บทที่ 4 ความฝันของนาเนียร์
“หึหึ” เฮดเตอร์หัวเราะในคออย่างเงียบเชียบ เขากอดอกยืนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเย็นราวกับวิเคราะห์เครื่องยนต์กลไกมากกว่ามนุษย์
มุมปากเขาเหยียดเป็นรอยยิ้มบางๆ ไม่ใช่รอยยิ้มเป็นมิตร ไม่ใช่เยาะเย้ย แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เจออะไรบางอย่างที่ ‘ผิดปกติจากที่ควรจะเป็น’
“อยากนั่งหลังพวงมาลัยเหรอ…” เขาทวนคำช้าๆ น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “…ไม่คิดเหรอว่าแค่ยืนดูอยู่ห่างๆ จะปลอดภัยกว่า”
นาเนียร์ไม่ได้ตอบในทันที ดวงตาเธอกลับจ้องตรงกลับไป แม้จะมีแววลังเลน้อยๆ แต่ก็ไม่หลบสายตาเขา
“บางทีก็คิดค่ะ…แต่เนียร์ไม่เคยชอบอยู่ห่างๆ อะไรที่ตัวเองสนใจ”
เธอเอ่ยเรียบๆ แต่มั่นคง ไม่อวดดี ทว่าก็ไม่อ่อนแอ
คำตอบนั้นทำให้เฮดเตอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่แววตาคล้ายจะพินิจเธอลึกขึ้นอีกระดับ คล้ายเครื่องจับแรงสั่นสะเทือนที่เริ่มตรวจพบแรงบิดที่ไม่เคยมีในระบบ
“…ไอ้ณเลี้ยงมายังไงนะ ถึงได้กล้าแบบนี้” เขาพึมพำ แต่ไม่ใช่กับเธอ พูดกับตัวเองเสียมากกว่าก่อนจะหันกลับไปมองรถในสนามอีกครั้ง
GT-R Spec Z วิ่งครบรอบที่สามแล้ว เสียงเครื่องยังแน่น เสถียร และควบคุมได้ดีเยี่ยม ทีมวิศวกรรอบสนามเริ่มปรบมือเบาๆ ให้กับผลงานที่เป็นรูปธรรมของเดือนแห่งการประกอบ
เฮดเตอร์หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นแนบปาก พูดคำสั่งสั้นๆ
“นำรถกลับเข้าพื้นที่พัก รอเช็กระบบภายในอีกทีตอนห้าโมง” จากนั้นเขาก็หันกลับมาทางนาเนียร์อีกครั้ง “เธอชอบรถ…แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเข้าใจมัน”
เขาก้าวเข้าใกล้เธอไปเล็กน้อย สีหน้าขรึมจริงจัง
“ถ้าอยากลองนั่งหลังพวงมาลัยสักครั้ง…ก็พิสูจน์ให้เห็นก่อนว่ามีค่าพอจะนั่งตรงนั้น”
นาเนียร์ยืนนิ่ง ยอมรับคำพูดนั้นโดยไม่โต้กลับ เธอรู้…สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่แค่คำท้าทาย แต่มันคือเงื่อนไข คือบททดสอบในเกมที่เธอก้าวเข้ามาแล้วอย่างไม่อาจหันหลังกลับ
และใช่
เธอจะพิสูจน์มัน
เพราะบางสิ่งในดวงตาเย็นชาคู่นั้น…เธอก็อยากมองทะลุเหมือนกัน
ทันทีที่ร่างสูงของเฮดเตอร์เดินหายลับไปทางประตูทางเข้าด้านใน พร้อมกลุ่มวิศวกรระดับหัวหน้าที่เดินตามหลังอย่างมีระเบียบ สนามทดสอบก็คล้ายเบาลงในบรรยากาศทันที เหมือนแรงกดดันที่เคยกดทับอยู่เมื่อครู่ถูกยกออกไปในพริบตา
นาเนียร์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาจับจ้องไปยังร่องล้อบนจุดออกตัวสนาม เหมือนจิตใจยังตามแรงเครื่องยนต์ไปไม่ทัน
“เนียร์!” เสียงของณคุณดังขึ้นพร้อมฝีเท้าเร่งรีบ เขาเดินตรงเข้ามาหาน้องสาว สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “เมื่อกี้พี่เห็นเฮียเดินออกไปทางนี้…เขาว่าหรือดุอะไรเราหรือเปล่า?”
นาเนียร์หันมาช้าๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ค่ะ ไม่ได้ดุ…แค่คุยนิดหน่อย”
“คุย?” ณคุณขมวดคิ้ว “เฮียเตอร์เนี่ยนะคุยเฉยๆ…”
“ก็แบบ…พูดน้อยๆ น่ะค่ะ” เธอหัวเราะน้อยๆ แต่ไม่ถึงกับตลก “แต่พี่ณไม่ต้องห่วง เขาไม่ได้กัดหนู ไม่ได้ไล่ ไม่ได้ขู่ เขาแค่…เป็นเขา”
ณคุณยังมองเธอไม่วางตา ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงฉายแววไม่ไว้วางใจ
“แน่ใจนะว่าโอเค เฮียเขาไม่ชอบให้ใครเดินเพ่นพ่านแถวสนามแบบนี้ ต่อให้เป็นน้องใครก็ตาม”
นาเนียร์พยักหน้ารับ
“แน่ใจค่ะ…หนูโอเค และหนูก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย”
ณคุณยังคงถอนหายใจในแบบพี่ชายที่กลัวว่าน้องจะเดินเข้าไปในรังเสือโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพียงแค่มองหน้าน้องสาวอีกครั้งเหมือนกำลังชั่งใจว่า
ควรพอเท่านี้หรือไปต่อดี
“…งั้นดีแล้ว” เขาพึมพำในที่สุด ก่อนจะพูดเปลี่ยนเรื่อง “ไป เดี๋ยวพี่พากลับ แวะกินอะไรมั้ย หรือจะรีบกลับไปอ่านหนังสือ?”
นาเนียร์ยิ้ม
“เอาเป็นว่าแวะกินก่อน แล้วค่อยกลับไปอ่านแบบเต็มสติก็แล้วกันค่ะ”
ณคุณหัวเราะเบาๆ พลางลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดูปนเหนื่อยใจ
“พี่ไม่น่าต่อราคากับเราน้อยกว่าสามบทเลยจริงๆ…”
เสียงหัวเราะเบาๆ ของทั้งสองคลอเคลียอยู่ท่ามกลางลมยามบ่ายที่พัดผ่านสนามทดสอบว่างเปล่าเบา แต่แน่นแฟ้น
ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังความบังเอิญที่เธอได้เจอกับเขาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ กำลังกลายเป็นอะไรที่มากกว่านั้น…และอาจจะเริ่มซับซ้อนกว่าที่ใครคิดไว้มากนัก
นาเนียร์เดินแยกตัวออกมาจากพี่ชายเพื่อไปเอาของที่โต๊ะทำงานในห้องเอกสาร เธอเดินผ่านกลุ่มลูกน้องของณคุณก็ค้อมศีรษะทักทายตามมารยาท
“น้องนาเนียร์ เย็นนี้ว่างไหมครับ”
“เอ่อ…”
“พอดีพวกพี่ว่าจะไปกินเลี้ยงกันหน่อย อยากชวนน้องไปด้วย”
“เนียร์ต้องถามพี่ณก่อนค่ะ ถ้าพี่ณอนุญาตก็ได้ไป”
“ไม่อนุญาตครับ น้องกูต้องกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบ”
“อ๋า…เซ็งเลย พี่ณขัดคอฉิบ”
“น้อยๆ หน่อยพวกมึง”
“ไอ้ณ มึงก็ต้องไปด้วย” เสียงของเฮดเตอร์ดังขึ้นทำให้เสียงหัวเราะของทุกคนเงียบไป เพราะทุกสายตากำลังมองไปที่เขาอยู่
“เอ่อ…ผมต้องไปส่งน้องที่บ้านก่อน”
“ไม่เป็นไรพี่ณ น้องกลับเองได้”
“เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน”
“นี่น้องพี่ณนะ เรื่องแค่นี้สบายมาก”
ณคุณมองหน้าน้องสาวก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ไม่ได้หรอก พี่มีเราคนเดียว เดี๋ยวพี่แวะส่งเราก่อนก็ได้”
เฮดเตอร์ยืนกอดอกอยู่ห่างจากกลุ่มลูกน้องไม่กี่ก้าว ร่างสูงในชุดดำเรียบไร้โลโก้ แต่กลับทำให้ทุกสายตาต้องลดระดับสายตาลงอย่างไม่รู้ตัว แม้เขาจะพูดน้อย แต่แค่เสียงเดียวก็เหมือนเครื่องเบรกแรงสูงที่หยุดบทสนทนาทุกทิศทางได้ทันที
“เดี๋ยวเอารถกูไปก็ได้” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ทว่าแฝงแรงกดดันจนทุกคนที่ยืนอยู่รอบนั้นพลันนิ่งเงียบอีกระลอก “…กูจะนั่งไปด้วย”
นาเนียร์ที่กำลังยิ้มแห้งๆ อยู่ระหว่างพี่ชายกับกลุ่มลูกน้องของเขา ถึงกับกะพริบตาปริบๆ หันไปมองเฮดเตอร์ที่ยืนอยู่ในท่าทางเรียบเฉยเหมือนพูดเรื่องอุณหภูมิของน้ำฝน
ณคุณหันขวับทันที
“เฮียไม่ต้องลำบากหรอกครับ เดี๋ยวผมส่งเองได้”
“ไม่ลำบาก” เฮดเตอร์ตอบทันควัน “ถือว่าเส้นทางเดียวกัน กูแค่จะไปดูสถานที่ใหม่แถวๆ นั้น แล้วจะได้คุยเรื่องสัญญารถกับมึงต่อด้วยเลย”
เสียงเงียบงันปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ลูกน้องบางคนจะแอบสบตากันอย่างอดขำไม่ได้
แล้วใครบางคนก็กระซิบเบาๆ
“โห…สายเปย์แบบไม่ตั้งใจหรือเปล่าวะ”
นาเนียร์แสร้งยิ้ม แต่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จะปฏิเสธก็ใช่ที่ จะเงียบก็เหมือนยอมรับกลายๆ เธอเลยเลือกเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างระมัดระวัง
“ถ้าเฮียเตอร์จะผ่านแถวนั้นอยู่แล้ว…เนียร์คงไม่รบกวนมากใช่ไหมคะ”
เฮดเตอร์ไม่ตอบตรงๆ เขาเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย มองเธอราวกับจะบอกว่า ‘ถามทำไมในเมื่อฉันพูดแล้ว’ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปโดยไม่ต้องรอใคร
“ไปเจอกันที่หน้าตึก ห้านาที” เขาทิ้งท้ายเรียบๆ
ณคุณยืนนิ่งอยู่อีกครู่ ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วหันมาทางน้องสาว
“ห้ามพูดอะไรแปลกๆ ห้ามเถียง ห้ามซักถาม ห้ามแซวเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
นาเนียร์พยักหน้าเร็ว
“เข้าใจค่ะ”
“…แล้วก็ห้ามเงียบเกินไปด้วย เดี๋ยวจะดูน่าสงสัย”
“พี่ณอะ!”
