ログイン1
เทวาลัยกุสุมาลย์
“เป็นไงบ้างครับลุงเฉิน” ผ่านไปคืนเดียวลุงเฉินก็กลับมาพร้อมกับคำตอบที่ผมต้องการ ในมือถือรูปวาด บนรูปวาดมีดอกไม้นานาชนิดหลากสีสัน ตรงกลางมีทางเดินไปยังบัลลังก์แก้ว หลังบัลลังก์มีกำแพงแก้วสวย และลึกลับไปพร้อมกัน ผมเดาว่ากำแพงน่าจะเปิดได้
“คิดว่ามันน่าจะเป็นเทวาลัยกุสุมาลย์ แต่ลุงคิดว่าไม่น่าจะมีใครเคยไป พรานคนหนึ่งบอกว่ามันคือตำนาน เป็นเทวาลัยในป่าลึกทางเหนือของประเทศ ไม่รู้ตอนนี้จะยังมีคนรู้ทางไปอยู่หรือเปล่า” ลุงเฉินเล่าข่าวที่ได้มาให้ฟัง ผมพยักหน้าให้ระหว่างฟังไม่คิดเลยว่ามันจะดูลึกลับแบบนี้ ชื่อนี้เหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่รู้สึกจำไม่ได้อยู่ดีว่ามันคือที่ไหน ช่างมีประโยชน์จริง ๆ ความจำของผม
“หนูจันทร์ยังจะไปอยู่เหรอ ไม่มีใครเคยไปเลยนะ” พี่มีนถามแล้วลุกเดินมานั่งโซฟาตัวเดียวกับผม หยิบรูปที่ลุงเฉินวางไว้บนโต๊ะมาดู จะว่าไปจี้นี่ก็ได้มาจากพ่อแม่ ท่านสองคนน่าจะเคยไปมาก่อน ผมควรลองไปแอบอ่านไดอารี่ของแม่หน่อยจะดีกว่าเผื่อจะมีข้อมูลอะไร
“จันทร์ต้องไปครับพี่มีน จำเป็นต้องไป”
“งั้นพี่ไปด้วย พี่จะไม่ปล่อยให้หนูจันทร์ไปคนเดียวแน่ ๆ พี่เองก็จะลองช่วยหาดูว่ามีใครพอจะรู้เรื่องบ้าง”
“งั้นลุงก็จะไปด้วย พ่อแม่หนูจันทร์ฝากไว้กับลุง ลุงจะปล่อยไปเองได้ยังไง” ลุงเฉินก็เอาด้วยอีกคน ผมเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ถ้าลุงเฉินไปด้วยอีกคน ทั้งบ้านทั้งบริษัทจะทำอย่างไรต่อไป ครั้งนี้ผมคงต้องดื้อกับลุงเฉินซะแล้ว
“จันทร์รู้ว่าลุงเฉินเป็นห่วง แต่ลุงเฉินเป็นคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ที่นี่ ถ้าลุงไปบริษัทที่คุณพ่อกับคุณแม่อุตส่าห์สร้างมาจะทำยังไงล่ะครับ” ลุงเฉินมีสีเครียดขึ้นมาทันที ตั้งแต่พ่อแม่ตายผมอยู่กับลุงเฉินและพี่มีนมาตลอด ลุงจะห่วง กังวลแบบนี้ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไร
“แต่ลุงเป็นห่วง”
“เรายังไม่รู้ว่าจะไปยังไงเลยค่ะลุงเฉิน เอาไว้เรามีข้อมูลมากพอค่อยคุยกันเรื่องนี้อีกทีดีกว่ามั้ยคะ ยังไงก็ยังมีมีนอยู่” ลุงเฉินพยักหน้าให้พี่มีนก่อนจะขอตัวออกไปเพื่อหาข่าวคราวของเทวาลัย
ผมกับพี่มีนก็พากันไปค้นข้าวของในห้องแม่ ก่อนทั้งคู่จะแต่งงานสร้างฐานะได้ทั้งสองเคยเป็นนักล่าสมบัติ แม่มักจะเขียนไดอารี่ประจำวันเอาไว้ ผมเคยอ่านตอนยังเด็กมาก มีเรื่องนี้ขึ้นมาผมถึงรู้สึกอยากลองอ่านมันให้ชัด ๆ อีกสักรอบ
“ผมเจอแล้ว” พี่มีนรีบเดินมาดูไดอารี่ หลังอ่านไดอารี่คราวนั้นผมก็เก็บซ่อนไว้ในห้องนี้แต่ดันลืมไปว่าวางตรงไหน ถึงได้หายากหาเย็นแบบนี้ ไดอารี่ลายหินอ่อนสีขาวดูเก่าเล็กน้อยแต่สะอาดสะอ้าน
“ดูนั่นสิมีรูปจี้สร้อยของหนูจันทร์ด้วย” ระหว่างผมเปิดหน้าไดอารี่ผ่าน ๆ พี่มีนก็พูดขึ้นใช้มือพลิกกลับไปหน้าสมุดที่มีรูปจี้อันนั้น ความตาไวของพี่มีนผมสู้ไม่ได้จริง ๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงเป็นอันดับแรกในทุกศิลปะการต่อสู้ของตระกูลวารีฬาลักษณ์
