ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกัน
สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทน
แม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริง
เมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉัน
ฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”
ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร
“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”
“ขอบคุณค่ะป๊า”
ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที
“สุขสันต์วันเกิด”
“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน
“ว้าว! นี่ของฉันเหรอ?”
“อือ ผมเห็นเจ้ชอบจดโน้ตเลยซื้อมาให้”
ฉันหัวเราะก่อนจะยื่นมือไปขยี้ผมเกรียนของเขาอย่างเอ็นดู “ขอบใจมากน้องชาย” เจ้าตัวประท้วงอย่างไม่จริงไม่จัง
“เจ้ ผมโตแล้วนะไม่ใช่เด็ก” ม่านเมฆพยายามเบี่ยงตัวหนีแต่ทว่าฉันก็ยังคงแกล้งเขาต่อจนแม่เรียกให้พวกเราไปกินข้าวไม่อย่างนั้นอาจจะไปโรงเรียนสายได้
พอถึงโรงเรียนและวางกระเป๋าเรียบร้อยพวกเราก็ลงมาเข้าแถวเคารพธงชาต หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าแถวฉันก็เดินไปที่ห้องเรียนตามปกติ
แต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เพราะทันทีที่ฉันนั่งลงครีมก็หันมายิ้มกว้างแบบมีพิรุธ ส่วนเพื่อนคนอื่นภายในกลุ่มก็เหมือนกำลังกลั้นขำ
ฉันหรี่ตา “อะไรของพวกแก?”
“อะไรล่ะ? ไม่มี๊” ครีมลากเสียงยาวพลางวางถุงกระดาษลงตรงหน้าของฉัน
“สุขสันต์วันเกิดนะฟ้าใส!”
ฉันกะพริบตาก่อนจะเปิดถุงดู ข้างในมีขนมเค้กชิ้นเล็กจากร้านเบเกอรี่เจ้าประจำ กล่องของขวัญใบเล็ก และการ์ดที่เต็มไปด้วยลายมือยุ่งเหยิงของแต่ละคน
“พวกเราแอบรวมเงินซื้อให้เลยนะ เพราะวันเกิดแกทั้งที สี่ปีมีครั้งแบบนี้ก็ต้องจัดเต็มหน่อย” ครีมพูดพลางยักคิ้ว
“ขอบใจมากเลยทุกคน” ฉันยิ้มกว้างหัวใจพองโตกับความอบอุ่นจากเพื่อนภายในกลุ่มเดียวกัน
“เปิดการ์ดก่อนสิ” เพื่อนอีกคนเร่งฉันเลยเปิดออกดู ข้างในมีข้อความหลากหลาย
‘สุขสันต์วันเกิดนะฟ้าใส ขอให้สอบติดโรงเรียนใหม่!’
‘ขอให้ไม่ต้องโดนทำเวรแทนใคร!’
‘มีความสุขมาก ๆ นะ และเลิกช่วยคนอื่นจนลืมตัวเองบ้าง!’
“ไอ้ประโยคสุดท้ายนี่ใครเขียน” ฉันเลิกคิ้ว
“ฉันเอง” ครีมยกมือพร้อมรอยยิ้มแห้ง “ก็แกใจดีเกินไปไง ช่วยคนไปทั่วระวังตัวเองจะเดือดร้อนเข้าสักวัน”
ฉันหัวเราะออกมาพร้อมกับความรู้สึกซาบซึ้งที่เพื่อนเป็นห่วง ในระหว่างที่ฉันกำลังเก็บของขวัญมีเสียงกระแอมแผ่วเบาจากด้านหลัง ฉันหันไปมองแล้วก็ต้องชะงัก
เมื่อมีเด็กผู้ชายร่างสูงต่างห้องกำลังยืนเก้อ ๆ อยู่ใกล้โต๊ะของฉัน เขาเป็นนักเรียนจากห้องหนึ่งพวกเรารู้จักกันตอนกีฬาสี แต่ไม่ได้สนิทกันเป็นพิเศษ เขาเป็นเด็กผู้ชายที่ดูค่อนข้างเงียบ เรียบร้อยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
“เอ่อ… สุขสันต์วันเกิดนะ”
ฉันกะพริบตามองเขาอย่างสงสัยแล้วพยักหน้า “ขอบคุณนะต้น”
เขาพยักหน้าก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างมาให้ มันเป็นตุ๊กตากระต่ายสีขาวผูกโบว์สีชมพู
“ให้ฉันเหรอ” ฉันถามด้วยความแปลกใจ
ต้นพยักหน้ารับเล็กน้อยและไม่กล้าสบตาฉันตรง ๆ “อืมวันนี้วันเกิดเธอ เราเห็นว่ามันน่ารักก็เลยซื้อมาให้”
ฉันมองตุ๊กตากระต่ายในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เขา “ขอบคุณนะ มันน่ารักมาก”
ใบหน้าของต้นขึ้นสีก่อนที่เขาจะรีบพูดต่อ “เธอชอบก็ดีแล้วถ้าอย่างนั้น ระ...เราไปก่อนนะ”
“อืม ขอบคุณอีกครั้งนะ” ฉันพูดตามหลัง เขาพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องเรียนของพวกเรา
พอฉันหันกลับมาเพื่อนของฉันโดยเฉพาะครีมก็ทำหน้าตื่นเต้นกันยกใหญ่
“กรี๊ดดดด! ต้นให้ตุ๊กตาด้วยอะ!”