เสียงหัวเราะเบาๆ ผ่อนคลายขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่ แม้ในใจจะยังงงๆ ว่าทำไมเจ้านายถึงอยากนั่งรถไปด้วย
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือนาเนียร์กำลังจะได้นั่งรถคันเดียวกับเฮดเตอร์ครั้งแรก และแน่นอนว่าไม่น่าจะเงียบ อย่างที่เธอหวังไว้เลย
บทที่ 15 เป็นพาร์ทเนอร์กันไหม?นาเนียร์ก้าวลงจากรถ ขาทั้งสองข้างสั่นพั่บๆ จนต้องหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตัวเองล้มพับลงกับพื้น“ไหวไหมเนี่ยน้องนาเนียร์”“ไหวค่ะ”“เฮียเตอร์พาไปลองรถมาเหรอ”“ค่ะ”เธอพยักหน้าให้รุ่นพี่เบาๆ แล้วถอดหมวกกันน็อกออก“โห หน้าซีดมาก ไหวแน่นะน้อง”“ไหวค่ะไหว” เธอตอบกลับโดยไม่เงยหน้ามองรุ่นพี่ จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านใน เจอแอร์และพัดลมเย็นๆ ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง และในจังหวะนั้น ณคุณก็เดินถือกล่องเครื่องมือเดินผ่านพอดี“ไปทำไรมาเนี่ย ไหนพี่ดูสิ” เขาไม่ได้เดินผ่านไป แต่กลับรีบปนี่เข้ามาหาน้องสาวเพราะเห็นว่านาเนียร์หน้าซีดมาก“เฮียเตอร์พาไปลองรถ เกือบตายแน่ะ”“หืม? พาน้องไปลองรถมาเหรอ”“ค่ะ”ณคุณขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบ น้ำเสียงก็เปลี่ยนจากความเป็นห่วงเป็นแข็งขึ้นเล็กน้อย“แล้วทำไมหน้าซีดขนาดนี้” เขาหันไปมองรอบๆ ราวกับกำลังหาเป้าหมายที่ชื่อเฮดเตอร์นาเนียร์รีบโบกไม้โบกมือ“ไม่ใช่แบบนั้นพี่ณ…ก็แค่…เฮียเขาขับเร็วมากน่ะ น้องยังไม่ชิน”แต่คำอธิบายนั้นไม่ได้ช่วยให้ณคุณคลายสีหน้าขุ่นเคืองลง เขาวางกล่องเครื่องมือลงบนโต๊ะใกล้ๆ แล้วใช้มือจับแขนน้องสาวให้หมุนตัวไปมาเบาๆ“ไ
บทที่ 14 สนใจเสียงเครื่องยนต์คำรามแข่งกับลมที่กระแทกกระจกอย่างต่อเนื่อง รถพุ่งทะยานไปตามโค้งของสนามด้วยความเร็วที่ทำให้ท้องไส้ของนาเนียร์เหมือนถูกดึงรั้งไว้ด้านหลัง เธอกำเข็มขัดตัวเองแน่น เท้าก็เหยียบพื้นแน่นคล้ายจะช่วยเขาเบรกรถ แม้รู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยให้รถช้าลงเลยสักนิดเฮดเตอร์เหลือบตามองเธอจากมุมสายตา เห็นใบหน้าใต้หมวกกันน็อกที่ซีดนิดๆ กับริมฝีปากที่เม้มแน่นเหมือนพยายามเก็บอาการ เขายกยิ้มบาง ไม่ใช่ยิ้มเอ็นดู แต่เป็นยิ้มของคนที่กำลังพอใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายตกอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง“กลัวเหรอ” เสียงของเขาทุ้มต่ำ แทรกผ่านเสียงเครื่องยนต์เข้ามาในหูเธอ“มะ…ไม่กลัวค่ะ” นาเนียร์ตอบสั้นๆ แต่สายตายังจ้องถนนข้างหน้า“ไม่กลัวก็หันมามองสิ”เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองเขาตามที่บอก แล้วก็ต้องเผลอกลืนน้ำลาย เพราะระยะห่างระหว่างใบหน้าของเขากับเธอตอนนี้ใกล้จนเห็นประกายแววตาคมชัดทุกเส้นสาย ราวกับเขาตั้งใจจะให้เธอสบตาแล้วจมอยู่ในนั้นเฮดเตอร์กระตุกพวงมาลัยเข้าโค้งแรง จังหวะนั้นแรงเหวี่ยงทำให้ร่างของนาเนียร์เอียงเข้าหาเขาโดยอัตโนมัติ มือหนาของเขายกขึ้นมารับไว้ที่เอวอย่างรวดเร็ว“จับไว้ดีๆ” เขากร
บทที่ 13 ลองเครื่องนิ้วเรียวยาวของเฮดเตอร์วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะลูบหน้าผากตัวเองแรงๆ ทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด คราวนี้ไม่ใช่เพราะเอกสารตรงหน้า ไม่ใช่เพราะเสียงครางจากปลายสายก่อนหน้า…แต่เพราะความเงียบที่วนกลับมาอีกครั้ง มันเหมือนหลอกให้เขาต้องกลับมานั่งอยู่กับความรู้สึกที่ตัวเองก็ยังไม่อยากยอมรับเขาก้มมองโทรศัพท์อีกครั้ง นิ้วไถรายชื่ออย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดที่ชื่อสุดท้ายในกลุ่มที่พอไว้ใจได้“ลีออง” ตัวเลือกสุดท้ายติ๊ด…เสียงรอสายดังเพียงแค่สองครั้ง(ว่าไงมึง วันนี้เงียบเหงาเหรอ ถึงได้โทร.หาผมเนี่ย)เสียงกวนประสาทของลีอองดังขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงเบาๆ ที่เปิดคลออยู่ด้านหลัง ไม่ใช่เสียงหอบ ไม่ใช่เสียงหญิงสาว ไม่ใช่เสียงเตียงลั่นแอ๊ดแอ๊ดเฮดเตอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกปนขบขันเล็กๆ เป็นครั้งแรกของคืน“อย่างน้อยก็มีมึงที่ว่าง…”(ไม่ว่างก็ต้องว่างแหละ โทรมาขนาดนี้ หายากนะที่มึงจะโทร.หากูก่อน ดึกแล้วด้วย มีไรว่ามา)“ไม่มีอะไรมาก แค่อยากเช็กว่ากูไม่ได้เหลือแค่เอกสารกับเสียงพัดลมในห้องทำงาน และที่สำคัญกูโทร.หามึงคนสุดท้าย”(หืมมมม~ ฟังดูเหงาแปลกๆ นะมึง หรือลูกน้องมึงแอบทิ้งไปเสพสุขกันหมดแล้ว?)เฮดเ
บทที่ 12 คนในอดีตณคุณทิ้งความงุนงงไว้ข้างหลัง ก่อนปั่นหน้ายิ้มแย้มเมื่อนาเนียร์เดินมาถึงรถพอดี“พี่ณ วันนี้ทำงานเหนื่อยมากๆ ขออ้อนได้ไหม”“ก๋วยจั๊บร้านประจำ?” ณคุณเอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจน้องสาว ทำเอาคนที่ตั้งใจมาอ้อนพี่ชายให้พาไปกินของอร่อยต้องหลุดยิ้มดีใจ“เก่งจัง รู้ใจน้องไปหมดเลย”“นี่พี่เรานะ เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ทำไมจะไม่รู้”“ขอบคุณนะพี่ณ ที่ไม่ทอดทิ้งน้องไปไหน”นาเนียร์จับชายเสื้ิพี่ชายเบาๆ แกว่งมือไปมาอย่างเขินอาย จากนั้นเธอก็เขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มพี่ชายเบาๆ“อะไรเนี่ย หอมแก้มพี่ทำไม”“ขอบคุณ รู้สึกอยากขอบคุณและอยากขอโทษพี่ณที่ทำตัวให้ปวดหัว”“ไม่เอาน่า ไปหาอะไรกินกันเถอะ”“อืม”ขณะเดียวกันก็มีสายตาหนึ่งคู่ที่มองลงมาจากห้องทำงาน เฮดเตอร์มองสองพี่น้องที่เดินเคียงกันไปขึ้นรถ มุมปากเขาเหยียดยิ้มบางๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน22:00 บ้านของณคุณ“ตัวแสบ จะอ่านหนังสือถึงกี่โมงเนี่ย พรุ่งนี้ตื่นสายไม่รู้ด้วยนะ”“น้องไม่เคยตื่นสาย แต่ว่าอยากอ่านบทนี้ให้จบก่อนค่ะ”“เอางั้น?”“อืม แป๊บเดียว”“งั้นพี่อยู่เป็นเพื่อน”“โอเคค่ะ” นาเนียร์ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อณคุณหยิบหนั