“วันนี้ฉัน กรณ์ เปรม ได้เข้าไปในเทวาลัยเป็นครั้งแรกทุกอย่างสวยงามเหมือนภาพความฝัน สวยจนฉันคิดว่ามันเป็นภาพลวงตา ปากทางเข้าเต็มไปด้วยดอกไม้หลายชนิด บางชนิดฉันเองก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน กลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ยังได้กลิ่นติดจมูก ทางเดินขึ้นบัลลังก์ทำจากแก้วใส แวววาว ทุกอย่างด้านนอกทำจากแก้วเกือบทั้งหมด บนกำแพงแก้วด้านหลังที่มีเหรียญทองรูปดอกไม้สามเหรียญติดอยู่ เราสามคนคิดว่ามันต้องมีราคาแพงเลยหยิบมาคนละเหรียญ ไม่ได้บอกคนร่วมทางคนอื่น เราเข้าไปกันทั้งหมดสิบสองคนแต่กลับมาได้เพียงสี่คนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพรานไพลพวกเราเองก็คงตายที่นั้นเหมือนกัน” ผมอ่านออกเสียงจบก็หันมองพี่มีน เราทั้งคู่ขมวดคิ้วแน่น ที่แท้เหรียญในคอของผมก็ถูกขโมยมานี่เอง และนี่อาจจะเป็นผลมาถึงตัวผม ทุก ๆ เดือนผมถึงมีอาการปวดแสบปวดปวดร้อนแบบนี้อยู่ตลอด วันที่บนหัวกระดาษบ่งบอกว่ามันคือวันเดียวกัน
“พรานไพล” พี่มีนพึมพำออกมาเรียกสติผม ที่เราหาไม่ใช่เรื่องแม่ขโมยของ เราหาทางไปเทวาลัยนั่นต่างหาก ตอนนี้เราพอรู้แล้วเพราะฉะนั้นขั้นต่อไปคือการตามหาตัวพรานไพลคนนั้น
ลุงเฉินของผมคงต้องออกโรงอีกแล้วล่ะ...
ผมรีบโทรหาลุงเฉินทันทีเพราะต้องรีบหาตัวพรานไพลที่เคยนำทางให้แม่ตอนไปเทวาลัยนั่น
“ลุงเฉินครับ ช่วยตามหาพรานไพลที่เคยนำทางให้แม่กับพ่อเมื่อยี่สิบหกปีก่อนให้จันทร์หน่อยครับ”
(ได้ครับ ลุงจะรีบตามให้ จันทร์อยากได้อะไรอีกหรือเปล่า)
“ไม่ครับลุงเฉิน ขอบคุณครับ”
ผมวางสายจากลุงเฉินแล้วกลับไปนอนอยู่ในห้องตัวเอง ใจจริงผมอยากออกไปทำงานมากหลังเรียนจบผมก็ใช้เวลาไปวัน ๆ เท่านั้น เพราะไอ้อาการปวดแสบปวดร้อนนี่เลยไม่กล้าไปไหนไกล กลัววันหนึ่งโรคนี่นึกอยากเป็นตอนกลางวันหรือเป็นวันอื่นขึ้นมา ผมเลยไม่ได้ไปทำงานแบบเป็นกิจลักษณะ เดือนละห้าถึงหกครั้งผมถึงเข้าบริษัท
ในตอนแรกพ่อกับงแม่มีธุรกิจค้าของเก่าที่หมายถึงของโบราณนะครับ ไม่ใช่พัดลมเก่าตู้เตียงเก่า แต่พอผมอายุได้สักแปดขวบทั้งคู่ก็เริ่มต้นธุรกิจนำเข้าส่งออกอุปกรณ์แคมป์ปิงเดินป่าทั้งหลาย ซึ่งบริษัทนี้ปัจจุบันมีชื่อผมเป็นเจ้าของ ผู้ดูแลหลักคือลุงเฉิน อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้ว่าตนเองจะมีชื่ออยู่ถึงตอนไหน อาการจะนึกคึกกำเริบตอนอื่นหรือเปล่า ลุงเฉินเลยรับหน้าที่ทั้งหมดไป
แม้จะยังมีการค้าของโบราณบ้างประปรายเพราะเป็นอาชีพเก่าแก่ แต่การค้านั้นผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องมีเพียงลุงเฉินดูแลเพียงคนเดียว
ผมหยิบมือถือราคาแพงข้างตัวขึ้นเลื่อนดูการแจ้งเตือนปรากฎว่าเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนทักแชตมาหา พูดเหมือนผมเรียนจบมานานแล้วทั้งที่เพิ่งรับปริญญาไปเมื่อต้นปีนี้เอง
ปริม: จัน ไปกินข้าวกัน
จันจันทร์: ตอนนี้หรอ?
ปริม: ใช่ ออกมาเร็วๆ เลย
จันจันทร์: ก็ได้ๆ ร้านเดิมใช่มั้ย?
ปริม: yessssss
ผมปิดหน้าจอมือถือ ลุกจากเตียงนอน เดินไปเลือกเสื้อผ้าเพื่อจะเปลี่ยนใส่ออกไปข้างนอก อย่างน้อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ดีกว่านั่งเครียดกังวลเรื่องนั้นอยู่คนเดียว พี่มีนกับลุงเฉินก็ออกไปทำธุระกันหมด จะให้ไปฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ลงคอร์สเรียนไว้ ผมก็ไม่ใช่พวกชอบออกกำลังกายเสียด้วย ถ้าไม่ใช่พี่มีนลากไปเมินเถอะว่าผมจะไป
พี่มีนเป็นผู้หญิงตัวเล็ก เธอสูงแค่ร้อยหกสิบหกแต่ศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงที่ลงเรียนไปพี่มีนได้ที่หนึ่งเสมอ แม้แต่เรียนหมอเธอยังเรียนจบตามกำหนดทั้งที่ต้องทำอะไรอีกตั้งมากมาย ผมนับถือพี่มีนมาก ส่วนผมถ้าไม่ใช่ทายาทตระกูลวารีฬาลักษณ์ก็คงเหมือนคนไร้ประโยชน์ ฮ่า ๆ
ผมขับรถสิบนาทีจึงมาถึงร้านอาหารเล็ก ๆ บรรยากาศเป็นกันเอง เรียกว่าเป็นร้านลับของผมกับเพื่อนสนิทก็ว่าได้ ตอนเรียนเรามักหนีมาเถลไถลกันที่นี่
“ทำไมหน้าตาดูเครียดขนาดนั้น” ปริมถามผมทันทีที่เจอหน้ากัน หน้าผมคงบอกหมดแล้วว่าตอนนี้มีเรื่องในใจ ผมเป็นคนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน ไม่ว่าใครเห็นก็รู้ทั้งนั้นแหละซ้ำยังโกหกได้ห่วยแตกอีกต่างหาก
“มีเรื่องให้คิดเยอะน่ะ”
“เรื่องอะไรที่ทำให้คุณหนูณจันทร์แห่งวารีฬาลักษณ์เครียดได้เนี่ย” เขาเอ่ยแซวผมใบหน้าขบขัน นั่นสิตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยมีวันนี้ละมั้งที่ทำให้ผมเครียดขนาดนี้ได้ ปริมเอ่ยหยอกยิ้มให้ผมจนตาหยี ปริมเป็นมนุษย์ประเภทเดียวกับผม คือไร้เรื่องราวทุกข์ร้อนในชีวิต ตอนนี้เลยยังลอยชายเหมือนกัน
“คิดว่าอีกไม่กี่วัน จะเข้าป่าน่ะ” ผมบอกเพื่อนสนิทคนเดียวแล้วรับเมนูอาหารจากบริกรมาเปิดดูไปพลาง ระหว่างระบายเรื่องราวในใจให้เพื่อนฟัง
“แคมป์ปิงหรอ” ปริมถามกลับ โบกมือไล่บริกรออกไปก่อน ค่อยมารับอาหารทีหลัง
“เปล่าหรอก แค่มีธุระต้องไปทำน่ะ ไม่รู้จะนานหรือเปล่า”
“ไปด้วย ปริมโคตรว่างเลย”
“อันตรายเกินไป ปริมอย่าไปเลย”
“จันทร์รู้จัก ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุหรือเปล่า” เขาบอกผมด้วยสายตาของคนเอาแต่ใจเหมือนทุกที โบกมือเรียกบริกรด้านหลังเพื่อสั่งอาหาร พอสั่งเสร็จโทรศัพท์ผมก็สั่นขึ้นอีกครั้ง ช่วงนี้มือถือผมมีคนโทรเข้าบ่อยจัง
