Share

น่าอายชะมัด!!

“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว

“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”

ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก

“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉัน

ฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้

“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”

ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตาม

ครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”

“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า             หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ม่านเมฆที่เงียบอยู่นานพลันถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “ผมบอกเจ้แล้วว่าอย่าใจดีไปทั่ว”

ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่น้องชาย “นายหมายความว่ายังไง? เรื่องที่ฉันใจดีมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

ม่านเมฆยักไหล่ “ก็เจ้ชอบช่วยคนอื่นไปทั่วไง ใคร ๆ ก็ต้องประทับใจเป็นธรรมดา”

ฉันเบ้ปาก “นี่นายคิดว่าฉันไปให้ความหวังเขาหรือไง?”

“ก็ไม่รู้สิ…” ม่านเมฆลากเสียง “แต่ดูจากสีหน้าของหมอนั่นแล้ว เจ้ลองอ่านจดหมายก่อนแล้วกัน”

ฉันเม้มปากแน่นหัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่ถือกระเป๋ากำแน่นขึ้นเล็กน้อยพยายามไม่ให้ตัวเองเผลอคิดอะไรไปไกล ครีมที่ยังคงตื่นเต้นอยู่ด้านข้างมองฉันสลับกับจดหมายในกระเป๋าราวกับรอไม่ไหวที่จะได้รู้เนื้อหาข้างใน

ขณะที่ฉันกำลังหายใจเข้าปอดลึกเพื่อพยายามปรับอารมณ์ เสียงเครื่องยนต์ดังแว่วเข้ามาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คันคุ้นตาจอดเทียบหน้าประตูโรงเรียน

ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กางเกงยีนส์ฟอกสีเข้ม รองเท้าผ้าใบ Adidas สีขาวขลิบดำ แว่นกันแดดที่วางอยู่บนสันจมูก และกระเป๋าสะพายข้างสีดำทุกอย่างดูเข้ากันอย่างไม่มีที่ติ

ครีมที่ยืนอยู่กับฉันถึงกับเบิกตากว้าง

“เฮ้ย! ทำไมเฮียมาเร็วจังอ่ะ!”

เฮียครามดึงแว่นกันแดดลงเล็กน้อยก่อนจะมองมาทางพวกเรา สายตาเขาหยุดลงที่ฉันเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบไปมองต้นที่ยังเดินไม่ห่างจากพวกเรามากนักเหมือนว่าเฮียครามจะเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เต็มตา

ฉันรีบเบือนหน้าหนีไม่อยากสบตากับเขาแต่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องมองฉันอยู่ สายตาคมกริบยังคงมองมาจนฉันเผลอเม้มปากแน่น

มือที่กุมสายสะพายกระเป๋าแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว (บ้าจริง ทำไมฉันต้องแคร์ด้วยว่าคนอื่นจะคิดยังไง… ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย) ฉันคิดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ไม่ใช่เพราะต้น แต่เพราะสถานการณ์มันทำให้ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนไปหมด เรื่องแบบนี้มันน่าอายจะตายไป

ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องความรักแบบจริงจัง และก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครมายื่นจดหมายให้ฉันแบบนี้ด้วย ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้อีก! มันเหมือนฉันถูกเปิดโปงอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่ตั้งใจ

“มีอะไรเหรอ?” น้ำเสียงเรียบ ๆ ของเฮียครามดังขึ้น        ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรค่ะ” (เป็นคนมองฉันก่อนแท้ ๆ แต่เฮ้อช่างเถอะฉันกับเขาไม่เกี่ยวข้องกันสักหน่อย) ฉันไม่วายอดคิดขึ้นมาอีก

แต่ครีมไม่ปล่อยผ่าน เธอรีบกระซิบกระซาบข้างหูพี่ชายตัวเองอย่างตื่นเต้น

“เฮีย ฟ้าใสเพิ่งได้จดหมายรักละ”

ฉันตวัดสายตาไปมองเพื่อนตัวดีทันที “ครีม!”

เฮียครามเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตายังนิ่งเหมือนเดิม       แต่ก็มีบางอย่างในแววตาที่ฉันอ่านไม่ออก

“ขึ้นรถ เป็นเด็กเป็นเล็กเรื่องพวกนี้อย่าเพิ่งคิดเลยจะดีกว่า” เขาพูดออกมาเสียงเข้มก่อนจะยื่นหมวกกันน็อกให้ครีม ฉันยังไม่ทันได้ตอบโต้ว่าฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เขาก็ขี่รถออกไปไกลเสียแล้ว

ฉันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมท่ามกลางสายลมพัดเอื่อยแต่กลับรู้สึกร้อนที่ใบหน้าอย่างไม่รู้สาเหตุ

(อะไรของเขา… ทำไมต้องมาพูดแบบนั้นด้วย เป็นเด็กเป็นเล็กเรื่องพวกนี้อย่าเพิ่งคิดเลยจะดีกว่า?)

ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด! ฉันแค่... แค่... แค่กำลังประหม่าเพราะมันเป็นเรื่องน่าอายเท่านั้นเอง!

ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบมามองฉันก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา

“ดูเหมือนเฮียครามจะเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้นะ”

“เห็นแล้วยังไงเล่า! ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”         ฉันเผลอขึ้นเสียงด้วยความโมโหพลางสะบัดหน้าเดินนำไปที่ป้ายรถสองแถวเพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันกำลังหงุดหงิดโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ม่านเมฆไม่ได้ตามมาทันทีเนื่องจากเขาคงรู้อารมณ์ของฉัน

ระหว่างที่รอรถฉันเหลือบมองกระเป๋านักเรียนที่มีจดหมายของต้นซุกอยู่ข้างใน จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามันหนักขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ตกลงเจ้จะอ่านเมื่อไหร่?” ม่านเมฆถามขึ้นมาลอย ๆ เมื่อเดินตามฉันทัน

“ยังไม่อ่านหรอก!” ฉันตอบกลับเสียงแข็ง ม่านเมฆไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก

“เฮ้อ... เอาเถอะ กลับบ้านกันก่อนดีกว่า”

พอถึงบ้านฉันทิ้งตัวลงบนเตียงพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่หยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋านักเรียนมองมันด้วยความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด

(จะอ่านดีไหมนะ...)

ส่วนหนึ่งอยากรู้ว่าต้นเขียนอะไร แต่อีกส่วนหนึ่งก็กลัวว่ามันจะเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากได้ยิน

“บ้าเอ๊ย!” ฉันบ่นกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจเก็บจดหมายไว้ในกล่องใส่ของสำคัญโดยไม่เปิดอ่าน

(ขอเวลาทำใจอีกหน่อยแล้วกัน…)

ฉันหันไปหยิบสมุดแฟรนด์ชิพของตัวเองที่มีลายมือของเพื่อนขึ้นมาแทน มันเป็นสมุดเล่มหนาที่เต็มไปด้วยลายมือของเพื่อนในห้องและต่างห้อง แต่ละหน้ามีทั้งคำอวยพร รูปวาดลายเส้นน่ารัก ๆ และข้อความตลกตามสไตล์เด็กมัธยมต้น

'ฟ้าใส อย่าลืมกันนะ! ขอให้สอบติดโรงเรียนใหม่!'

'แกมันคนดีเวอร์! ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมมีแต่คนชอบแก!'

'อย่าลืมมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าบ้างนะเว้ย!'

ฉันอมยิ้มขณะอ่านข้อความเหล่านั้น มันทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งในอกเบาลงไปอย่างไม่รู้ตัว

เวลาผ่านไปจนถึงหัวค่ำ ฉันเดินลงไปข้างล่างเห็นม่านเมฆนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ส่วนแม่กำลังเตรียมอาหารเย็นในครัว

“แม่คะ...” ฉันเดินเข้าไปกอดเอวแม่รู้สึกอยากอ้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

แม่หัวเราะก่อนจะลูบหัวฉัน “เป็นอะไรลูก เหนื่อยเหรอ?”

“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่า... เวลามันผ่านไปเร็วมาก”

แม่พยักหน้าอย่างเข้าใจ “มันก็เป็นแบบนี้แหละลูก ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้าเสมอ”

ฉันซบหน้าลงกับไหล่แม่พลางพึมพำ “แต่หนูยังรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วเกินไปหนูยังอยากเป็นเด็กอยู่เลย”

หลังจากวันนั้นฉันก็ลืมเรื่องจดหมายไปอย่างสนิทจนกระทั่งเข้าสู่เช้าวันที่ 3 เมษายน ที่ฉันรู้สึกว่าวันเวลาเดินเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

ฉันรู้สึกทั้งตื่นเต้นและเครียดปะปนกัน ในขณะที่ฉันยืนหน้ากระจกมองเงาสะท้อนของตัวเองในชุดนักเรียนที่ยังดูเรียบร้อย

