ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคน
พวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น
ฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป
"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"
พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง
“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาดนั้น” ครีมหยอกเย้าพลางรับสมุดคืน
“ก็เขียนจากใจไง” ฉันยักไหล่ก่อนจะรับสมุดของเพื่อนอีกคนมาเขียนต่อ
ม่านเมฆที่นั่งอ่านหนังสืออยู่โต๊ะถัดมาเหลือบมองฉันแล้วส่ายหน้า “พวกผู้หญิงนี่มีพิธีรีตองเยอะเกินไปแล้ว”
“นายไม่เขียนเหรอ?” ฉันหันไปถามน้องชาย
“ฉันแค่เขียนสั้น ๆ ก็พอแล้ว” ม่านเมฆตอบก่อนจะดึงสมุดของเพื่อนจากอีกห้องที่ส่งมาให้เขาใช้ปากกาขีดเขียนไม่กี่ประโยคแล้วก็ส่งคืน
“โห แค่โชคดีนะเพื่อนเองเหรอ นายเขียนสั้นไปไหม?” ฉันแกล้งถาม
“ก็เพื่อนกัน ไม่ต้องมากความหรอก” น้องชายฉันยักไหล่ แต่ฉันรู้ว่าเขาก็มีแอบซึ้งเหมือนกัน
ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของพวกเรา เพื่อน ๆ ต่างแลกเปลี่ยนสมุดกันไปมา ใครบางคนก็แอบแซวกันว่า
“ใครจะเก็บสมุดเฟรนด์ชิพไว้นานที่สุด”
“เดี๋ยวอีกสิบปีมาเปิดดู เราจะยังจำกันได้ไหมนะ?” ครีมพูดพลางหัวเราะ
“ต้องจำได้สิ” ฉันตอบพลางยิ้ม “ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังจากสอบปลายภาคในเดือนมีนาคมเรียบร้อย ฉันกับม่านเมฆรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เพราะพวกเราตั้งใจอ่านหนังสือกันอย่างหนัก และตอนนี้ก็ถึงเวลาปิดเทอมสั้น ๆ ก่อนที่พวกเราจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่โรงเรียนใหม่
ในช่วงปิดเทอมฉันกับม่านเมฆรวมถึงครีมต่างไปสมัครที่โรงเรียนมัธยมศรีปฐมตามที่ตั้งใจไว้ เราตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง แม้จะกังวลเล็กน้อยกับสภาพแวดล้อมใหม่แต่พวกเราก็มีกันและกัน
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงวันปัจฉิมนิเทศ วันที่พวกเราจะได้กลับมาใส่ชุดนักเรียนมัธยมต้นสีขาว กระโปรงกรมท่าของโรงเรียนเดิมอีกครั้ง
ฉันยืนมองตัวเองหน้ากระจกตรวจสอบชุดนักเรียนของตนที่กำลังสวมอยู่ เสื้อสีขาวรีดเรียบ กะโปรงสีกรมท่าเข้มพลิ้วไหว รองเท้านักเรียนสีดำขัดเป็นมันเงาพร้อมถุงเท้าสีขาว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้ใส่มันไปยังโรงเรียนเดิม
ก่อนจะต้องใส่อีกครั้งในวันสอบเข้าโรงเรียนใหม่ จากนั้นก็จะต้องเปลี่ยนไปเป็นใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายที่แตกต่างออกไป
ม่านเมฆเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดนักเรียนที่เหมือนกัน ต่างกันเพียงกางเกงของเขาเป็นสีกากี รองเท้านักเรียนสีน้ำตาลดูใหม่เอี่ยมเพราะเขาเพิ่งซักเมื่อวาน
“เจ้ พร้อมหรือยัง?” ม่านเมฆถามพลางสะพายกระเป๋า
ฉันพยักหน้าก่อนจะเดินลงไปที่โต๊ะอาหารพร้อมกับน้องชาย วันนี้แม่เตรียมข้าวต้มกับไข่ลวกให้เหมือนเช่นทุกเช้า ป๊ากำลังจิบกาแฟและเมื่อเห็นพวกเราสองคนเดินลงมาเขาก็พยักหน้าให้
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสินะ” ป๊าเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความหมาย
“ค่ะ” ฉันตอบเสียงเบา
แม่ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะตักข้าวต้มใส่ชามให้พวกเรา “ตั้งใจเก็บเกี่ยวความทรงจำให้ดีนะลูก”
ฉันพยักหน้ารับรู้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ก่อนจะเริ่มมื้อเช้าของวันนี้อย่างเงียบเชียบระคนวูบโหวงในอก
หลังจากมื้อเช้าสิ้นสุดฉันกับม่านเมฆก็เดินไปขึ้นรถสองแถว สายลมของฤดูร้อนปะทะเข้าใบหน้าแผ่วเบา ในระหว่างนี้ฉันก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเราสองพี่น้องทักทายเพื่อนร่วมโรงเรียนที่ขึ้นรถคันเดียวกัน
ก่อนที่จะเงียบเสียงลงเมื่อพวกเราสนทนากันมาถึงเรื่องเรียนจบซึ่งแต่ละคนก็ต่างแยกย้ายไปตามความฝันของตัวเอง มีบางคนเลือกเรียนสายอาชีพ บางคนเลือกเรียนมัธยมปลายเหมือนเราสองพี่น้อง
รถสองแถวสีแดงหยุดลงห่างจากหน้าโรงเรียนเล็กน้อย “ฟ้าใส!” เสียงของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นทักฉัน หลังจากลงจากรถ ฉันหันไปยิ้มให้เธอ
“แป้ง! เธอจะเรียนอาชีวะจริงเหรอไปสมัครมาหรือยัง” ฉันเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน
“อืม! เรียบร้อยแล้ว ว่าแต่เธอสองคนกับครีมล่ะเป็นยังไง” เพื่อนของฉันถามกลับ
“พวกเราก็ไปสมัครมาแล้วจะสอบวันที่ 3 เดือนหน้า” ฉันตอบก่อนที่ม่านเมฆจะแยกตัวออกไปหาเพื่อนของตน
ฉันกับแป้งเดินเข้าไปในโรงเรียนพร้อมกัน เสียงพูดคุยของเพื่อนนักเรียนและเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณ สนามหญ้าหน้าโรงเรียนเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนที่สวมชุดนักเรียนเหมือนกัน
ทุกคนดูสดใสแต่ก็แฝงความรู้สึกหลากหลาย วันนี้โรงเรียนตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสี โดยเฉพาะดอกกุหลาบสีแดง สีขาว และสีชมพูที่ถูกมัดเป็นช่อวางประดับอยู่ทั่วอาคารเอนกประสงค์ที่ใช้เป็นที่ประชุมและจัดงาน
ฉันเดินไปหากลุ่มเพื่อน ครีมยืนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับเพื่อนอีกหลายคน เธอถือดอกกุหลาบช่อเล็กไว้ในมือก่อนจะส่งให้ฉัน
“นี่ กุหลาบสำหรับเธอ”
ฉันรับมาก่อนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจนะ”
“ก็วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนี่นา” ครีมพูดพลางทำตาแดง
“เธอกับฉันยังต้องอยู่ด้วยกัน พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปดีไหม” ฉันพูดขึ้นเพราะไม่อยากเห็นน้ำตาของเธอ
“แกพูดแล้วนะ เรามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน” น้ำเสียงของครีมเปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้น
“อืม ทำตัวเป็นเด็กไปได้” แม้ว่าฉันจะพูดออกไปแบบนั้นทว่าก็ยังยื่นนิ้วก้อยส่งไปให้เธอและก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่มีเสียงเพลงนิ้วก้อยของศิลปินดูโอ้ ลิฟท์-ออย (Lift-Oil) ดังขึ้นพอดี
มองฉันสักหน่อยได้ไหม น่ะหันมามองนิดเดียวก็พอ ดูสิว่าใครมาง้อ เฝ้ารอเธอมานานแล้วรู้หรือเปล่า รู้น่ะรู้ว่าเธอกำลังคิดถึงฉันอยู่ สายตาเธอเองนั่นไงที่มันฟ้อง แล้วเมื่อไหร่เธอถึงยอมใจอ่อน เห็นใจเถอะขอร้องอย่างอนไปเลยอยากจะขอเพียงอยากจะขอแค่นิ้วก้อยเธอ อย่าทำเขินมาเกี่ยวกันไว้แค่นิ้วก้อยเอง ส่งมือเธอมาให้ฉัน ดีนะเราดีกัน ขัดเคืองใจอย่างไรอย่าไปจำไว้
ฉันกับครีมส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนที่ฉันจะตกใจเมื่อเพื่อนอีกคนเดินเข้ามากอดฉันเอาไว้แน่น
“ฉันคงคิดถึงเธอมากเลยฟ้าใส!”
ฉันหัวเราะออกมา “พวกเรายังเจอกันได้เสมอนี่น่า จดหมายมาหรือเธอจะโทรมาก็ได้ ฉันยินดีตอบ”
“มันไม่เหมือนกันหรอก” เพื่อนอีกคนพูดแทรก “แค่คิดว่าปีหน้าจะไม่มีพวกเธออยู่ในห้องแล้วมันก็รู้สึกแปลกประหลาดยังไงก็ไม่รู้”
“เอาน่า ทุกคนต้องเติบโตไม่ว่าฉันหรือเธอพวกเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเพื่อนก็คือเพื่อน” ฉันตอบเสียงแผ่วน้ำตาเริ่มคลอ
และเพลงในวันนี้ก็ทำให้พวกเรารู้สึกอย่างนั้นเพราะหลังจากจบเพลงนิ้วก้อยก็ตามมาด้วยเพลงเพื่อนเอยของ พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์
มีนักเรียนไม่น้อยร้องตามด้วยความเศร้าก่อนที่เพลงนี้จะจบลงและตามมาด้วยเสียงประกาศให้ทุกคนเข้าสู่หอประชุม ภายในห้องนี้ทุกคนต่างแลกเปลี่ยนของขวัญและกอดกันด้วยความซาบซึ้ง
วันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความทรงจำ ฉันเดินไปหาคุณครูที่เคยสอนพวกเรา ครูประจำชั้นยืนรออยู่พร้อมกับรอยยิ้ม
“ครูคงจะคิดถึงพวกเธอมากเพราะพวกเธอเป็นเด็กดีที่สุดในรุ่นตั้งแต่ครูสอนมา” น้ำเสียงของคุณครูเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ/ครับ” พวกเราต่างยกมือไหว้ครูพร้อมกันก่อนที่ครูจะกล่าวอวยพรออกมาอีกยืดยาว ฉันเม้มริมฝีปากเน้นก่อนจะพยักหน้า ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว
ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ กลับอดไม่ได้ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างหันมามองฉันแล้วถอนหายใจ
“บอกแล้วไงว่าอย่าร้อง เอาไว้พวกเราค่อยกลับมาเยี่ยมโรงเรียนและครูก็ได้”
“ฉันรู้ แต่มันห้ามได้ที่ไหนเล่า” ฉันหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
หลังจากพิธีจบลงทุกคนเริ่มเดินออกจากหอประชุม ฉันกวาดสายตามองไปรอบโรงเรียนอีกครั้ง อาคารเรียนที่เคยเดินขึ้นลงทุกวัน สนามฟุตบอลที่เคยวิ่งเล่น หอประชุมที่เคยใช้ทำกิจกรรม ทุกอย่างเต็มไปด้วยความทรงจำ
ฉันรู้ว่าเวลาของพวกเราที่นี่จบลงแล้ว แต่ความทรงจำจะยังคงอยู่ตลอดไป ม่านเมฆเดินเข้ามายืนข้างฉันก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้... อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะไปเริ่มต้นที่ใหม่แล้วนะ”
ฉันพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา “อืม” ฉันรับคำเสียงเบา
วันปัจฉิมนิเทศจบลงพร้อมกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ทอดยาวไปทั่วโรงเรียน ฉันกับม่านเมฆเดินออกจากประตูโรงเรียนเดิมด้วยกัน ทิ้งไว้เพียงความทรงจำอันสวยงาม
ทว่าสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองก็เกิดขึ้นเมื่อต้นวิ่งตามฉันมาพร้อมกับส่งจดหมายให้ฉันโดยที่เจ้าตัวไม่พูดอะไรฉันยืนมองจดหมายในมือด้วยความงุนงง
ใบหน้าของต้นขึ้นสีแดงจางขณะที่เขายืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน