ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ ช่างเป็นภาพงดงามจับตา พญาครุฑหนุ่มและนาคสาวเดินเคียงกันริมลำธารใสสะท้อนแสงจันทร์ พื้นน้ำคล้ายแสงเงินแสงทองจากดวงดาวปลายฟากฟ้า
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของข้าจะเปลี่ยนไปเช่นนี้...ตั้งแต่วันแรกที่พบเจ้า ทุกสิ่งที่ข้าเคยเชื่อมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น” พญาครุฑหนุ่มหยุดเดิน มองเงาดวงจันทร์สะท้อนในน้ำ
“ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าหัวใจจะเต้นแรงผิดจังหวะได้เช่นนี้” พญานาคสาวยิ้มบางๆ หันมามองเขา
สองหนุ่มสาวสบตากันเป็นเวลานาน ความรู้สึกสองหัวใจที่เก็บซ่อนความรู้สึกไว้เริ่มเผยออกมา
“ข้าไม่อาจละสายตาจากเจ้าได้ ตั้งแต่วันที่เจ้าช่วยรักษาบาดแผลของข้า ข้าเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวเจ้าดึงดูดหัวใจข้า...บางอย่างทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่น”
พญาครุฑหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้นาคสาว เขาเอื้อมมือไปแตะมือของเธออย่างอ่อนโยน
“ข้าก็เช่นกัน...ข้าไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อเจ้าได้ แม้เราสองจะมาจากเผ่าพันธุ์ต่างกัน แต่ข้ารู้สึกว่าความรู้สึกนี้ มันเป็นเป็นอะไรไม่อาจรู้ได้ แต่ข้ารู้ว่า มันคือสิ่งที่ข้ารอมานานแสนนาน”นางมองดูมือของเขา สองมือจับกันไว้
“ข้าก็รู้สึกไม่ต่างจากเจ้าเช่นกัน แก้วกัลยา” ครุฑหนุ่มค่อยๆ โน้มตัวลงมาใกล้หญิงสาว
“วายุภัทร” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความหลงใหล สะท้อนผ่านดวงตาของนาง
“ถ้าเจ้ารู้สึกเช่นเดียวกัน...ข้าอยากให้เจ้ารับรู้ ข้ารู้สึกดีต่อเจ้า มันคือความรัก แม้เส้นทางความรักของเราสองจะไม่ง่าย แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่าข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ” พญาครุฑหนุ่มกระซิบ
พญานาคสาวหลับตาลงเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดตาขึ้นและสบตาเขาอีกครั้ง นางรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากมือใหญ่ หัวใจนางเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเช่นกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะเผชิญหน้ามันด้วยกัน” แก้วกัลยาตอบเสียงนุ่มนวล
ป่าทั้งป่าอยู่ในความเงียบสงัด ทั้งสองค่อยๆ โอบกอดกันอย่างอ่อนโยน เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกถึงความผูกพันลึกซึ้งเกินกว่าคำพูดจะบรรยายได้ ความรักก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
กลางดึกในนิมิตของหลวงตา ท่านสุบรรณพญาครุฑปีกสีทองลงจากวิมาน มุ่งตรงมาหาท่าน
“กราบหลวงตาขอรับ” ท่านน้อมตัวลงต่ำ ยกมือไหว้ด้วยความศรัทธาทั้งสีหน้าและแววตา
“ท่านสุบรรณ เหตุใดคืนนี้ถึงลงมาจากวิมานทองได้เล่า” หลวงตามองอีกฝ่ายนั่งสำรวมกายตรงเบื้องหน้า
“ข้ารับรู้ว่าหลวงตามาเจริญภาวนาอยู่ ณ แห่งนี้ ข้าจึงได้มากราบท่านเพื่อเป็นศิริมงคล อยากแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกับท่านด้วย”
“แต่สีหน้าท่านไม่สู้ดีเลย” หลวงตาพูดตามที่เห็น
“มิมีสิ่งใดปิดบังท่านได้จริงๆ เลย” เขายอมรับอย่างง่ายดาย
“ท่านทุกข์ใจสิ่งใดก็บอกอาตมาเถิด เผื่อจะได้แบ่งเบาความทุกข์ของท่านได้” หลวงตาผู้มีเมตตาต่อสัตว์โลกกล่าว
“ข้า…เป็นห่วงหลานชาย เขาหายตัวไปหลายเดือน ไม่ทราบข่าวว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร” พญาครุฑถอนหายใจ
“วายุภัทรใช่หรือไม่...”คู่สนทนาพยักหน้ารับ
“ท่านเห็นเขาบ้างหรือไม่” หลวงตาลุกขึ้นยืนและเดินมาตรงหน้าท่านสุบรรณ
“ตั้งแต่ข้ามาอยู่ตรงนี้ ข้าไม่เห็นหลานชายของท่านเลย แต่ข้าบอกให้เจ้าสบายใจได้ เขาไม่มีวันเป็นอะไรไปได้”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะได้เบาใจ”
ทั้งคู่สนทนาธรรมกันทั้งคืน การพูดคุยกันทำให้สุบรรณคลายความเป็นห่วงหลานชายลงได้มาก
ป่าหิมพานต์เงียบสงบ ทว่าเงามืดอันตรายเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้ วายุภัทรและแก้วกัลยายังคงอยู่เคียงข้างกัน รู้สึกถึงความผูกพันกำลังก่อตัว
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ของเหล่าร้ายคืบเข้ามาใกล้ๆ ทำให้บรรยากาศสงบสุขต้องขาดสะบั้น
“จับตัวมันทั้งคู่ไว้!” มันตะโกนเสียงกร้าว
พญาครุฑหนุ่มรีบหันไปตามเสียง เห็นกลุ่มคนร้ายที่เคยไล่ล่าเขากำลังย่องเข้ามาใกล้ เขาตระหนักได้ทันทีว่าไม่ใช่เพียงเขาตกอยู่ในอันตราย แต่แก้วกัลยาย่อมไมีปลอดภัยด้วยเช่นกัน
“พวกเจ้ามาสู้กับข้าก็พอ! อย่าได้ยุ่งกับนาง!” พญาครุฑหนุ่มตวาดใส่พวกมัน
“เจ้าไม่มีสิทธิเอ่ยเช่นนั้น” มันสวนกลับ
“พวกเจ้าต้องการสิ่งใด”
“ร่างไร้ลมหายใจของเจ้าอย่างไร วายุภัทร” มันเน้นคำพูดทุกคำ
“ผู้ใดใช้พวกเจ้ามา ในเมื่อเราทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” เขาถามอย่างต้องการคำตอบ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้...” มันตอบเพียงเท่านั้น
แก้วกัลยามองพญาครุฑหนุ่มด้วยความเป็นห่วง
“วายุภัทร ท่านไม่ต้องห่วงข้า...”
“ไม่ต้องกลัวไป อย่างไรพวกเจ้าทั้งคู่ก็ไม่รอด” มันวิ่งกรูเข้าหาสองหนุ่มสาว
“แก้วกัลยา เจ้าไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตของข้า”
พญาครุฑหนุ่มกางปีกออกเพื่อปกป้องนาง แสงจันทร์สะท้อนผ่านปีกของเขาเปล่งประกายราวกับโล่แห่งแสงสว่าง
“เจ้าคิดหรือว่าปีกนั้นจะปกป้องพวกเจ้าได้? ข้ามาที่นี่เพื่อเอาชีวิตเจ้า!” เหล่าคนร้ายหัวเราะเยาะ
มันขยับเข้าใกล้และโจมตีด้วยอาวุธ ครุฑหนุ่มใช้พลังทั้งหมดป้องกันการโจมตี และดันแก้วกัลยาไปด้านหลังตน
“ข้าจะไม่ให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้...ข้าจะปกป้องเจ้า แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม” ครุฑหนุ่มหอบเล็กน้อย แววตามุ่งมั่นไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด
พญานาคสาวมองเขาต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ รู้สึกได้ถึงความรักและความห่วงใยที่วายุภัทรมีต่อนาง แก้วกัลยาจึงตัดสินใจไม่ยอมอยู่เฉย ใช้พลังของตนสร้างม่านน้ำป้องกันไม่ให้คนร้ายเข้าใกล้พญาครุฑหนุ่มได้
“เราจะต่อสู่กับพวกมันด้วยกัน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว!” พญานาคสาวเสียงเด็ดเดี่ยว
วายุภัทรมองนางด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรู้สึกดี พวกเขาร่วมมือกันต่อสู้กับคนร้าย
ตูม! ตูม!
ทั้งคู่ผนึกกำลังกันเพื่อเอาชนะศัตรู มันกำลังรุกเข้ามาใกล้พวกเขา
“โอ๊ย ทำไม พลังของพวกมันอานุภาพช่างรุนแรงยิ่งนัก” พวกมันต่างกระเด็นไร้ทิศทาง
“จัดการมัน” เสียงสั่งการดังขึ้นอีกครั้ง
ตูม! ตูม!
“โอ๊ย เจ็บ” พวกมันโอดโอย
“ถอยก่อน พวกข้าไม่ยอมแพ้ วันนี้ข้าขอไปตั้งหลักก่อน” เสียงนั้นเฉียบขาด ทำให้พวกมันสลายตัวอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด ด้วยความกล้าหาญและการร่วมมือของพญาครุฑและแก้วกัลยา คนร้ายจึงล่าถอยหายไปในความมืดของป่า
“ข้าขอบใจเจ้าเหลือเกินที่อยู่เคียงข้างข้า...ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่มีเจ้า” เขาหายใจหนัก พลางมองหน้าพญานาคสาว
“เราสองจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะเผชิญมันไปด้วยกัน” ประโยคนี้เป็นดั่งคำมั่นสัญญาที่นางมีต่อเขา
เวลาต่อมา
“พรุ่งนี้ข้าคงต้องกลับเมืองบาดาลแล้ว” แก้วกัลยาเอ่ยทำลายความเงียบ
“แก้วกัลยา เจ้าไม่ไปได้หรือไม่” เขาถามด้วยแววตาสั่นไหว
“วายุภัทร มันเป็นไม่ได้หรอก ข้ามาเที่ยวเล่นเมืองมนุษย์ ครั้งนี้นานแล้ว ประเดี๋ยวมารดาข้าจะเป็นกังวล” นางเอ่ยถึงมณีรัตนา มารดาเป็นห่วงเธอยิ่งนัก
“ข้าเข้าใจ แม่ย่อมเป็นห่วงบุตรสาว ที่สำคัญลูกสาวสวยและน่ารักเช่นเจ้า มารดาย่อมห่วงมากเป็นธรรมดา” คำพูดชายหนุ่มทำให้แก้วกัลยาใบหน้าแดงระเรื่อ
“ข้าจะเล่าเรื่องของเจ้าให้มารดาข้าฟังว่า ครุฑไม่ได้โหดร้ายทุกตัว ครุฑและนาคสามารถอยู่ด้วยกันได้” นางจ้องตาชายหนุ่ม สื่อให้เห็นถึงความจริงจัง
“ข้าจะเฝ้ารอวันที่เจ้าขึ้นมาจากเมืองบาดาล ข้าจะเฝ้ารอทุกวันทุกคืน” เขาเอ่ยคำมั่นต่อหญิงสาวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าจะบอกท่านแม่เรื่องของเราสองคนด้วย”
พวกเขายืนเคียงข้างกันในความเงียบสงบ ความสัมพันธ์ก่อตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพันธมิตรแข็งแกร่ง และบางที...อาจเป็นมากกว่านั้น
“แก้วกัลยา ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ รอวันที่เจ้ากลับมาหาข้า”
ณ เมืองบาดาล อาณาจักรงดงามและอลังการ มหานครสร้างจากทองคำและอัญมณีส่องแสงเรืองรองสว่างไสวแม้อยู่ใต้ผืนน้ำ ทางเดินปูด้วยหินสีเงินและเพชรพลอยส่องประกายระยิบระยับ
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” แก้วกัลยากอดผู้เป็นมารดาไว้แน่นให้คลายความคิดถึง
“โอ้ แก้วกัลยาลูกรัก เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” นางลูบใบหน้าบุตรสาวอย่างรักใคร่
“ข้ามิได้เป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่” นางหมุนตัวให้มารดาดู เพื่อจะได้คลายความกังวลใจ
“ข้าคิดถึงเจ้ามากรู้หรือไม่ ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก เจ้ารับรู้บ้างหรือไม่” นางมณีรัตนากล่าว
“จุ๊บ ลูกก็คิดถึง ท่านแม่มากเลยเจ้าค่ะ” นางกอดหอมมารดาอย่างรักใคร่
“แก้วกัลยา เจ้าอย่าหนีแม่ไปเที่ยวเล่นเมืองมนุษย์อีกหนา พ่อและแม่เป็นห่วงเจ้ามาก รู้ใช่ไหม”
“ท่านแม่...” นางรับรู้ความรู้สึกของมารดา สายตามองต่ำ ซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างไว้ให้ลึกสุดใจ
“ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจความรู้สึกของแม่”
แก้วกัลยาหลบสายตามารดา นางซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ ถึงอยากเล่าเรื่องราวของวายุภัทร ทว่าสถานการณ์ยามนี้จำต้องเก็บซ่อนไว้เสียก่อน รอให้ถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วค่อยเปิดเผยเรื่องนี้ให้มารดาได้รับรู้
ภายในถ้ำ พญาอนันตนาคราชค่อยๆ ลืมตาออกจากการนั่งสมาธิอย่างเนิบช้า นางมณีรัตนานั่งรออยู่ไม่ไกล
“ท่านพี่ ท่านออกจากการบำเพ็ญเพียรแล้วหรือ” น้ำเสียงดีใจถามสามีอย่างนอบน้อมศรัทธา
“มณีรัตนา เจ้ามีสิ่งใดอยากจะบอกข้าหรือไม่” ท่านมองเมียรัก น้อยครั้งที่นางจะมาเฝ้ารอวันท่านออกจากสมาธิ
“เอ่อ ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ...” นางมณีรัตนาไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาได้
“เรื่องแก้วกัลยาใช่หรือไม่”
“โอ้ ท่านพี่รู้ได้เช่นไร” นางอุมณีรัตนาทานด้วยความประหลาดใจ
“ข้ารู้ว่านางออกไปเล่นซุกซ.น..” ผู้เป็นบิดาถอนหายใจแรงๆ
“แต่ตอนนี้แก้วกัลยากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าเป็นห่วงนางยิ่งนัก ดวงชะตานางช่างแปลกประหลาด ข้าไม่สามารถล่วงรู้ว่าอนาคตข้างหน้าของนางจะเป็นเช่นไร”
“ท่านพี่...” สองผัวเมียต่างเงียบงัน
อนันตนาคราชและนางมณีรัตนามีความรักให้บุตรสาวมากล้น นางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เช่นนั้นแล้ว ท่านทั้งสองจึงไม่ต้องการให้มีสิ่งใดมาแผ้วพานหรือทำร้ายนางได้ ท่านทั้งสองต้องหาทางป้องกัน แม้จะรู้ว่าในท้ายที่สุด ชะตาของนางต้องเข้าสู่สงครามระหว่างนาคกับครุฑก็ตาม
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ ช่างเป็นภาพงดงามจับตา พญาครุฑหนุ่มและนาคสาวเดินเคียงกันริมลำธารใสสะท้อนแสงจันทร์ พื้นน้ำคล้ายแสงเงินแสงทองจากดวงดาวปลายฟากฟ้า“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของข้าจะเปลี่ยนไปเช่นนี้...ตั้งแต่วันแรกที่พบเจ้า ทุกสิ่งที่ข้าเคยเชื่อมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น” พญาครุฑหนุ่มหยุดเดิน มองเงาดวงจันทร์สะท้อนในน้ำ“ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าหัวใจจะเต้นแรงผิดจังหวะได้เช่นนี้” พญานาคสาวยิ้มบางๆ หันมามองเขาสองหนุ่มสาวสบตากันเป็นเวลานาน ความรู้สึกสองหัวใจที่เก็บซ่อนความรู้สึกไว้เริ่มเผยออกมา“ข้าไม่อาจละสายตาจากเจ้าได้ ตั้งแต่วันที่เจ้าช่วยรักษาบาดแผลของข้า ข้าเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวเจ้าดึงดูดหัวใจข้า...บางอย่างทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่น”พญาครุฑหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้นาคสาว เขาเอื้อมมือไปแตะมือของเธออย่างอ่อนโยน“ข้าก็เช่นกัน...ข้าไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อเจ้าได้ แม้เราสองจะมาจากเผ่าพันธุ์ต่างกัน แต่ข้ารู้สึกว่าความรู้สึกนี้ มันเป็นเป็นอะไรไม่อาจรู้ได้ แต่ข้ารู้ว่า มันคือสิ่งที่ข้ารอมานานแสนนาน”นางมองดูมือของเขา สองมือจับกันไว้“ข้าก็รู้สึกไม่ต่างจากเจ้าเช่นกัน แก้วกัลยา” ค
ป่าหิมพานต์เวลากลางคืนมีความลึกลับ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดวงดาวระยิบระยับเปล่งแสงลงมายังผืนป่า เต็มไปด้วยพืชพันธุ์สัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” นางมองใบหน้าซีดเผือดจากการเสียเลือดจากบาดแผลของชายหนุ่มแปลกหน้า“ข้ามิเป็นไร” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วเบาแสงจันทร์ส่องผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ทำให้เกิดเงา เคลื่อนไหวตามสายลมบางเบา“คืนนี้อากาศช่างหนาวเย็นนัก” นางหาเรื่องคุย บาดแผลตามลำตัวของครุฑหนุ่มเริ่มทุเลาเบาลงแล้ว“เจ้ารู้สึกหนาวใช่หรือไม่” เขามองหญิงสาวกอดอกเนื้อตัวสั่นน้อยๆเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังเป็นจังหวะที่นุ่มนวล ผสมกับเสียงน้ำไหลจากลำธาร มันส่องประกายระยิบระยับตามแสงจันทร์“ข้าไม่เป็นไร พวกเรานอนพักกันเถอะ พวกมันคงไปตามหาเราที่อื่นแล้ว” เขามองเข้าในป่า หลบสายตาหวานของหญิงสาว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ป่าบานเฉพาะยามค่ำคืนโชยมา กลิ่นนี้ชวนให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย“เจ้านอนพักเถิด ข้ายังไม่ง่วง” นางลุกขึ้นยืนมองบรรยากาศรอบๆ ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความงดงาม“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าแล้วกัน”ครุฑหนุ่มนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ หายใจอ่อนแรงเพราะความเหนื่อยล้า บาดแผลยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา“ข้าจะอยู่ย
ณ ดินแดนอันไกลโพ้น แสงสีส้มจับขอบฟ้า ความเงียบสงบปกคลุมทุกแห่งหน พญาครุฑหนุ่มบาดเจ็บจากการถูกโจมตี เลือดไหลออกมาตามลำตัว“วายุภัทร พวกข้าต้องจับเจ้าให้ได้” เสียงสั่งการดังก้องฟ้า“ต่อให้มันมีปีกกว้าง หรือมีพลังอำนาจขนาดไหน ก็ไม่อาจต้านทานพวกเราได้หรอก”เปรี้ยง!อสุนีฟาดใส่พญาครุฑหนุ่มสายใหญ่ พาความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วทั้งร่าง“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในที่สุด เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าไปได้หรอก เจ้าวายุภัทร”“ข้า…ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะทำกับข้าเยี่ยงนี้” ครุฑหนุ่มตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เสียงราวกัมปนาทดังลั่นท้องฟ้าทันใดนั้น ท้องฟ้าพลันมืดดำ สายลมกรรโชกแรงราวครึ่งนาที ทุกอย่างจึงค่อยกลับมาเป็นปกติ ทว่าบริเวณที่เคยมีร่างครุฑหนุ่มกลับว่างเปล่า ทุกสายตามองหาพญาครุฑที่บาดเจ็บ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอาศัยช่วงฟ้ามืดเร้นกายหายไปจากตรงนั้นแล้ว“ผู้ใดบังอาจมาช่วยมัน”“มันหายตัวได้อย่างไร” เสียงหนึ่งตะโกนอย่างไม่พอใจขณะนี้พญาครุฑหนุ่มหมดแรงและสิ้นหวัง เขาเหาะผ่านป่าหิมพานต์ บาดแผลทางกายทำให้รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง เขากระพือปีก เลือดไหลซึมจากบาดแผลที่ถูกโจมตี เขารู้ว่าหากไม่หลบซ่อนที่ใดสักแห่งในตอนนี้ เขาอาจไม่รอด