ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคน
พวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น
ฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป
"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"
พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง
“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาดนั้น” ครีมหยอกเย้าพลางรับสมุดคืน
“ก็เขียนจากใจไง” ฉันยักไหล่ก่อนจะรับสมุดของเพื่อนอีกคนมาเขียนต่อ
ม่านเมฆที่นั่งอ่านหนังสืออยู่โต๊ะถัดมาเหลือบมองฉันแล้วส่ายหน้า “พวกผู้หญิงนี่มีพิธีรีตองเยอะเกินไปแล้ว”
“นายไม่เขียนเหรอ?” ฉันหันไปถามน้องชาย
“ฉันแค่เขียนสั้น ๆ ก็พอแล้ว” ม่านเมฆตอบก่อนจะดึงสมุดของเพื่อนจากอีกห้องที่ส่งมาให้เขาใช้ปากกาขีดเขียนไม่กี่ประโยคแล้วก็ส่งคืน
“โห แค่โชคดีนะเพื่อนเองเหรอ นายเขียนสั้นไปไหม?” ฉันแกล้งถาม
“ก็เพื่อนกัน ไม่ต้องมากความหรอก” น้องชายฉันยักไหล่ แต่ฉันรู้ว่าเขาก็มีแอบซึ้งเหมือนกัน
ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของพวกเรา เพื่อน ๆ ต่างแลกเปลี่ยนสมุดกันไปมา ใครบางคนก็แอบแซวกันว่า
“ใครจะเก็บสมุดเฟรนด์ชิพไว้นานที่สุด”
“เดี๋ยวอีกสิบปีมาเปิดดู เราจะยังจำกันได้ไหมนะ?” ครีมพูดพลางหัวเราะ
“ต้องจำได้สิ” ฉันตอบพลางยิ้ม “ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังจากสอบปลายภาคในเดือนมีนาคมเรียบร้อย ฉันกับม่านเมฆรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เพราะพวกเราตั้งใจอ่านหนังสือกันอย่างหนัก และตอนนี้ก็ถึงเวลาปิดเทอมสั้น ๆ ก่อนที่พวกเราจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่โรงเรียนใหม่
ในช่วงปิดเทอมฉันกับม่านเมฆรวมถึงครีมต่างไปสมัครที่โรงเรียนมัธยมศรีปฐมตามที่ตั้งใจไว้ เราตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง แม้จะกังวลเล็กน้อยกับสภาพแวดล้อมใหม่แต่พวกเราก็มีกันและกัน
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงวันปัจฉิมนิเทศ วันที่พวกเราจะได้กลับมาใส่ชุดนักเรียนมัธยมต้นสีขาว กระโปรงกรมท่าของโรงเรียนเดิมอีกครั้ง
ฉันยืนมองตัวเองหน้ากระจกตรวจสอบชุดนักเรียนของตนที่กำลังสวมอยู่ เสื้อสีขาวรีดเรียบ กะโปรงสีกรมท่าเข้มพลิ้วไหว รองเท้านักเรียนสีดำขัดเป็นมันเงาพร้อมถุงเท้าสีขาว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้ใส่มันไปยังโรงเรียนเดิม
ก่อนจะต้องใส่อีกครั้งในวันสอบเข้าโรงเรียนใหม่ จากนั้นก็จะต้องเปลี่ยนไปเป็นใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายที่แตกต่างออกไป
ม่านเมฆเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดนักเรียนที่เหมือนกัน ต่างกันเพียงกางเกงของเขาเป็นสีกากี รองเท้านักเรียนสีน้ำตาลดูใหม่เอี่ยมเพราะเขาเพิ่งซักเมื่อวาน
“เจ้ พร้อมหรือยัง?” ม่านเมฆถามพลางสะพายกระเป๋า
ฉันพยักหน้าก่อนจะเดินลงไปที่โต๊ะอาหารพร้อมกับน้องชาย วันนี้แม่เตรียมข้าวต้มกับไข่ลวกให้เหมือนเช่นทุกเช้า ป๊ากำลังจิบกาแฟและเมื่อเห็นพวกเราสองคนเดินลงมาเขาก็พยักหน้าให้
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสินะ” ป๊าเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความหมาย
“ค่ะ” ฉันตอบเสียงเบา
แม่ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะตักข้าวต้มใส่ชามให้พวกเรา “ตั้งใจเก็บเกี่ยวความทรงจำให้ดีนะลูก”
