“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว
“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”
ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก
“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉัน
ฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้
“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”
ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตาม
ครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”
“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ม่านเมฆที่เงียบอยู่นานพลันถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “ผมบอกเจ้แล้วว่าอย่าใจดีไปทั่ว”
ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่น้องชาย “นายหมายความว่ายังไง? เรื่องที่ฉันใจดีมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”
ม่านเมฆยักไหล่ “ก็เจ้ชอบช่วยคนอื่นไปทั่วไง ใคร ๆ ก็ต้องประทับใจเป็นธรรมดา”
ฉันเบ้ปาก “นี่นายคิดว่าฉันไปให้ความหวังเขาหรือไง?”
“ก็ไม่รู้สิ…” ม่านเมฆลากเสียง “แต่ดูจากสีหน้าของหมอนั่นแล้ว เจ้ลองอ่านจดหมายก่อนแล้วกัน”
ฉันเม้มปากแน่นหัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่ถือกระเป๋ากำแน่นขึ้นเล็กน้อยพยายามไม่ให้ตัวเองเผลอคิดอะไรไปไกล ครีมที่ยังคงตื่นเต้นอยู่ด้านข้างมองฉันสลับกับจดหมายในกระเป๋าราวกับรอไม่ไหวที่จะได้รู้เนื้อหาข้างใน
ขณะที่ฉันกำลังหายใจเข้าปอดลึกเพื่อพยายามปรับอารมณ์ เสียงเครื่องยนต์ดังแว่วเข้ามาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คันคุ้นตาจอดเทียบหน้าประตูโรงเรียน
ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กางเกงยีนส์ฟอกสีเข้ม รองเท้าผ้าใบ Adidas สีขาวขลิบดำ แว่นกันแดดที่วางอยู่บนสันจมูก และกระเป๋าสะพายข้างสีดำทุกอย่างดูเข้ากันอย่างไม่มีที่ติ
ครีมที่ยืนอยู่กับฉันถึงกับเบิกตากว้าง
“เฮ้ย! ทำไมเฮียมาเร็วจังอ่ะ!”
เฮียครามดึงแว่นกันแดดลงเล็กน้อยก่อนจะมองมาทางพวกเรา สายตาเขาหยุดลงที่ฉันเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบไปมองต้นที่ยังเดินไม่ห่างจากพวกเรามากนักเหมือนว่าเฮียครามจะเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เต็มตา
ฉันรีบเบือนหน้าหนีไม่อยากสบตากับเขาแต่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องมองฉันอยู่ สายตาคมกริบยังคงมองมาจนฉันเผลอเม้มปากแน่น
มือที่กุมสายสะพายกระเป๋าแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว (บ้าจริง ทำไมฉันต้องแคร์ด้วยว่าคนอื่นจะคิดยังไง… ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย) ฉันคิดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ไม่ใช่เพราะต้น แต่เพราะสถานการณ์มันทำให้ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนไปหมด เรื่องแบบนี้มันน่าอายจะตายไป
ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องความรักแบบจริงจัง และก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครมายื่นจดหมายให้ฉันแบบนี้ด้วย ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้อีก! มันเหมือนฉันถูกเปิดโปงอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“มีอะไรเหรอ?” น้ำเสียงเรียบ ๆ ของเฮียครามดังขึ้น ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรค่ะ” (เป็นคนมองฉันก่อนแท้ ๆ แต่เฮ้อช่างเถอะฉันกับเขาไม่เกี่ยวข้องกันสักหน่อย) ฉันไม่วายอดคิดขึ้นมาอีก
แต่ครีมไม่ปล่อยผ่าน เธอรีบกระซิบกระซาบข้างหูพี่ชายตัวเองอย่างตื่นเต้น
“เฮีย ฟ้าใสเพิ่งได้จดหมายรักละ”
ฉันตวัดสายตาไปมองเพื่อนตัวดีทันที “ครีม!”
เฮียครามเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตายังนิ่งเหมือนเดิม แต่ก็มีบางอย่างในแววตาที่ฉันอ่านไม่ออก
“ขึ้นรถ เป็นเด็กเป็นเล็กเรื่องพวกนี้อย่าเพิ่งคิดเลยจะดีกว่า” เขาพูดออกมาเสียงเข้มก่อนจะยื่นหมวกกันน็อกให้ครีม ฉันยังไม่ทันได้ตอบโต้ว่าฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เขาก็ขี่รถออกไปไกลเสียแล้ว
ฉันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมท่ามกลางสายลมพัดเอื่อยแต่กลับรู้สึกร้อนที่ใบหน้าอย่างไม่รู้สาเหตุ
(อะไรของเขา… ทำไมต้องมาพูดแบบนั้นด้วย เป็นเด็กเป็นเล็กเรื่องพวกนี้อย่าเพิ่งคิดเลยจะดีกว่า?)
ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด! ฉันแค่... แค่... แค่กำลังประหม่าเพราะมันเป็นเรื่องน่าอายเท่านั้นเอง!
ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบมามองฉันก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“ดูเหมือนเฮียครามจะเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้นะ”
“เห็นแล้วยังไงเล่า! ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ฉันเผลอขึ้นเสียงด้วยความโมโหพลางสะบัดหน้าเดินนำไปที่ป้ายรถสองแถวเพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันกำลังหงุดหงิดโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ม่านเมฆไม่ได้ตามมาทันทีเนื่องจากเขาคงรู้อารมณ์ของฉัน
ระหว่างที่รอรถฉันเหลือบมองกระเป๋านักเรียนที่มีจดหมายของต้นซุกอยู่ข้างใน จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามันหนักขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ตกลงเจ้จะอ่านเมื่อไหร่?” ม่านเมฆถามขึ้นมาลอย ๆ เมื่อเดินตามฉันทัน
“ยังไม่อ่านหรอก!” ฉันตอบกลับเสียงแข็ง ม่านเมฆไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“เฮ้อ... เอาเถอะ กลับบ้านกันก่อนดีกว่า”
พอถึงบ้านฉันทิ้งตัวลงบนเตียงพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่หยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋านักเรียนมองมันด้วยความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด
(จะอ่านดีไหมนะ...)