เพราะว่าอีกสองตัวเต็มไปด้วยลายเซ็นและข้อความจากเพื่อน ๆ ทั้งในสอบวันสุดท้ายและวันปัจฉิม ฉันแอบดีใจที่มีเสื้อนักเรียนตัวสำรองสะอาดสะอ้านอยู่ ไม่อย่างนั้นคงต้องขอให้แม่ซื้อให้ใหม่และอาจจะโดนบ่นเอาได้

“เจ้ พร้อมหรือยัง?” ในขณะที่ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงของม่านเมฆพลันดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวเดินเข้ามา

“อือ” ฉันพยักหน้าพยายามไล่ความกังวลออกจากหัว

แม่เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เหมือนเคย ข้าวต้มร้อนวางอยู่ตรงหน้า ป๊ายืนกอดอกมองฉันกับม่านเมฆสลับกัน

“ไม่ต้องเครียด ทำให้เต็มที่ก็พอ” ป๊าพูดเสียงเรียบแต่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้น

“ค่ะป๊า/ครับป๊า”

“เดี๋ยวแม่รอผลสอบนะลูก สู้ ๆ” แม่ลูบหัวฉันสลับกับแผ่นหลังของม่านเมฆ

หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉันกับม่านเมฆก็ออกเดินทางไปยังโรงเรียนมัธยมศรีปฐมที่พวกเราสมัครไว้

บรรยากาศหน้าสนามสอบเต็มไปด้วยนักเรียนที่มาจากหลายโรงเรียน ทุกคนต่างจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น บ้างก็นั่งอ่านหนังสือทบทวน บ้างก็ดูตึงเครียดจนไม่พูดอะไรเลย

“ฟ้าใส!” เสียงของครีมดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันหันไปก็เห็นเธอเดินตรงมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม “ตื่นเต้นไหม?”

“มาก” ฉันตอบตามตรง

“ฉันก็เหมือนกัน แต่เราก็อ่านหนังสือกันมาเยอะแล้ว           ไม่ต้องห่วงหรอก! มั้ง” ครีมพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มแห้งอย่างไม่มั่นใจ

ฉันพยักหน้า แม้จะพยายามไม่เครียดแต่ก็ยังอดรู้สึกกดดันไม่ได้อยู่ดี ไม่นานนักก็ถึงเวลาที่นักเรียนทุกคนต้องแยกย้ายกันเข้าสู่ห้องสอบ ฉันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้วยกัน

“สู้ ๆ นะ นายทำได้อยู่แล้ว” ฉันพูดพร้อมกับยื่นกำปั้นออกไป ม่านเมฆยิ้มขำก่อนจะยื่นกำปั้นมาตีกับของฉันเบา ๆ

“เจ้ก็เหมือนกัน”

ครีมมองพวกเราสองคนแล้วหัวเราะ “โอเค งั้นเจอกันตอนสอบเสร็จนะ!”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   ตอนพิเศษ พยานรักตัวน้อย ๆ

    หลายปีผ่านไป... หลังจากครามเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์และเริ่มต้นชีวิตการทำงานในฐานะวิศวกรหนุ่มอนาคตไกล เขาทุ่มเทให้กับงานในบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งแต่หัวใจของเขาก็ไม่เคยห่างจากจังหวัดบ้านเกิด และที่สำคัญที่สุดคือผู้หญิงที่เขามอบเกียร์และหัวใจให้ไปนานแล้วทางด้านฟ้าใสเธอก็ก้าวเข้าสู่ช่วงปีสุดท้ายของการเรียนในคณะศิลปกรรมฯ ชีวิตที่เคยพลิกผันเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บัดนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ป๊าของเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้สำเร็จแม้การเดินจะยังไม่กลับมาเป็นปกติร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมแต่ด้วยกำลังใจที่ดีและการทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอท่านก็สามารถกลับมาเดินเหินได้คล่องแคล่วขึ้นมาก อีกทั้งยังเข้ามาช่วยดูแลร้านสุกี้ในส่วนที่ไม่ต้องออกแรงมากได้ด้วย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เคยจางหายไปนานกลับมาสู่ครอบครัวของเธออีกครั้งกิจการร้านขนมและร้านสุกี้ก็ดำเนินต่อไปได้ด้วยดีโดยมีฟ้าใสและคุณแม่เป็นหัวเรือใหญ่ และแน่นอนว่ามีครามคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังเสมอในยามที่เธอต้องการ ระยะทางและตารางเวลาที่แตกต่างไม่ได้ทำให้ความรักของครามและฟ้าใสลดน

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   รักของเราคือรสช็อกโกแลต

    หลายเดือนผ่านไป... วันเวลาหมุนเวียนจากเทอมแรกเข้าสู่เทอมที่สองของปีการศึกษา กลิ่นอายของวันวาเลนไทน์เริ่มอบอวลไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย สติ๊กเกอร์รูปหัวใจและดอกกุหลาบมีให้เห็นตามมุมต่าง ๆชีวิตของฟ้าใสเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น แม้จะยังคงวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยเป็นสองเท่าของนักศึกษาทั่วไป เธอกลับไปเรียนตามปกติพยายามตามงานที่ขาดไปในช่วงแรกอย่างสุดกำลังพ่อของเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้วแต่อาการบาดเจ็บที่ขายังคงต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาระการดูแลร้านทั้งสองแห่งยังคงตกอยู่ที่เธอกับแม่เป็นหลัก แต่เธอก็เริ่มปรับตัวและจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้คล่องแคล่วขึ้นรวมถึงความสัมพันธ์กับครามก็ยังคงดำเนินไปในรูปแบบเดิม... เขาคือพี่ชายตรงข้ามบ้านที่แสนดี สารถีคนสำคัญ และผู้ช่วยจำเป็นในทุกสถานการณ์ ความช่วยเหลือของเขาทำให้เธอผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้บ่ายของวันวาเลนไทน์หลังเลิกคลาส ฟ้าใสตั้งใจจะเอาขนมเค้กช็อกโกแลตที่เธอหัดทำเมื่อคืนไปให้ครามลองชิม และถือโอกาสขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เขาช่วยม

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   การเติบโตชั่วข้ามคืนของฟ้าใส (2)

    "ลูกอยู่นี่เอง แม่ก็รอว่าจะมาพร้อมลูกแต่ก็ดีแล้วละที่ลูกอยู่ตรงนี้" กิมลั้งพูดกับลูกชายหลังเห็นว่าเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนฟ้าใสกับแม่พลางทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ลลิตาที่ยังคงมีดวงตาแดงก่ำ"ลิตา เฮียหลงเป็นยังไงบ้าง" เธอหันไปถามเพื่อนบ้านด้วยความเป็นห่วงโดยจับมือลลิตาไว้แน่นลลิตาสูดหายใจลึก พยายามกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง "เพิ่งจะย้ายเข้าไอซียูเมื่อกี๊นี้เองลั้ง... หมอบอกว่ากระดูกหักหลายที่ เสียเลือดมาก... ยังต้องรอดูอาการใกล้ชิด..." เสียงเธอสั่นเครือในตอนท้าย"โถ... ไม่เป็นไรนะลิตา ไม่เป็นไร" กิมลั้งบีบมือเพื่อนแน่นขึ้น "ปลอดภัยแล้ว ถือว่าพ้นขีดอันตรายระดับนึงแล้วนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น ต้องเชื่อมั่นในตัวหมอ แล้วก็บุญกุศลที่อาหลงเขาทำมาเยอะแยะนะเพื่อนนะ" เธอกล่าวปลอบใจอย่างจริงใจ"มีอะไรให้ฉันสองคนช่วยบอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน""ขอบใจมากนะลั้ง..." ลลิตาพยักหน้ารับทั้งน้ำตาครามมองภาพผู้ใหญ่ให้กำลังใจกัน ก่อนจะหันไปพูดเรื่องที่จำเป็น "ป๊า ม๊า เดี๋ยวผมว่าจะพาฟ้าใสไปดูร้านที่ตลาดโต้รุ่งก่อน แล้วก็อาจจะแวะไปดูร้านสุกี้ด้ว

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   การเติบโตชั่วข้ามคืนของฟ้าใส (1)

    ทุกวินาทีที่ผ่านไปหน้าห้องผ่าตัดคล้ายเป็นการทรมานสำหรับคนรอคอย ฟ้าใสยังคงกอดแม่ไว้แน่นมีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาเป็นระยะขณะที่ผู้เป็นแม่ก็ได้แต่ลูบหลังปลอบลูกสาว ดวงตาจับจ้องบานประตูห้องผ่าตัดด้วยใจที่ร้อนรน ครามยังคงยืนอยู่ไม่ห่าง คอยเป็นหลักให้สองแม่ลูกอย่างเงียบงันตามเดิมบรรยากาศระหว่างพวกเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและคำภาวนาในใจทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าเฉพาะตัวของเครื่องพีซีทีในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของครามก็ดังขึ้นทำลายความเงียบงันแสนหนักอึ้งนั้นลง ครามขมวดคิ้วและเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาเจ้าตัวก็รู้แล้วว่าทางนั้นคงจะร้อนใจไม่ต่างกัน"เฮีย! ป๊าของฟ้าใสเป็นยังไงบ้าง" เสียงครีมน้องสาวของเขาดังลอดออกมาทันทีที่เขากดรับสาย น้ำเสียงสั่นเครือและเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด"แม่เพิ่งโทรมาบอกว่าคุณอาโดนรถชน! ท่านเป็นอะไรมากไหมเฮีย? ครีมเป็นห่วงมากเลย!" ความสนิทสนมระหว่างครอบครัวทำให้ครีมรู้สึกผูกพันและตกใจกับข่าวร้ายไม่น้อย"ใจเย็น ๆ ก่อนครีม" ครามตอบกลับพยายามใช้เสียงที่สงบและมั่นคงที่สุดเพื่อไม่ให้น้องสาวที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงต้องตื่นตระหนกไปมากกว่า

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   เคียงข้าง

    ครามวิ่งมาถึงบริเวณที่จัดกิจกรรมของคณะศิลปกรรมศาสตร์อย่างรวดเร็ว เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายบนขมับและข้างแก้ม ดวงตาคมกวาดมองหากลุ่มเพื่อนของฟ้าใสที่พอจะคุ้นหน้าอยู่บ้างท่ามกลางความวุ่นวายจนกระทั่งไปสะดุดตากับกลุ่มนักศึกษาปีสองในชุดคณะที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฟ้าใสเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขาจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทของเธอเขารีบก้าวเท้าเข้าไปหาทันที ลมหายใจหอบเล็กน้อย "น้องครับ....พี่มาหาฟ้าใส" เขาถามออกไปน้ำเสียงเคร่งเครียดและแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด"เห็นฟ้าใสไหมครับ?"เพื่อน ๆ ของฟ้าใสกลุ่มนั้นหันมามองรุ่นพี่ต่างคณะอย่างแปลกใจระคนสงสัย ปกติไม่ค่อยเห็นเฮียครามคนดังของวิศวะฯ มาทำหน้าตาตื่นแถวนี้เท่าไหร่นัก ก่อนที่เพื่อนคนที่สนิทกับฟ้าใสที่สุดจะรีบตอบ"พี่คราม..." เธอทำหน้างง ๆ เล็กน้อยเรียกชื่อของเขาออกมา "เมื่อกี้ฟ้าใสมันบอกว่าเพจเจอร์เข้า ขอตัวไปโทรศัพท์ค่ะ เห็นวิ่งหน้าตาตื่นไปทางตู้โทรศัพท์ตรงโถงทางเดินนู้นแน่ะค่ะ" หญิงสาวชี้นิ้วไปยังทางเดินด้านในตัวอาคารที่ค่อนข้างเงียบกว่าบริเวณลานกิจกรรม"ไปได้สักพักแล้ว..ยังไม่เห็

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   ห่วง

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากปีหนึ่งเทอมแรกกิจกรรมรับน้อง การเรียน การสอบ วนเวียนจนกระทั่งทุกอย่างผ่านพ้นไปหนึ่งปีการศึกษาเต็ม ๆความสัมพันธ์ระหว่างครามและฟ้าใสยังคงดำเนินไปในรูปแบบของเพื่อนบ้านและพี่ชายที่แสนดีอย่างที่หลายคนเห็นครามยังคงวนเวียนเข้ามาช่วยเหลือฟ้าใสอยู่เสมอ ทั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างการช่วยถือของ ซื้อขนมมาฝากหรือแม้แต่ช่วยดูเรื่องความปลอดภัยตอนเธอกลับบ้านดึก ๆและบางครั้งก็รวมถึงเรื่องที่มหาวิทยาลัย ทำให้เธอกับเขายิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยปริยายตามประสาคนที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันส่วนขุนเขา...เขาก็ยังคงเป็นขุนเขาคนเดิม ไม่เคยถอดใจจากเป้าหมาย แม้จะไม่ได้ทุ่มเทเข้าหาฟ้าใสอย่างหนักหน่วงเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน แต่ก็ยังคงหาโอกาสเข้ามาทักทาย ชวนคุยหรือทำตัวเป็นเพื่อนจอมกวนให้เธอได้เห็นหน้าอยู่เสมอส่งผลให้ฟ้าใสถูกเพื่อนสนิทในกลุ่มศิลปกรรมฯ แซวจนหูชาทั้งเรื่องพี่ชายข้างบ้านสุดอบอุ่นและเด็กวิศวะฯ จอมตื๊อหน้ามึนลึก ๆ แล้วฟ้าใสเองก็อดรู้สึกแปลก ๆ ก

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status