บทที่ 11 ไม่เข้าใจเหตุผล“เฮ! ทำไมหน้าซีดแบบนั้น ไม่สบายเหรอ”ณคุณตะโกนเรียกน้องสาว เมื่อนาเนียร์เดินเข้ามาใกล้ เขาก็รีบถอดถุงมือช่างออกแล้วยกขึ้นไปอังหน้าผากน้องสาวทันที “ก็ไม่ได้ตัวร้อน ทำไมทำหน้าเครียดมาแบบนั้น”“พี่ณ”“หืม?”“คนเราสามารถมีอะไรกับคนที่ไม่ใช่คนรักของตัวเองได้เหรอ”ณคุณแทบสำลักน้ำลายกับคำถามตรงๆ ของน้องสาว และรุ่นน้องที่กำลังก้มหน้าทำงานอยู่ข้างๆ ถึงกับอ้าปากค้าง มองหน้านาเนียร์พร้อมกัน“หุบปาก” ณคุณหันไปสั่ง เพราะรู้ว่ายังไงก็ถูกแซวแน่ๆ ก่อนจะหันไปมองหน้านาเนียร์ จากนั้นจึงดึงแขนเธอเดินไปยังมุมที่ไม่มีคนพลุกพล่านเท่าไร “อะไร ทำไมเราถามพี่แบบนี้”“ก็แค่อยากรู้ค่ะ แต่ว่าพี่ณก็เคยทำนี่นา”“พะ พอเลยๆ ไม่ต้องพูด”“ก็น้องอยากรู้นี่คะ”“พี่เชื่อว่าเรามีคำตอบในใจแล้ว”“แล้วพี่ณคิดว่าเนียร์จะตอบอะไร”“พี่รู้น่าตัวแสบ ไปทำงานได้แล้ว และอย่าลืมว่าอีกไท่กี่วันเขาจะเปิดสอบแล้ว ตั้งใจหน่อย”“ครับผม จะไม่ทำให้พี่ณผิดหวัง”นาเนียร์ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้แววตายังดูไม่สดใสเท่าปกตินัก ทว่าก็พยายามกลบเกลื่อนความสับสนในใจด้วยท่าทีร่าเริง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากมุมนั้น ทิ้งให้ณคุณยังย
บทที่ 10 อย่าเล่นกับไฟรถเคลื่อนตัวออกจากสนามแข่งอย่างช้าๆ ทิ้งเสียงวุ่นวายและกลิ่นน้ำมันไว้เบื้องหลัง เส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้าเงียบงัน มีเพียงแสงไฟถนนที่สะท้อนเข้ามาในรถเป็นระยะ กับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังสม่ำเสมอ ราวกับปลอบโยนความคิดฟุ้งซ่านของหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่เบาะข้างคนขับณคุณเหลือบมองน้องเป็นระยะ นาเนียร์ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตานิ่งสงบ แต่ในความนิ่งนั้นกลับซ่อนบางอย่างไว้จนคนเป็นพี่รู้สึกได้ มันคือความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขาไม่ค่อยสบายใจนัก“เขาไม่ใช่คนธรรมดาเนียร์” ณคุณพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงนิ่งจริงจัง “คนแบบนั้น ถ้าเข้าไปใกล้มากเกินไป มันจะเปลี่ยนเราโดยไม่รู้ตัว”นาเนียร์หันกลับมามองพี่ชาย ชั่ววินาทีนั้นเองที่แววตาเธอเผยความสับสนออกมาอย่างปิดไม่มิด“น้องแค่…แค่อยากรู้จักมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้อยากให้ไฟแผดเผาตัวเองจนตายขนาดนั้น” เธอสารภาพเสียงแผ่ว “เขาเหมือนมีอะไรบางอย่างที่น้องอยากเข้าใจ อยากมองให้ลึกลงไปกว่าสิ่งที่เขาแสดงออก”ณคุณถอนหายใจยาว เขาไม่ได้ต่อว่า ไม่ได้พูดห้ามเหมือนก่อนหน้านี้ แต่สีหน้าเขายังคงเคร่งเครียด“ตัวตนของเฮดเตอร์มันไม่สวยงามอย่างที่เราคิดนะเ