ส่วนหนึ่งอยากรู้ว่าต้นเขียนอะไร แต่อีกส่วนหนึ่งก็กลัวว่ามันจะเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากได้ยิน
“บ้าเอ๊ย!” ฉันบ่นกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจเก็บจดหมายไว้ในกล่องใส่ของสำคัญโดยไม่เปิดอ่าน
(ขอเวลาทำใจอีกหน่อยแล้วกัน…)
ฉันหันไปหยิบสมุดแฟรนด์ชิพของตัวเองที่มีลายมือของเพื่อนขึ้นมาแทน มันเป็นสมุดเล่มหนาที่เต็มไปด้วยลายมือของเพื่อนในห้องและต่างห้อง แต่ละหน้ามีทั้งคำอวยพร รูปวาดลายเส้นน่ารัก ๆ และข้อความตลกตามสไตล์เด็กมัธยมต้น
'ฟ้าใส อย่าลืมกันนะ! ขอให้สอบติดโรงเรียนใหม่!'
'แกมันคนดีเวอร์! ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมมีแต่คนชอบแก!'
'อย่าลืมมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าบ้างนะเว้ย!'
ฉันอมยิ้มขณะอ่านข้อความเหล่านั้น มันทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งในอกเบาลงไปอย่างไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปจนถึงหัวค่ำ ฉันเดินลงไปข้างล่างเห็นม่านเมฆนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ส่วนแม่กำลังเตรียมอาหารเย็นในครัว
“แม่คะ...” ฉันเดินเข้าไปกอดเอวแม่รู้สึกอยากอ้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
แม่หัวเราะก่อนจะลูบหัวฉัน “เป็นอะไรลูก เหนื่อยเหรอ?”
“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่า... เวลามันผ่านไปเร็วมาก”
แม่พยักหน้าอย่างเข้าใจ “มันก็เป็นแบบนี้แหละลูก ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้าเสมอ”
ฉันซบหน้าลงกับไหล่แม่พลางพึมพำ “แต่หนูยังรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วเกินไปหนูยังอยากเป็นเด็กอยู่เลย”
หลังจากวันนั้นฉันก็ลืมเรื่องจดหมายไปอย่างสนิทจนกระทั่งเข้าสู่เช้าวันที่ 3 เมษายน ที่ฉันรู้สึกว่าวันเวลาเดินเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ฉันรู้สึกทั้งตื่นเต้นและเครียดปะปนกัน ในขณะที่ฉันยืนหน้ากระจกมองเงาสะท้อนของตัวเองในชุดนักเรียนที่ยังดูเรียบร้อย
เพราะว่าอีกสองตัวเต็มไปด้วยลายเซ็นและข้อความจากเพื่อน ๆ ทั้งในสอบวันสุดท้ายและวันปัจฉิม ฉันแอบดีใจที่มีเสื้อนักเรียนตัวสำรองสะอาดสะอ้านอยู่ ไม่อย่างนั้นคงต้องขอให้แม่ซื้อให้ใหม่และอาจจะโดนบ่นเอาได้
“เจ้ พร้อมหรือยัง?” ในขณะที่ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงของม่านเมฆพลันดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวเดินเข้ามา
“อือ” ฉันพยักหน้าพยายามไล่ความกังวลออกจากหัว
แม่เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เหมือนเคย ข้าวต้มร้อนวางอยู่ตรงหน้า ป๊ายืนกอดอกมองฉันกับม่านเมฆสลับกัน
“ไม่ต้องเครียด ทำให้เต็มที่ก็พอ” ป๊าพูดเสียงเรียบแต่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้น
“ค่ะป๊า/ครับป๊า”
“เดี๋ยวแม่รอผลสอบนะลูก สู้ ๆ” แม่ลูบหัวฉันสลับกับแผ่นหลังของม่านเมฆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉันกับม่านเมฆก็ออกเดินทางไปยังโรงเรียนมัธยมศรีปฐมที่พวกเราสมัครไว้
บรรยากาศหน้าสนามสอบเต็มไปด้วยนักเรียนที่มาจากหลายโรงเรียน ทุกคนต่างจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น บ้างก็นั่งอ่านหนังสือทบทวน บ้างก็ดูตึงเครียดจนไม่พูดอะไรเลย
“ฟ้าใส!” เสียงของครีมดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันหันไปก็เห็นเธอเดินตรงมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม “ตื่นเต้นไหม?”
“มาก” ฉันตอบตามตรง
“ฉันก็เหมือนกัน แต่เราก็อ่านหนังสือกันมาเยอะแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก! มั้ง” ครีมพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มแห้งอย่างไม่มั่นใจ
ฉันพยักหน้า แม้จะพยายามไม่เครียดแต่ก็ยังอดรู้สึกกดดันไม่ได้อยู่ดี ไม่นานนักก็ถึงเวลาที่นักเรียนทุกคนต้องแยกย้ายกันเข้าสู่ห้องสอบ ฉันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“สู้ ๆ นะ นายทำได้อยู่แล้ว” ฉันพูดพร้อมกับยื่นกำปั้นออกไป ม่านเมฆยิ้มขำก่อนจะยื่นกำปั้นมาตีกับของฉันเบา ๆ
“เจ้ก็เหมือนกัน”
ครีมมองพวกเราสองคนแล้วหัวเราะ “โอเค งั้นเจอกันตอนสอบเสร็จนะ!”
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน