ช่วงบ่ายเริ่มต้นด้วยวิชาศิลปะที่ฟ้าใสค่อนข้างชื่นชอบเป็นพิเศษและในระหว่างนี้ครูผู้สอนได้ให้พวกเธอออกมาวาดภาพภายนอกห้องเรียน
เด็กทุกคนภายในห้องค่อนข้างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ออกมาและในระหว่างที่ทุกคนเดินออกมาทางสนามกีฬาแต่ละคนก็เห็นว่ากลางสนามกำลังมีนักเรียนเตะฟุตบอลกันอยู่
“ครีม คนนั้นใช่เฮียครามไหม” ฟ้าใสชี้นิ้วของตนไปทางนักเรียนชายในชุดพละศึกษาคนหนึ่งที่กำลังไล่เตะลูกฟุตบอลอยู่กลางสนามอย่างตั้งใจ
“แกนี่ตาดีจัง นั่นเฮียของฉันกำลังจะชู๊ตแล้ว” น้ำเสียงของครีมค่อนข้างตื่นเต้นโดยมีเพื่อนนักเรียนในห้องไม่วายมองไปทางสนามพร้อมกันก่อนจะมีเสียงของใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“นอกจากรุ่นพวกเรากับนักเรียนหญิง ม.1ของปีนี้แล้ว ก็ยังไม่มีนักเรียนหญิงของปีอื่นเลยใช่ไหม” เสียงของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในห้องถามออกมาอย่างสงสัย
“เธอเข้าใจถูกแล้วแต่ก่อนโรงเรียนนี้มีแต่นักเรียนชายซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดรับผู้หญิงทั้งม.ต้นและม.ปลาย” เสียงของน้ำหนึ่งดังขึ้นหลังได้ยินคำถามของเพื่อนในห้อง
“นี่แหละเหตุผลที่ฉันพยายามสอบเข้าที่นี่” น้ำเสียงของเด็กสาวอีกคนพูด
“ทำไม” ใครคนหนึ่งในห้องถามอย่างสงสัย
“ก็ไม่ทำไม เธอไม่คิดหรอกหรือว่าการเป็นอะไรรุ่นแรกมันมีข้อดีอยู่เยอะนะเหมือนอย่างในการ์ตูนไงฮิฮิ” คำตอบของเด็กหญิงคนนั้นทำให้ฟ้าใสส่งเสียงหัวเราะออกมาพลางเอาข้อศอกกระแทกเข้ากับต้นแขนของครีมเบา ๆ
“น้ำตาลติดการ์ตูนเหมือนแกเลย” ครีมมองค้อนเพื่อนก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่ยินยอม
“แกก็ติดเหมือนกันนั่นแหละอย่างเรื่องคำสาปฟาโรห์ไง” คำพูดของครีมทำให้ฟ้าใสได้แต่ยอมรับและในขณะที่พวกเธอกำลังพูดคุยกันเสียงเฮจากในสนามก็ดังขึ้น
“เจ้ฟ้าใส เจ้ครีม เห็นลูกเตะของเฮียครามเมื่อกี้ไหมโคตรเท่อ่ะ” เสียงของม่านเมฆแสดงความตื่นเต้น
“เห็นสิ เฮียฉันเจ๋งสุด ๆ” ครีมไม่วายอวยพี่ชายเสียงดัง
น้ำหนึ่งที่อยู่ด้วยกันสงสัยว่าทำไมม่านเมฆถึงเรียกครีมกับฟ้าใสว่าเจ้ทั้งที่พวกเขาน่าจะอายุเท่ากัน ไวเท่าความคิดเด็กชายไม่รอช้าจึงได้ถามออกมาทันที
“ม่านเมฆทำไมนายเรียกฟ้าใสกับครีมว่าเจ้ล่ะ”
ม่านเมฆยกมือเกาหัวก่อนตอบตามตรง “มันชินอ่ะ อีกอย่างฟ้าใสเป็นพี่สาวฝาแฝดของฉัน ส่วนเจ้ครีมก็เป็นเพื่อนของเจ้มาตั้งแต่ประถมฉันก็เลยเรียกแบบนี้มาตลอด”
“นายเป็นฝาแฝดกันหรือ ทำไมหน้าตาไม่เหมือนกันเลยล่ะ” น้ำหนึ่งนึกว่าสองคนเป็นญาติกันเพราะนามสกุลเหมือนกันแค่นั้นไม่นึกว่าเป็นแฝด
“หากเหมือนกันก็ประหลาดสิ ฉันเป็นผู้ชายนะแต่ฉันว่าตัวเองก็ไม่แย่นะนายไม่คิดว่าฉันเองก็หล่อหรอกเหรอ”
น้ำหนึ่งมองใบหน้าของม่านเมฆสลับกับฟ้าใส “พี่สาวนายนะหน้าตาดีกว่านายเยอะเลย นายนี่หลงตัวเองชะมัดถ้าพูดถึงความหล่อฉันว่าฉันหน้าตาดีกว่านายอีก”
เสียงโห่ดังขึ้นจากนักเรียนชายในห้องทันที “หัวหน้าห้อง นายนี่ไม่หลงตัวเองเลยนะ” นักเรียนในห้องมีความสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วหัวเราะให้กับคำพูดของเขา
และก่อนที่ทุกคนจะส่งเสียงดังไปมากกว่านี้ครูผู้สอนก็สั่งงานให้ทุกคนไปวาดรูปดอกไม้ใบหญ้ารอบ ๆ สนามกีฬาดังนั้นทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ
ฟ้าใสเดินมากับครีม ซึ่งเด็กทั้งสองเลือกนั่งใต้ต้นไม้ที่หันหน้าเข้าหาสนามฟุตบอลที่มีเด็กนักเรียนม.6กำลังเรียนวิชาพละกันอยู่
“ครีมแกจะวาดอะไร” ฟ้าใสถามเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“เรื่องนี้... ฟ้าใสฉันอยากให้แกวาดรูปเฮียครามเตะฟุตบอลได้ไหม ฉันอยากให้เป็นของขวัญวันเกิดเฮีย” คำว่าวันเกิดทำให้ฟ้าใสมองหน้าเพื่อนด้วยความฉงน
“วันเกิดใครนะ”
ครีมมองเพื่อนพลางยิ้มแหยออกมา “วันนี้วันเกิดเฮียครามแต่ว่าฉันลืมเพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับวันเปิดเรียน”
“แกนี่มัน... แล้วแกต้องการจะเซอร์ไพรส์เขาไหม”
“อืมความคิดแกไม่เลวตอนเย็นพวกเราแวะซื้อเค้กกันไหม” ครีมถามความคิดเห็นของเพื่อนที่กำลังเริ่มลงมือสเก็ตซ์ภาพอย่างตั้งใจ
“ก็ดีนะ” ฟ้าใสตอบแค่นั้นก่อนที่เธอจะตั้งใจทำงานในมือซึ่งเป็นงานที่ครูผู้สอนสั่งก่อน หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวก็ได้วาดภาพเชิงการ์ตูนซึ่งต้นแบบก็คือเฮียคราม
“เหี้ย! คราม” ธรส่งเสียงเรียกชื่อเขาออกมา
“กูชื่อคราม ไม่มีเหี้..นำหน้า เรียกทำไม” ครามถามพลางเดาะฟุตบอลไปด้วย
“มีคนแอบมองมึง” รอยยิ้มเชิงหยอกเย้าของธรเกลื่อนใบหน้า
“ใคร?” เจ้าของชื่อหาได้สนใจสิ่งอื่นนอกจากลูกกลม ๆ ที่อยู่ในเท้าของตน
“
เพื่อนของน้องสาวมึงคนนั้นอ่ะ” ธรพยักปลายคางมาทางฟ้าใสที่กำลังจดจ่ออยู่กับการวาดภาพให้เพื่อนโดยไม่ทันได้สังเกตอะไร
สายตาของครามมองมาตามสายตาของเพื่อนและก็เห็นว่าฟ้าใสกำลังก้มหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาและดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มแบบ เก้อ ๆ ออกมา
“น้องเขาแอบมองมึง” ธรยังคงกระเซ้าไม่เลิก
“มึงอ่ะเลอะเทอะ เขาเป็นเพื่อนน้องสาวกู ก็แค่ทักทายก็เท่านั้นเอง นั่นไงเห็นไหมกูบอกมึงแล้วว่าไม่มีอะไร” แม้ว่าปากจะพูดออกไปแบบนั้นทว่าคงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีว่าภายในใจของตนได้มีความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างกำลังถักทอ
“มึงไม่เชื่อก็ตามใจ” ธรยักไหล่ก่อนจะใช้เท้าแย่งลูกบอลของครามมาครอง
ช่วงเย็นภายในวันเดียวกันหลังจากกริ่งบอกสัญญาณเรียนของวิชาสุดท้ายสิ้นสุดลง เด็กชายหญิงทั้งสี่ที่ตอนนี้นับได้ว่าอยู่กลุ่มเดียวกันก็เดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมกัน
“พรุ่งนี้เป็นเวรของฉันกับม่านเมฆ ครีมแกจะกลับกับเฮียครามก่อนก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องรอเราสองคนนาน” ฟ้าใสพูดกับเพื่อนในระหว่างเดินออกประตูหน้ามาทางสะพานลอย
“ไม่เอาหรอก หากเป็นเวรของฉันแกกับม่านเมฆจะทิ้งฉันกลับบ้านก่อนไหมล่ะ” ครีมพูดพลางส่ายหน้า
“ไม่มีทาง” สองพี่น้องตอบออกมาราวนัดกัน
“พวกแกสามคนบ้านไปทางเดียวกันเหรอ” น้ำหนึ่งฟังบทสนทนาอย่างสงสัย
“ใช่ บ้านพวกเราอยู่ตรงข้ามกันเลย ว่าแต่บ้านของนายอยู่ไหน” ม่านเมฆตอบก่อนจะถามออกมาบ้าง
“อยู่ซอย 5 แยกกลางเมือง ฉันจะเดินกลับหรือจะนั่งรถเมล์ก็ได้” น้ำหนึ่งตอบก่อนจะเดินข้ามสะพานลอยมากับพวกเขาทั้งสามคน
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องไปต่อรถที่ตลาดก่อนใช่ไหม” ม่านเมฆถามขึ้นเนื่องจากซอย 5 แยกกลางเมืองไปคนละทางกับบ้านของพวกเขา
“อืม รถเมล์มาแล้วฉันไปก่อนนะเอาไว้เจอกันพรุ่งนี้” น้ำหนึ่งพยักหน้ารับ ก็พอดีรถโดยสารเข้าตลาดก็กำลังชะลอตัวลงตรงป้าย
“บ๊ายบาย พรุ่งนี้เจอกัน” หลังจากบอกลาน้ำหนึ่งแล้วทั้งสามคนก็เดินไปยังร้านเบเกอรี่ที่อยู่ห่างออกมาไม่ไกลซึ่งในระหว่างนั้นทั้งสามคนก็เห็นเฮียครามขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีธรซ้อนท้ายผ่านหน้าไป
“นั่นเฮียแกกับเพื่อนไม่ใช่เหรอ” ฟ้าใสชี้นิ้วไปทางมอเตอร์ไซค์สองคันที่กำลังขี่ไปตามถนน
“อืม หรือว่าเฮียจะไปฉลองกับเพื่อนกัน” ครีมทำสีหน้าครุ่นคิด
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องเค้กเอาไงจะยังซื้ออยู่ไหม” ม่านเมฆถามขึ้นอย่างสงสัย
“ซื้อสิ ไม่ใช่ว่าเฮียเขานัดกับนายว่าจะซ้อมกีตาร์ให้เหรอไม่แน่ว่าเพื่อนของเขาอาจจะไปกินข้าวที่บ้านก็ได้ ดีเสียอีกพวกเราซื้อเค้กไปจะได้เซอร์ไพรส์เขาด้วยไง” ครีมพูดพลางยกมือคล้องแขนของฟ้าใส
“ฉันว่าแกหาเรื่องอยากกินเองมากกว่า” ฟ้าใสกระเซ้า
ครีมหัวเราะร่วนให้กับคำพูดของเพื่อนก่อนตอบออกมาอย่างเขิน ๆ “แกนี่รู้ทันฉันตลอดเลย”
ทั้งสามคนพากันหัวเราะขึ้นมา และในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปทางร้านเบเกอรี่เด็กทั้งสามต้องเดินผ่านร้านหนังสือ ที่ไม่ได้มีเพียงแค่หนังสือเพราะมีสิ่งของเครื่องประดับชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่จัดวางอยู่เต็มร้าน
“แกแวะก่อนนะ ฉันอยากได้การ์ตูนคำสาปฟาโรห์เล่มใหม่อ่ะ ไม่รู้ว่ามาหรือยัง” ครีมดึงมือของเพื่อนพูดอ้อนวอน
“เจ้ครีมนี่พอกันกับเจ้ฟ้าเลยนะ ผมเห็นการ์ตูนเรื่องนี้พวกพี่ซื้อกันมาตั้งแต่ม.3ไม่ใช่เหรอป่านนี้ยังไม่จบอีก นานแล้วนะ” ม่านเมฆแซว
“ยุ่งน่า” ครีมแยกเขี้ยวใส่เขาก่อนหันไปทางฟ้าใส
“อยากซื้อก็แวะเข้าไปดูเถอะ” เมื่อฟ้าใสพูดออกมาแบบนี้ดังนั้นพวกเขาสามคนจึงได้เดินเข้าไปภายในร้าน ก่อนที่ฟ้าใสจะสะดุดตาเข้ากับพวงกุญแจที่เป็นรูปกีตาร์สีดำกับสีน้ำตาล
“ฟ้าใสมาถ่ายรูปรวมกับทุกคนเร็วเข้า” คนเป็นพ่อส่งเสียงเรียกหลังเห็นว่าเธอกำลังเดินตรงมาทางพวกเขา“ค่ะ” ฟ้าใสเข้าไปยืนอยู่ข้างม่านเมฆเป็นภาพแรกก่อนที่ป๊าจะสั่งให้ทุกคนเปลี่ยนตำแหน่งและท่าทางซึ่งฟ้าใสไม่รู้เลยว่าเธอได้มายืนข้างเฮียครามตอนไหนหลังจากป๊าของเธอได้รูปจนพอใจก็ถึงเวลาย้ายจากหน้าเวทีการแสดงดนตรีไปบริเวณท่าน้ำสถานที่ประกวดกระทงในค่ำคืนนี้เมื่อทุกคนมาถึงบริเวณริมน้ำก็พบกับผู้คนมากมายที่กำลังลอยกระทงกันอย่างสนุกสนาน แสงเทียนจากกระทงนับร้อยนับพันดวงส่องสว่างไสวไปทั่วบริเวณแม่น้ำสร้างบรรยากาศที่สวยงามและน่าประทับใจ“สวยจังเลย” ครีมเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ“ใช่ สวยมาก” ฟ้าใสพยักหน้าเห็นด้วย“พวกเราไปลอยกระทงกันบ้างดีไหม” ธรชวน“รอก่อนสิคะ ยังไม่รู้ผลการประกวดกระทงเลย” ครีมแย้ง เนื่องจากตอนนี้คณะกรรมการกำลังเดินตรวจกระทงของแต่ละโรงเรียนอย่างตั้งใจพร้อมกับให้คะแนน“ใช่แล้วค่ะ พวกเราต้องลุ้นผลกระทงของตัวเองก่อน” ฟ้าใสเห็นด้วยพลางจับมือของครีม
หลังจากฟ้าใสทำหน้าที่ของตนเรียบร้อยเธอก็ถูกครีมกับครอบครัวที่ตามมาชักชวนไปดูการแสดงดนตรีสด“ไปให้กำลังใจทุกคนกัน” ครีมพูดขึ้นเสียงดังพลางจับมือของฟ้าใสแน่นในระหว่างเดินเบียดเสียดผู้คนเพื่อไปทางหลังเวทีกลุ่มของครามต่างอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์สีดำรองเท้าผ้าใบตามสมัยนิยมที่แต่ละคนชื่นชอบเมื่อม่านเมฆมองเห็นพี่สาวเจ้าตัวก็รีบเดินเข้าหา “เจ้สวยจัง ผมว่าหลังจากวันนี้คงจะมีคนเหมือนต้นอีกหลายคน” คำว่าต้นทำให้ครีมหัวเราะคิกคักอย่างล้อเพื่อนออกมาน้ำหนึ่งที่ได้ยินเองก็เกิดความสงสัยเนื่องจากเขาเพิ่งจะมาอยู่กลุ่มเดียวกันกับสามคนนี้“ต้นคือใครเหรอแล้วเกี่ยวไรกับฟ้าใสล่ะ” วันนี้น้ำหนึ่งได้สลัดภาพเด็กเรียนในภาพลักษณ์เรียบร้อยออกจึงทำให้ใบหน้าของเจ้าตัวดูดีขึ้นอย่างชัดเจน“คือ....” ครีมแสร้งลากเสียงยาวก่อนจะอุทานออกมาด้วยความคาดไม่ถึง“นะ..นั่นใช่ต้นไหม” นิ้วของเธอชี้ไปทางเด็กต่างโรงเรียนคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดลำลองมีกระเป๋ากีตาร์สะพายอยู่ทางด้านหลังทุกสายตาย้ายไปมองตามนิ้วของค