ก่อนที่เพื่อนอีกคนจะพูดขึ้นมาอย่างล้อเลียน “เธอรู้อะไรไหม! หมอนี่เขาชอบเธอนะ!”
ฉันเบิกตากว้างรีบส่ายหน้า “บ้าเหรอ! ก็แค่ของขวัญวันเกิดเอง พวกเธอคิดมากเกินไปแล้ว”
“แหม๊~ อย่ามา! ปกติหมอนี่ไม่ค่อยคุยกับผู้หญิงเลยนะ แต่กับเธอนี่เดินเอาของขวัญมาให้เองเลยอะ! ฉันละอิจฉา”
ฉันกรอกตาไปมา หัวใจเต้นแรงผิดปกติก่อนจะรีบวางตุ๊กตาลงบนโต๊ะราวของร้อนแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“พอเลย อย่าแซวพวกเรายังเด็กตอนนี้เตรียมตัวเรียนกันได้แล้ว”
ครีมยังทำหน้าตาล้อเลียนแต่ก็ยอมเลิกแซว ฉันถอนหายใจออกมาพร้อมกับหยิบสมุดขึ้นมาเปิดเตรียมเรียนวิชาแรกของวัน บรรยากาศคึกคักในตอนเช้าเริ่มสงบลงเมื่อคุณครูเดินเข้ามา ช่วงเวลาผ่านไปจนถึงตอนเย็น
หลังจากเลิกเรียนฉันกับม่านเมฆเดินออกจากโรงเรียนมาขึ้นรถสองแถวตามปกติ วันนี้แม่บอกว่ามีของอร่อยรออยู่ที่บ้าน ฉันเลยรู้สึกตื่นเต้นด้วยความอยากรู้
เมื่อเดินเข้าบ้านฉันได้กลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาจากห้องครัว ม่านเมฆรีบถอดรองเท้านักเรียนแล้ววิ่งเข้าไปก่อน ฉันเดินตามเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นโต๊ะอาหารถูกจัดเต็มไปด้วยอาหารจานโปรดของตัวเอง
“วันนี้แม่ทำของโปรดของลูกเลยนะฟ้าใส” แม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
“โห วันนี้ป๊ากับแม่ลงทุนจัดหนักเลยนะ” ฉันหัวเราะขำเมื่อเห็นเมนูโปรดที่มีทั้งแกงจืดเต้าหู้หมูสับ ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่เจียวฟู ๆ และขนมหวานที่ฉันชอบอย่างบัวลอยน้ำขิง
ป๊านั่งอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนเดิมแต่ก็แอบมองมาที่ฉันก่อนจะพูดขึ้น
“ปกติลูกก็เลื่อนไปฉลองกับน้อง แต่ปีนี้ตรงวันจริงแล้วไง”ฉันยิ้มกว้างความอบอุ่นเอ่อล้นในใจ
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณแม่มากนะคะที่ให้หนูเกิดมา” ฉันเดินเข้าไปกอดแม่เอ่ยออกมาเสียงเบา
แม่ลูบหัวลูบหลังของฉัน “เอาละ ไปล้างมือมากินข้าวเถอะ” แม่พูดพลางปล่อยแขนออก
หลังจากฉันเดินกลับมาก็เห็นแม่ตักข้าวให้ฉัน ส่วนม่านเมฆก็ตักกับข้าวรออย่างหิวโหย ฉันอมยิ้มมองเขาแล้วลงมือกินข้าวไปพร้อมกับครอบครัว วันนี้เป็นวันเกิดที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสุข
หลังจากกินข้าวเสร็จม่านเมฆก็รีบวิ่งไปหยิบของบางอย่างจากห้องของเขาแล้วกลับมายื่นให้ฉัน
“แม้ว่าเมื่อเช้าผมให้ไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีอีกชิ้น”
ฉันขมวดคิ้วก่อนจะเปิดกล่องออกดู สิ่งที่อยู่ข้างในคือ เทปคาสเซ็ทของคริสติน่า อากีล่าร์ อัลบั้มใหม่ล่าสุด!