ฉันพยักหน้ารับรู้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ก่อนจะเริ่มมื้อเช้าของวันนี้อย่างเงียบเชียบระคนวูบโหวงในอก
หลังจากมื้อเช้าสิ้นสุดฉันกับม่านเมฆก็เดินไปขึ้นรถสองแถว สายลมของฤดูร้อนปะทะเข้าใบหน้าแผ่วเบา ในระหว่างนี้ฉันก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเราสองพี่น้องทักทายเพื่อนร่วมโรงเรียนที่ขึ้นรถคันเดียวกัน
ก่อนที่จะเงียบเสียงลงเมื่อพวกเราสนทนากันมาถึงเรื่องเรียนจบซึ่งแต่ละคนก็ต่างแยกย้ายไปตามความฝันของตัวเอง มีบางคนเลือกเรียนสายอาชีพ บางคนเลือกเรียนมัธยมปลายเหมือนเราสองพี่น้อง
รถสองแถวสีแดงหยุดลงห่างจากหน้าโรงเรียนเล็กน้อย “ฟ้าใส!” เสียงของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นทักฉัน หลังจากลงจากรถ ฉันหันไปยิ้มให้เธอ
“แป้ง! เธอจะเรียนอาชีวะจริงเหรอไปสมัครมาหรือยัง” ฉันเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน
“อืม! เรียบร้อยแล้ว ว่าแต่เธอสองคนกับครีมล่ะเป็นยังไง” เพื่อนของฉันถามกลับ
“พวกเราก็ไปสมัครมาแล้วจะสอบวันที่ 3 เดือนหน้า” ฉันตอบก่อนที่ม่านเมฆจะแยกตัวออกไปหาเพื่อนของตน
ฉันกับแป้งเดินเข้าไปในโรงเรียนพร้อมกัน เสียงพูดคุยของเพื่อนนักเรียนและเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณ สนามหญ้าหน้าโรงเรียนเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนที่สวมชุดนักเรียนเหมือนกัน
ทุกคนดูสดใสแต่ก็แฝงความรู้สึกหลากหลาย วันนี้โรงเรียนตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสี โดยเฉพาะดอกกุหลาบสีแดง สีขาว และสีชมพูที่ถูกมัดเป็นช่อวางประดับอยู่ทั่วอาคารเอนกประสงค์ที่ใช้เป็นที่ประชุมและจัดงาน
ฉันเดินไปหากลุ่มเพื่อน ครีมยืนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับเพื่อนอีกหลายคน เธอถือดอกกุหลาบช่อเล็กไว้ในมือก่อนจะส่งให้ฉัน
“นี่ กุหลาบสำหรับเธอ”
ฉันรับมาก่อนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจนะ”
“ก็วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนี่นา” ครีมพูดพลางทำตาแดง
“เธอกับฉันยังต้องอยู่ด้วยกัน พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปดีไหม” ฉันพูดขึ้นเพราะไม่อยากเห็นน้ำตาของเธอ
“แกพูดแล้วนะ เรามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน” น้ำเสียงของครีมเปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้น
“อืม ทำตัวเป็นเด็กไปได้” แม้ว่าฉันจะพูดออกไปแบบนั้นทว่าก็ยังยื่นนิ้วก้อยส่งไปให้เธอและก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่มีเสียงเพลงนิ้วก้อยของศิลปินดูโอ้ ลิฟท์-ออย (Lift-Oil) ดังขึ้นพอดี
มองฉันสักหน่อยได้ไหม น่ะหันมามองนิดเดียวก็พอ ดูสิว่าใครมาง้อ เฝ้ารอเธอมานานแล้วรู้หรือเปล่า รู้น่ะรู้ว่าเธอกำลังคิดถึงฉันอยู่ สายตาเธอเองนั่นไงที่มันฟ้อง แล้วเมื่อไหร่เธอถึงยอมใจอ่อน เห็นใจเถอะขอร้องอย่างอนไปเลยอยากจะขอเพียงอยากจะขอแค่นิ้วก้อยเธอ อย่าทำเขินมาเกี่ยวกันไว้แค่นิ้วก้อยเอง ส่งมือเธอมาให้ฉัน ดีนะเราดีกัน ขัดเคืองใจอย่างไรอย่าไปจำไว้
ฉันกับครีมส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนที่ฉันจะตกใจเมื่อเพื่อนอีกคนเดินเข้ามากอดฉันเอาไว้แน่น
“ฉันคงคิดถึงเธอมากเลยฟ้าใส!”
ฉันหัวเราะออกมา “พวกเรายังเจอกันได้เสมอนี่น่า จดหมายมาหรือเธอจะโทรมาก็ได้ ฉันยินดีตอบ”
“มันไม่เหมือนกันหรอก” เพื่อนอีกคนพูดแทรก “แค่คิดว่าปีหน้าจะไม่มีพวกเธออยู่ในห้องแล้วมันก็รู้สึกแปลกประหลาดยังไงก็ไม่รู้”
“เอาน่า ทุกคนต้องเติบโตไม่ว่าฉันหรือเธอพวกเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเพื่อนก็คือเพื่อน” ฉันตอบเสียงแผ่วน้ำตาเริ่มคลอ
และเพลงในวันนี้ก็ทำให้พวกเรารู้สึกอย่างนั้นเพราะหลังจากจบเพลงนิ้วก้อยก็ตามมาด้วยเพลงเพื่อนเอยของ พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์
มีนักเรียนไม่น้อยร้องตามด้วยความเศร้าก่อนที่เพลงนี้จะจบลงและตามมาด้วยเสียงประกาศให้ทุกคนเข้าสู่หอประชุม ภายในห้องนี้ทุกคนต่างแลกเปลี่ยนของขวัญและกอดกันด้วยความซาบซึ้ง
วันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความทรงจำ ฉันเดินไปหาคุณครูที่เคยสอนพวกเรา ครูประจำชั้นยืนรออยู่พร้อมกับรอยยิ้ม
“ครูคงจะคิดถึงพวกเธอมากเพราะพวกเธอเป็นเด็กดีที่สุดในรุ่นตั้งแต่ครูสอนมา” น้ำเสียงของคุณครูเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ/ครับ” พวกเราต่างยกมือไหว้ครูพร้อมกันก่อนที่ครูจะกล่าวอวยพรออกมาอีกยืดยาว ฉันเม้มริมฝีปากเน้นก่อนจะพยักหน้า ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว
ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ กลับอดไม่ได้ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างหันมามองฉันแล้วถอนหายใจ
“บอกแล้วไงว่าอย่าร้อง เอาไว้พวกเราค่อยกลับมาเยี่ยมโรงเรียนและครูก็ได้”
“ฉันรู้ แต่มันห้ามได้ที่ไหนเล่า” ฉันหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
หลังจากพิธีจบลงทุกคนเริ่มเดินออกจากหอประชุม ฉันกวาดสายตามองไปรอบโรงเรียนอีกครั้ง อาคารเรียนที่เคยเดินขึ้นลงทุกวัน สนามฟุตบอลที่เคยวิ่งเล่น หอประชุมที่เคยใช้ทำกิจกรรม ทุกอย่างเต็มไปด้วยความทรงจำ
ฉันรู้ว่าเวลาของพวกเราที่นี่จบลงแล้ว แต่ความทรงจำจะยังคงอยู่ตลอดไป ม่านเมฆเดินเข้ามายืนข้างฉันก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้... อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะไปเริ่มต้นที่ใหม่แล้วนะ”
ฉันพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา “อืม” ฉันรับคำเสียงเบา
วันปัจฉิมนิเทศจบลงพร้อมกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ทอดยาวไปทั่วโรงเรียน ฉันกับม่านเมฆเดินออกจากประตูโรงเรียนเดิมด้วยกัน ทิ้งไว้เพียงความทรงจำอันสวยงาม
ทว่าสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองก็เกิดขึ้นเมื่อต้นวิ่งตามฉันมาพร้อมกับส่งจดหมายให้ฉันโดยที่เจ้าตัวไม่พูดอะไรฉันยืนมองจดหมายในมือด้วยความงุนงง
ใบหน้าของต้นขึ้นสีแดงจางขณะที่เขายืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
หลายปีผ่านไป... หลังจากครามเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์และเริ่มต้นชีวิตการทำงานในฐานะวิศวกรหนุ่มอนาคตไกล เขาทุ่มเทให้กับงานในบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งแต่หัวใจของเขาก็ไม่เคยห่างจากจังหวัดบ้านเกิด และที่สำคัญที่สุดคือผู้หญิงที่เขามอบเกียร์และหัวใจให้ไปนานแล้วทางด้านฟ้าใสเธอก็ก้าวเข้าสู่ช่วงปีสุดท้ายของการเรียนในคณะศิลปกรรมฯ ชีวิตที่เคยพลิกผันเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บัดนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ป๊าของเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้สำเร็จแม้การเดินจะยังไม่กลับมาเป็นปกติร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมแต่ด้วยกำลังใจที่ดีและการทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอท่านก็สามารถกลับมาเดินเหินได้คล่องแคล่วขึ้นมาก อีกทั้งยังเข้ามาช่วยดูแลร้านสุกี้ในส่วนที่ไม่ต้องออกแรงมากได้ด้วย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เคยจางหายไปนานกลับมาสู่ครอบครัวของเธออีกครั้งกิจการร้านขนมและร้านสุกี้ก็ดำเนินต่อไปได้ด้วยดีโดยมีฟ้าใสและคุณแม่เป็นหัวเรือใหญ่ และแน่นอนว่ามีครามคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังเสมอในยามที่เธอต้องการ ระยะทางและตารางเวลาที่แตกต่างไม่ได้ทำให้ความรักของครามและฟ้าใสลดน
หลายเดือนผ่านไป... วันเวลาหมุนเวียนจากเทอมแรกเข้าสู่เทอมที่สองของปีการศึกษา กลิ่นอายของวันวาเลนไทน์เริ่มอบอวลไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย สติ๊กเกอร์รูปหัวใจและดอกกุหลาบมีให้เห็นตามมุมต่าง ๆชีวิตของฟ้าใสเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น แม้จะยังคงวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยเป็นสองเท่าของนักศึกษาทั่วไป เธอกลับไปเรียนตามปกติพยายามตามงานที่ขาดไปในช่วงแรกอย่างสุดกำลังพ่อของเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้วแต่อาการบาดเจ็บที่ขายังคงต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาระการดูแลร้านทั้งสองแห่งยังคงตกอยู่ที่เธอกับแม่เป็นหลัก แต่เธอก็เริ่มปรับตัวและจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้คล่องแคล่วขึ้นรวมถึงความสัมพันธ์กับครามก็ยังคงดำเนินไปในรูปแบบเดิม... เขาคือพี่ชายตรงข้ามบ้านที่แสนดี สารถีคนสำคัญ และผู้ช่วยจำเป็นในทุกสถานการณ์ ความช่วยเหลือของเขาทำให้เธอผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้บ่ายของวันวาเลนไทน์หลังเลิกคลาส ฟ้าใสตั้งใจจะเอาขนมเค้กช็อกโกแลตที่เธอหัดทำเมื่อคืนไปให้ครามลองชิม และถือโอกาสขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เขาช่วยม
"ลูกอยู่นี่เอง แม่ก็รอว่าจะมาพร้อมลูกแต่ก็ดีแล้วละที่ลูกอยู่ตรงนี้" กิมลั้งพูดกับลูกชายหลังเห็นว่าเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนฟ้าใสกับแม่พลางทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ลลิตาที่ยังคงมีดวงตาแดงก่ำ"ลิตา เฮียหลงเป็นยังไงบ้าง" เธอหันไปถามเพื่อนบ้านด้วยความเป็นห่วงโดยจับมือลลิตาไว้แน่นลลิตาสูดหายใจลึก พยายามกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง "เพิ่งจะย้ายเข้าไอซียูเมื่อกี๊นี้เองลั้ง... หมอบอกว่ากระดูกหักหลายที่ เสียเลือดมาก... ยังต้องรอดูอาการใกล้ชิด..." เสียงเธอสั่นเครือในตอนท้าย"โถ... ไม่เป็นไรนะลิตา ไม่เป็นไร" กิมลั้งบีบมือเพื่อนแน่นขึ้น "ปลอดภัยแล้ว ถือว่าพ้นขีดอันตรายระดับนึงแล้วนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น ต้องเชื่อมั่นในตัวหมอ แล้วก็บุญกุศลที่อาหลงเขาทำมาเยอะแยะนะเพื่อนนะ" เธอกล่าวปลอบใจอย่างจริงใจ"มีอะไรให้ฉันสองคนช่วยบอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน""ขอบใจมากนะลั้ง..." ลลิตาพยักหน้ารับทั้งน้ำตาครามมองภาพผู้ใหญ่ให้กำลังใจกัน ก่อนจะหันไปพูดเรื่องที่จำเป็น "ป๊า ม๊า เดี๋ยวผมว่าจะพาฟ้าใสไปดูร้านที่ตลาดโต้รุ่งก่อน แล้วก็อาจจะแวะไปดูร้านสุกี้ด้ว
ทุกวินาทีที่ผ่านไปหน้าห้องผ่าตัดคล้ายเป็นการทรมานสำหรับคนรอคอย ฟ้าใสยังคงกอดแม่ไว้แน่นมีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาเป็นระยะขณะที่ผู้เป็นแม่ก็ได้แต่ลูบหลังปลอบลูกสาว ดวงตาจับจ้องบานประตูห้องผ่าตัดด้วยใจที่ร้อนรน ครามยังคงยืนอยู่ไม่ห่าง คอยเป็นหลักให้สองแม่ลูกอย่างเงียบงันตามเดิมบรรยากาศระหว่างพวกเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและคำภาวนาในใจทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าเฉพาะตัวของเครื่องพีซีทีในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของครามก็ดังขึ้นทำลายความเงียบงันแสนหนักอึ้งนั้นลง ครามขมวดคิ้วและเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาเจ้าตัวก็รู้แล้วว่าทางนั้นคงจะร้อนใจไม่ต่างกัน"เฮีย! ป๊าของฟ้าใสเป็นยังไงบ้าง" เสียงครีมน้องสาวของเขาดังลอดออกมาทันทีที่เขากดรับสาย น้ำเสียงสั่นเครือและเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด"แม่เพิ่งโทรมาบอกว่าคุณอาโดนรถชน! ท่านเป็นอะไรมากไหมเฮีย? ครีมเป็นห่วงมากเลย!" ความสนิทสนมระหว่างครอบครัวทำให้ครีมรู้สึกผูกพันและตกใจกับข่าวร้ายไม่น้อย"ใจเย็น ๆ ก่อนครีม" ครามตอบกลับพยายามใช้เสียงที่สงบและมั่นคงที่สุดเพื่อไม่ให้น้องสาวที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงต้องตื่นตระหนกไปมากกว่า
ครามวิ่งมาถึงบริเวณที่จัดกิจกรรมของคณะศิลปกรรมศาสตร์อย่างรวดเร็ว เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายบนขมับและข้างแก้ม ดวงตาคมกวาดมองหากลุ่มเพื่อนของฟ้าใสที่พอจะคุ้นหน้าอยู่บ้างท่ามกลางความวุ่นวายจนกระทั่งไปสะดุดตากับกลุ่มนักศึกษาปีสองในชุดคณะที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฟ้าใสเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขาจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทของเธอเขารีบก้าวเท้าเข้าไปหาทันที ลมหายใจหอบเล็กน้อย "น้องครับ....พี่มาหาฟ้าใส" เขาถามออกไปน้ำเสียงเคร่งเครียดและแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด"เห็นฟ้าใสไหมครับ?"เพื่อน ๆ ของฟ้าใสกลุ่มนั้นหันมามองรุ่นพี่ต่างคณะอย่างแปลกใจระคนสงสัย ปกติไม่ค่อยเห็นเฮียครามคนดังของวิศวะฯ มาทำหน้าตาตื่นแถวนี้เท่าไหร่นัก ก่อนที่เพื่อนคนที่สนิทกับฟ้าใสที่สุดจะรีบตอบ"พี่คราม..." เธอทำหน้างง ๆ เล็กน้อยเรียกชื่อของเขาออกมา "เมื่อกี้ฟ้าใสมันบอกว่าเพจเจอร์เข้า ขอตัวไปโทรศัพท์ค่ะ เห็นวิ่งหน้าตาตื่นไปทางตู้โทรศัพท์ตรงโถงทางเดินนู้นแน่ะค่ะ" หญิงสาวชี้นิ้วไปยังทางเดินด้านในตัวอาคารที่ค่อนข้างเงียบกว่าบริเวณลานกิจกรรม"ไปได้สักพักแล้ว..ยังไม่เห็
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากปีหนึ่งเทอมแรกกิจกรรมรับน้อง การเรียน การสอบ วนเวียนจนกระทั่งทุกอย่างผ่านพ้นไปหนึ่งปีการศึกษาเต็ม ๆความสัมพันธ์ระหว่างครามและฟ้าใสยังคงดำเนินไปในรูปแบบของเพื่อนบ้านและพี่ชายที่แสนดีอย่างที่หลายคนเห็นครามยังคงวนเวียนเข้ามาช่วยเหลือฟ้าใสอยู่เสมอ ทั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างการช่วยถือของ ซื้อขนมมาฝากหรือแม้แต่ช่วยดูเรื่องความปลอดภัยตอนเธอกลับบ้านดึก ๆและบางครั้งก็รวมถึงเรื่องที่มหาวิทยาลัย ทำให้เธอกับเขายิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยปริยายตามประสาคนที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันส่วนขุนเขา...เขาก็ยังคงเป็นขุนเขาคนเดิม ไม่เคยถอดใจจากเป้าหมาย แม้จะไม่ได้ทุ่มเทเข้าหาฟ้าใสอย่างหนักหน่วงเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน แต่ก็ยังคงหาโอกาสเข้ามาทักทาย ชวนคุยหรือทำตัวเป็นเพื่อนจอมกวนให้เธอได้เห็นหน้าอยู่เสมอส่งผลให้ฟ้าใสถูกเพื่อนสนิทในกลุ่มศิลปกรรมฯ แซวจนหูชาทั้งเรื่องพี่ชายข้างบ้านสุดอบอุ่นและเด็กวิศวะฯ จอมตื๊อหน้ามึนลึก ๆ แล้วฟ้าใสเองก็อดรู้สึกแปลก ๆ ก