“เหลืออีกสองวันก็จะถึงวันลอยกระทงแล้ว ช่วงนี้พวกเราก็ซ้อมกันอีกสักรอบแล้วกันนะ” ครามพูดพลางสังเกตการกระทำของฟ้าใสที่เธอกับน้องสาวของตนมาคอยทำหน้าที่ดูแลพวกตนไม่ว่าจะเป็นการซื้อน้ำดื่มหรือว่าหาขนมมาให้(สงสัยเราจะคิดมากไปเอง เด็กคนนี้คงเป็นพวกใครดีด้วยก็ล้วนตอบแทนอีกทั้งยังเป็นพวกมีน้ำใจกับทุกคน) เด็กหนุ่มคิดก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม“เฮีย! เป็นอะไร” คำถามของน้องทำให้ครามมองใบหน้ากลมของเธอด้วยความงุนงง“แกพูดอะไร ฉันจะเป็นอะไร”“หนูเห็นท่าทางเฮียแปลก ๆ ก็เลยถามดูเฮียไม่เป็นไรก็ดีเพราะเฮียเป็นหัวหน้าวงนะ” ครีมบอกปัด“แกนี่ท่าจะเพี้ยน” ครามพูดก่อนที่เจ้าตัวจะไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ก่อนที่เสียงดนตรีจะดังขึ้นอีกครั้งในขณะที่วันลอยกระทงเริ่มเข้ามาใกล้ โรงเรียนแต่ละโรงเรียนก็กำลังทำกระทงซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกปี โดยที่ปีนี้ห้องที่รับหน้าที่ทำกระทงคือห้องม.4/1เด็กนักเรียนทุกคนต่างช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็งแม้ว่าจะต้องกลับบ้านเย็นกว่าปกติ“เสียดายที่ไม่ได้ไปดูการซ้อม&rdqu
“...เอ่อ ๆ ซ้อมก็ซ้อมว่ะ” ภูมิพูด หลังจากนั้นแต่ละคนก็เข้าประจำตำแหน่งยังเครื่องดนตรีของตนเสียงกลองชุดดังกระหึ่ม ตามด้วยเสียงเบสที่หนักแน่น ม่านเมฆเริ่มบรรเลงกีตาร์ตามจังหวะ ส่วนน้ำหนึ่งก็เริ่มร้องเพลงเสียงดังฟังชัด“เดิมทีเดียวไม่เคยสนใจ มองทีไรไม่เคยเข้าตา[1]” น้ำหนึ่งร้องเพลงด้วยท่าทางสนุกแม้ว่าจะค่อนข้างเกร็งอยู่บ้าง เสียงเพลงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งห้องซ้อม ท่าทางของทุกคนดูมุ่งมั่นและตั้งใจ ธรเคาะจังหวะกลองด้วยความสนุกจังหวะเพลงดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งถึงท่อนโซโล่กีตาร์ของม่านเมฆ ม่านเมฆกำปิ๊กแน่นก่อนจะเริ่มโซโล่กีตาร์อย่างพลิ้วไหว นิ้วของเขาไล่ไปตามเฟรตอย่างรวดเร็วและแม่นยำ“เยี่ยมมาก ม่านเมฆ” ครามเอ่ยชมก่อนจะพูดต่อเสียงดังหลังเพลงจบ “เอาละ ซ้อมกันอีกรอบนะ”ทุกคนเริ่มซ้อมกันใหม่อีกครั้ง คราวนี้เสียงเพลงประสานกันอย่างลงตัว น้ำหนึ่งร้องเพลงเสียงดังฟังชัดขึ้นไม่ค่อยเกร็งเหมือนครั้งแรก รวมถึงท่าทางของเขาเองก็ดูสนุกสนานและมีชีวิตชีวามากขึ้นด้วย“ดีมากทุกคน คราวนี้แยกย้ายกันกลับบ้านได้
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาเฮียครามนะคะแม่” ครีมพูดพร้อมกับเดินนำเพื่อน ๆ ขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วก๊อก ๆ! ครีมเคาะประตูห้องพี่ชายสองสามครั้ง “เฮีย! เปิดประตูหน่อย! ม่านเมฆมาแล้ว!”เสียงถอนหายใจดังลอดประตูก่อนที่เฮียครามจะเปิดประตูออกด้วยสภาพหัวยุ่งกับเสื้อยืดสีดำกางเกงขาสั้น“พวกเธอมาเร็วกว่าที่คิด” เฮียครามพูดพลางขยับตัวเปิดทางให้ม่านเมฆและน้องสาวกับฟ้าใสเดินเข้ามาห้องของเฮียครามเต็มไปด้วยอุปกรณ์เกี่ยวกับดนตรี ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์โปร่ง กีตาร์ไฟฟ้า หรือหนังสือเกี่ยวกับดนตรีรวมถึงมอเตอร์ไซค์ที่วางเรียงกันบนชั้นม่านเมฆเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมซึ่งเป็นมุมที่เฮียครามใช้สอนเขา ฟ้าใสกับครีมเองก็เดินเข้าไปนั่งที่ปลายเตียง เฮียครามหยิบกีตาร์ขึ้นมาพลางยื่นให้ม่านเมฆ“เอาละ วันนี้ฉันจะสอนจังหวะดีดคอร์ด นายต้องจับให้ได้ ไม่งั้นเล่นเพลงไม่ได้นะ”ม่านเมฆรับกีตาร์มา มือวางอยู่บนสายก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดพลางพยักหน้ารับ
ครามมองรถของธรก่อนจะถอนหายใจ “ธรมึงมาขี่รถของกูส่วนไอ้ภูมิมึงมาขี่รถของไอ้ธรแล้วให้ม่านเมฆนั่งกับมึง ส่วนไอ้พัฒน์มึงไปนั่งกับไอ้ธรส่วนกูจะขี่รถพ่วงน้องสาวสองคนไปเอง” ครามพูดขึ้นโชคดีที่วันนี้น้อง ๆ ใส่ชุดกีฬา“ทำไมต้องเปลี่ยนรถวะ” ภูมิถามด้วยความรู้สึกสงสัยแม้ว่าเจ้าตัวอยากมีรถอย่างธรอย่างครามมากก็ตาม“ก็รถมึงมันซ้อนสามได้ อีกอย่างกูไม่ไว้ใจให้มึงพ่วงสามมีปัญหาไหม” ครามพูดก่อนจะเดินไปที่รถของเพื่อน“เชี่ยคราม กูพ่วงมึงต้องหลายครั้งแล้วนะโว้ย” ภูมิโวยวายพอเป็นพิธีทั้งที่ภายในใจดีใจจนเนื้อเต้น“มันไม่เหมือนกัน มึงหยุดโวยวายแล้วทำตามที่กูบอกซะ เย็นมากแล้วกูหิว” ครามตัดบท“ส่วนหมวกกันน็อคก็เอามาให้น้องมันใส่” ครามพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่เขาจะขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนโดยมีครีมตามขึ้นมาก่อนจะตามมาด้วยฟ้าใสปิดท้าย“นั่งให้ดี ๆ ล่ะจับให้แน่นด้วยนะ” ครามเตือนก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ออกตัวรถทั้งสา
การกินอาหารกลางวันของเด็กทั้งสี่เป็นไปอย่างรวดเร็วก่อนที่พวกเขาจะลุกนำจานช้อนและแก้วน้ำไปไว้ยังจุดที่ทางโรงอาหารกำหนด“ไปกันเลยไหม” เสียงของน้ำหนึ่งดังขึ้น“อืม พวกเราเอาหนังสือกับสมุดมาแล้วไปกันเลยก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลา” ฟ้าใสพูดก่อนจะเดินจูงมือไปกับครีม“ดีนะที่เตรียมพร้อมไม่อย่างนั้นต้องวิ่งกลับไปเอาที่ห้องเสียเวลาตายเลย” ครีมพูดเด็กทั้งสี่ต่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางสนามฟุตบอลที่ตอนนี้กลุ่มของครามกำลังนั่งเล่นกีตาร์อยู่บนอัฒจันทร์“นั่นน้อง ๆ มากันแล้ว” ธรพูดพลางพยักปลายคางมาทางกลุ่มของเด็ก ๆ“เฮีย รอนานไหม” เสียงของครีมดังขึ้นพร้อมกับวิ่งยิ้มร่าเข้ามาหา“ช้า” ครามตอบพร้อมกับทำสีหน้าเบื่อหน่าย“เฮียอย่าทำหน้าแบบนี้สิ ก็วันนี้อาจารย์ปล่อยช้ากว่าจะได้กินข้าวหิวแทบตาย” ครีมจับแขนของเขาเขย่าเอ่ยเสียงอ้อน“เออ ๆ เรียนกันเถอะ แกนี่หาเหตุผลได้ตลอด” ครามบ่นแต่เจ้าตัวก็เต็มใ
เมื่อทุกคนลงมาถึงห้องกินข้าวกลิ่นหอมของอาหารก็ลอยมาเตะจมูก ครามเห็นแม่ของเขากำลังจัดโต๊ะอาหารอย่างขะมักเขม้น ส่วนพ่อของเขากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะ“มากันแล้วเหรอ พวกหนู ๆ ไปล้างมือแล้วมาช่วยกันยกอาหารนะ” แม่ของครามพูดด้วยรอยยิ้มเด็ก ๆ ทุกคนรีบไปล้างมือและกลับมาช่วยกันยกอาหารวางบนโต๊ะอย่างว่าง่าย ซึ่งอาหารบนโต๊ะมีหลากหลายเมนู ทั้งแกงส้ม ผัดผัก และปลาทอด ทุกคนนั่งลงรอบโต๊ะอาหารและกินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย“วันนี้อาหารอร่อยมากเลยครับป้ากิมลั้ง” ม่านเมฆพูดออกมาอย่างสนิทสนม“ปากหวานนะเรา วันไหนที่แม่ยังไม่กลับม่านเมฆกับฟ้าใสก็มากินข้าวที่บ้านป้านะลูก แม่กับป๊าของเราจะได้ไม่เป็นห่วง” แม่ของครามพูดพลางตักอาหารเพิ่มให้เขาอย่างเอ็นดู และหลังจากการกินข้าวมื้อเย็นที่แสนอร่อยจบลงก็ถึงเวลาเป่าเค้กวันเกิด“เฮีย เอาเค้กมาให้หนูก่อน” ครีมพูดขึ้นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์“เอ๋! มีเค้กด้วยหรือลูก” แม่ของสองพี่น้องถามอย่างสนใจ“ใช่ค่ะ หนูกับม่านเมฆ ฟ้าใสรวมเงินกันซื้อเพื่อมาเซ
“แกหมายความว่ายังไง มีของอะไรที่ไม่ต้องซื้ออย่าบอกนะว่าแกทำให้ฉันเอง” ครามถามออกมาอย่างหวาด ๆ เนื่องจากรู้ความสามารถของน้องสาวเป็นอย่างดี“เฮีย! จำเป็นต้องทำท่าโอเว่อร์แบบนั้นป่ะ” คนเป็นน้องชักอยากจะงอนขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว“ล้อเล่นหรอกน่า ว่าแต่มันคืออะไร” ครามรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงได้พูดเสียงอ่อนออกมา“ไม่บอก เฮียต้องเล่นเพลงให้ฟังก่อน เอาเป็นเพลงแทนคำนั้นของวสันต์ โชติกุลโอเคไหม” ครีมต่อรองครามถอนหายใจยาวก่อนจะยกกีตาร์ขึ้นพาดบนตักและดีดสายเบา ๆ เป็นจังหวะอุ่นเครื่อง“แกนี่มัน... ต่อรองเก่งขึ้นทุกวันเลยนะ” เขาพูดพลางส่ายหน้าเล็กน้อยแต่ก็เริ่มเกากีตาร์บรรเลงอินโทรของเพลงแทนคำนั้นอย่างตามใจคนเป็นน้องเสียงกีตาร์โปร่งดังขึ้นในห้อง ครามเล่นด้วยจังหวะนุ่มนวล แม้จะไม่ได้เป็นนักร้องมืออาชีพแต่เสียงของเขาก็อบอุ่นและมีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้คนฟังเงียบกริบ"อยากจะมีคำพูดสักคำ ที่แทนความจริงจากใจที่มีอยากจะสื่อความหมายดี ๆ ที่พอจะทำให้เธอได้เข้าใจ