“ม่านเมฆ! นี่เธอ…” ฉันเบิกตากว้างมันเป็นของที่ฉันอยากได้มานานแล้ว!
“เห็นเจ้แอบไปดูที่ร้านเทปบ่อย ๆ ก็เลยซื้อมาให้” น้องชายของฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแต่ใบหูแดง ๆ ของเขานั้นทำให้ฉันรู้ดีว่าเขากำลังเขิน
ฉันยิ้มกว้างก่อนจะกอดน้องชายแน่น “ขอบใจมาก! ฉันรักนายที่สุดเลย!”
“เฮ้ย! อย่ามากอดนะ! ร้อน!” ม่านเมฆดิ้นหนีแต่ก็หัวเราะ
แม่กับป๊ามองพวกเราสองคนพลางหัวเราะตามไปด้วย
ช่วงหัวค่ำฉันนอนฟังเทปคาสเซ็ตต์ในวอล์กแมนเพื่อไม่ให้รบกวนม่านเมฆที่นอนเตียงด้านข้าง
เช้าวันที่ 1 มีนาคม มาถึงพร้อมกับแสงแดดอันสดใสที่ส่องลอดผ่านม่านหน้าต่าง ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี เพราะเมื่อคืนฉันนอนหลับไปพร้อมกับเสียงเพลงจากเทปคาสเซ็ทที่ม่านเมฆให้เป็นของขวัญวันเกิด
ฉันหันไปมองเตียงด้านข้างเห็นน้องชายฝาแฝดยังหลับตาพริ้มอยู่ ม่านเมฆมักเป็นคนนอนขี้เซาเสมอ และวันนี้ก็ไม่ต่างกัน ฉันค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบของขวัญที่ซ่อนไว้ใต้หมอนก่อนจะย่องไปนั่งข้างเตียงของเขา
“ม่านเมฆ” ฉันกระซิบเสียงเบา ทว่าเขาก็ยังไม่ขยับ
“ม่านเมฆ!” ฉันลองเรียกอีกครั้ง คราวนี้เขาขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะครางงึมงำแล้วพลิกตัวหนี
ฉันหัวเราะออกมา ก่อนจะใช้ไม้เด็ดเอาหมอนทุบเบา ๆ ไปที่หลังของเขา
“เฮ้ย! อะไรเนี่ย!?” ม่านเมฆสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
“สุขสันต์วันเกิด!” ฉันยื่นของขวัญให้เขาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ม่านเมฆกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะยื่นมือมารับกล่องของขวัญไปเปิดดู
“อันนี้...” เขาอ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อเห็นนาฬิกาข้อมือ Casio รุ่นใหม่ล่าสุดที่เขาเคยบ่นว่าอยากได้แต่ก็ไม่กล้าขอป๊ากับแม่
“ชอบไหม?” ฉันถาม
ม่านเมฆเงยหน้าขึ้นมามองฉันดวงตาเป็นประกาย “เจ้ซื้อให้เหรอ?”
“ใช่สิ ฉันเก็บเงินแทบตายกว่าจะซื้อได้ นายชอบไหม!" ฉันยิ้มอย่างภูมิใจ
ม่านเมฆนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา เขาค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมาสวมที่ข้อมือแล้วพูดออกมาด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณนะเจ้”
“นายแค่ทำตัวดี ๆ กับฉันก็พอ” ฉันเอื้อมมือไปขยี้หัวเขา
ม่านเมฆหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงด้วยความสดใส เช้านี้เป็นเช้าที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของพวกเรา
เมื่อพวกเราลงไปที่โต๊ะอาหาร แม่กับป๊าก็เตรียมมื้อเช้าพิเศษให้เหมือนกับที่ทำให้ฉันเมื่อวาน
“สุขสันต์วันเกิดนะม่านเมฆลูกชายแม่” แม่พูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะวางชามข้าวต้มหมูควันกรุ่นลงตรงหน้าของเขา
“มีความสุขมาก ๆ นะลูก” ป๊าเสริมพลางยื่นมือไปลูบหัวของเขา
“ขอบคุณครับ!” ม่านเมฆยิ้มกว้าง
ระหว่างที่พวกเรานั่งกินข้าวเช้ากันฉันก็เหลือบไปเห็นน้องชายลูบนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ของตัวเองเป็นระยะ ๆ ดูจากสายตาแล้วฉันรู้เลยว่าเขาชอบมาก
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน