ยวหลานแผนการของเจียงหนิงเป็นไปตามที่วางไว้ ปิงปิงสามารถสร้างความวุ่นวายและแทรกซึมเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกขังไว้ในตำหนักเซี่ยวหลานได้ แต่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ปิงปิงก็กลับมายังตำหนักของเจียงหนิงด้วยใบหน้าเศร้าหมองและท่าทางอิดโรยเจียงหนิงรีบก้าวเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าช่วยทุกคนได้หรือไม่? และสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”ปิงปิงก้มหน้าด้วยความโศกเศร้า “สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนักเพคะ ข้าเข้าไปช่วยมาได้เพียงสองคนเท่านั้น นอกนั้นถูกฆ่าตายหมดแล้วเพคะ”ไม่นานนัก อาซีและน้องสาวของนางก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทางอ่อนแรงและซีดเซียว เจียงหนิงรีบสั่งให้สาวใช้ไปนำยามาให้อาซีดื่มเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ก็ไม่ทันการณ์ ร่างของอาซีที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว ทรุดลงและสิ้นใจต่อหน้าเจียงหนิง น้องสาวของอาซีร้องไห้เสียงดังด้วยความเสียใจที่พี่สาวของตนต้องจากไปเจียงหนิงมองภาพนี้ด้วยความสลดใจ นางรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยอาซีได้ แม้ว่านางจะพยายามเต็มที่แล้ว ความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นทำ
เซี่ยวหลานแสร้งทำเป็นยิ้มเยาะ “ท่านคงพูดล้อเล่นกับข้าใช่หรือไม่เพคะ” นางหันไปมองเจียงหนิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วถามอย่างท้าทาย “เจ้าเห็นว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เจียงหนิงตอบด้วยท่าทางสุภาพ “ในด้านของรูปลักษณ์ ในความงามไม่มีผู้ใดในวังเทียบพระสนมเซี่ยวได้”แม้คำตอบจะฟังดูเป็นการยกย่อง แต่เซี่ยวหลานยังไม่หยุดเยาะเย้ย นางมองเจียงหนิงด้วยสายตาจับผิด “ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงแค่สิงกว่า เหตุใดเจ้าถึงดูซีดเซียวเช่นนี้เล่า เจ้าเองก็อายุน้อยกว่าข้าตั้งหลายปี ไยหน้าตาถึงดูแก่กว่าข้ามากเช่นนี้เล่า หรือช่วงนี้เจ้ารับใช้ฮ่องเต้มากเกินไปใช่หรือไม่?”คำพูดที่เสียดแทงของเซี่ยวหลานทำให้บรรยากาศอึมขรึม แต่เจียงหนิงกลับยิ้มบาง ๆ นางไม่ตอบคำใด ๆเซี่ยวหลานหันกลับมาหาฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้มแฝงนัยยะ “ท่านไปที่ตำหนักข้าจะดีกว่าเพคะ ให้สนมเจียงได้พักผ่อนบ้าง จะได้ไม่ทำงานหนักจนเกินไปเพคะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย “อืม” ก่อนจะก้าวเดินตามเซี่ยวหลานไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งเจียงหนิงไว้เพียงลำพังหลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปแล้ว ไป๋เหม่ยก้าวเข้ามาใกล้เจียงหนิงด้วยสีหน้าครุ่นคิด นางกระซิบเบา ๆ “ข้าได้กลิ่นยาจากตัวพระสนมเซี่ยวมาแต่ไกล
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ หม่อมฉันใส่ชุดนี้สวยหรือไม่? นี่คือชุดที่ท่านมอบให้ข้าเมื่อวันก่อน” เซี่ยวหลานกล่าวพร้อมปรายตามองเจียงหนิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฮ่องเต้ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นจากจานอาหารและหันมามองเซี่ยวหลานก่อนจะเอ่ยปากชื่นชม “เจ้าใส่ชุดนี้ช่างดูดียิ่งนัก”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยวหลานรู้สึกปลื้มใจจนฉีกยิ้มอย่างไม่กระดากอาย นางเต็มไปด้วยความสุขที่ได้รับคำชมจากฮ่องเต้ “ข้ามีชุดนอนที่ใช้เนื้อผ้าน้อยที่สุด จะให้ท่านดูด้วยเพคะ” เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยวนฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ และตอบกลับ “เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะไปดู”เซี่ยวหลานไม่ยอมหยุดแค่นั้น นางหันมามองฮ่องเต้พร้อมส่งสายตาเย้ายวน “เหตุใดต้องรอให้ถึงค่ำคืนนี้เล่าเพคะ?”ฮ่องเต้หันไปมองเจียงหนิงเพียงชั่วครู่ เมื่อเจียงหนิงเห็นท่าทีเช่นนั้น นางจึงลุกขึ้นทันที “ข้านึกได้ว่ามีธุระที่จะต้องไปทำ ข้าขอตัวก่อนเพคะ” เจียงหนิงลุกขึ้นย่อคำนับต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยความสงบขณะที่เจียงหนิงกำลังจะเดินออกจากห้อง เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้ามาทำให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่? เป็นอย่างไรบ้างที่โดนไล่ออกจากห้องเช่นนี้?”เจียงหนิงหันหลังเดินออกไป นางหยุดชั่
หลินมู่อย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้านี้บังอาจยิ่งนัก ฆ่าลูกข้าถึงสองคน แล้วกล้าใส่ร้ายสนมเจียงอีก! ข้าคิดว่าเจ้าจะดีกว่าทุกคน เห็นหน้าใสซื่อ แต่ไม่คิดว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทหาร นำตัวนางผู้นี้ไปขังไว้ในห้องเย็น ห้ามมิให้นางออกมาจนกว่านางจะสิ้นชีพ!”หลินมู่ที่ยังตกใจจากการถูกตบ รีบคลานไปเกาะชายเสื้อของฮ่องเต้พลางอ้อนวอน “หากข้าต้องไปอยู่ในห้องเย็น ข้าคงตายแน่ ๆ โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด!”ฮ่องเต้กลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเคยบอกว่าเจ้าแข็งแกร่ง ออกรบมานักต่อนัก ไยคราวนี้กลับมาร้องขอความเมตตาเช่นนี้? เจ้าช่างโหดร้ายยิ่งนัก และข้าจะปลดพ่อเจ้าออกจากตำแหน่งในไม่ช้านี้ นำตัวนางออกไป!”หลังจากนั้น ฮ่องเต้หันกลับมาหาเจียงหนิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวข้าจะกลับมา ข้าจัดการธุระให้เสร็จสิ้นก่อน ถิงถิง เจ้าดูแลสนมเจียงต่อเถิด”เมื่อฮ่องเต้ก้าวพ้นประตูห้องไป เจียงหนิงพลันลุกขึ้นนั่งด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ นางรู้ดีว่าแผนการของตนเองได้ผลอย่างสมบูรณ์เจียงหนิงนั่งเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มขณะมองถิงถิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความสงสัยในใจ นางจึงเอ่ยถามเบา ๆ “เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้าหรือ?”ถิงถิงยิ้ม
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจียงหนิงยืนอยู่บริเวณทางเดินในวังหลวง สายตาของนางจับจ้องไปที่หลินมู่ซึ่งกำลังเดินตรงมาทางนางพร้อมกับท่าทางมุ่งมั่น สาวใช้ของเจียงหนิงที่ยืนอยู่ข้างกายนางเหลือบมองหลินมู่และกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบาแฝงความเย้ยหยัน “เมื่อฮ่องเต้กลับจากการล่าสัตว์ในป่าคราวก่อน ก็ไม่เคยเสด็จไปหาสนมหลินอีกเลยเพคะ”เมื่อหลินมู่เดินเข้ามาใกล้ เจียงหนิงและสาวใช้ต่างพูดคุยและจ้องมองหลินมู่ ทำให้หลินมู่รู้สึกถึงความดูถูกที่ซ่อนอยู่ในแววตาของทั้งสอง นางหยุดเดินและเอ่ยถามทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้ากำลังนินทาข้าอยู่หรือไม่? หากใช่ก็ระวังปากพวกเจ้าไว้ให้ดี มิฉะนั้น ข้าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้น ๆ”สาวใช้เจียงหนิงได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ตอบ เจียงหนิงกลับยิ้มเยาะและกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เมื่อคืนเจ้าโกรธเกรี้ยวฮ่องเต้มากมิใช่หรือ จึงหยิบดาบฟาดฟันสิ่งของไปทั่ว? หากเจ้ารู้สึกเบื่อไยไม่รายรำเพลงดาบให้สบายใจเล่า เจ้ามีฝีมือเรื่องเพลงดาบมิใช่หรือ? ข้าอยากชมเป็นขวัญตายิ่งนัก”คำพูดนั้นทำให้หลินมู่โกรธจัด นางกัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าบังอาจมากไปแล้ว! เห็นข้าเป็นตัวตลกม
หลินมู่ได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “พระสนมเซี่ยว โปรดระงับโทสะก่อนเพคะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร พระสนมเจียงมีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมากมาย ข้าตามเกมนางไม่ทันเพคะ”เซี่ยวหลานขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม พลางถามเสียงเข้ม “เรื่องอันใดเจ้าสู้นางมิได้หรือ?”เมื่อหลินมู่ได้ยินคำถามนี้ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงของนางสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบ “พระสนมเจียง... ตั้งครรภ์เพคะ”คำตอบนั้นทำให้เซี่ยวหลานตะลึงทันที นางยืนนิ่ง ความคิดวิ่งวุ่นในหัว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ ความรู้สึกสับสนและหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจของนาง นี่เป็นเหตุการณ์ที่นางไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น การที่พระสนมเจียงตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่นางเคยวางแผนเอาไว้ในตำหนักอันเงียบสงบ ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์อย่างสง่างาม โดยมีเจียงหนิงนั่งอยู่ข้างกาย ท่าทางของฮ่องเต้ดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อพระองค์เหลือบมองสนมที่กำลังตั้งครรภ์ ด้วยสายตาแห่งความห่วงใย“ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต้องดูแลตนเองให้ดี ยิ่งอาหารการกินก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่ยัง