“ครับ ลุงเฉิน”
(ลุงได้ที่อยู่พรานไพลแล้วครับ)
“ขอบคุณครับลุงเฉิน ผมถึงบ้านจะรีบไปหานะครับ”
5ป่าดิบออกจากหมู่บ้านพรานพงมาแค่ห้านาทีท้องฟ้าพากันครึ้มโดยไม่ได้นัดหมาย ฟ้าแบบนี้ไม่มีทางที่ฝนจะไม่ตกอย่างแน่นอน ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน จากนั้นจึงหันไปมองคีรีที่อยู่ในรถคันหลังสุด ระยะทางสี่สิบกิโลเมตรแต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพราะทางขรุขระเกินจะบรรยายได้ ผมนึกว่าไส้จะออกมากองกันข้างนอกซะแล้วจากที่ผมตามอยู่รองสุดท้าย พอออกจากหมู่บ้านต้องขึ้นมาเป็นคันแรก เพราะคนรู้ทางมีแค่พรานพง ในที่สุดพรานพงก็พูดคำพูดที่ผมรอคอยมานาน “ถึงแล้ว”“โอ้โห พื้นผิวพระจันทร์หรือไงเนี่ย” ปริมร้องออกมา เมื่อรถหยุดลงตรงสุดเขตถนนที่รถจะสามารถแล่นไปได้“พี่มีนไหวมั้ย” ผมถามพี่มีนที่ลงมายืนบิดตัวเบา ๆ อยู่ตรงประตูรถ ส่วนตัวผมบิดตัวครั้งใหญ่เมื่อยจนไม่รู้จะเมื่อยอย่างไร ปกติไปไหนมาไหนใช้เครื่องบินพอต้องนั่งรถไกลแบบนี้ ผมรู้สึกเพลียล้า เหมือนจะไข้ขึ้น“สบายมาก พรานพง เราจะเอายังไงต่อ”“เดี๋ยวให้ทุกคนยืดเส้นยืดสายสักสิบนาที ช่วยกันขนสัมภาระแบ่งหน้าที่แล้วค่อยเดินเท้าต่อ” เธอพยักหน้าให้พรานพง จากนั้นเดินไปสั่งงานหัวหน้าทีมทั้งสองทีมต่อ แม้จะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในคณะ แต่ด้วยความสามารถของเธอจึงไม่มีใครกังขาพี่เก็
4ออกเดินทางฝนตกตามที่คีรีบอกสองวันติด สงสัยเขาจะดูพยากรณ์อากาศมา อีกสี่วันถัดมาจึงเป็นวันออกเดินทาง พวกเราเริ่มออกเดินทางจากเมืองหลวงช่วงเย็นของวัน กะไว้ว่าคงถึงจุดหมายช่วงเช้ามืดวันพรุ่งนี้ขณะยกกระเป๋าขึ้นรถ ก็มีรถสองคันขับเข้ามาในบริเวณบ้าน คันหนึ่งผมจำได้แม่นเลย ปริมมาจริง ๆ ผมอุตส่าห์ไม่บอกวันเดินทางหมอนี่รู้ได้ไงว่าเราเดินทางกันตอนเย็น ส่วนรถเล็กขับเคลื่อนสี่ล้อหรือที่คนชอบเรียกว่าออฟโรดคันนั้น ไม่แน่ใจเลยว่าเป็นรถของใคร แต่ถ้าให้เดาก็ไม่ยากเท่าไร น่าจะเป็นคนที่เรียกตนเองว่าอารักษ์ขาคนนั้น“ปริม มาทำไม”“ก็บอกแล้วไงว่าปริมจะไปด้วย” ปริมยักคิ้วแล้วยกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงจากรถสปอร์ตคันโปรด แบกเป้เดินไปหาพี่มีนตรงออฟโรดคันสีขาวเงา พี่มีนหันมามองผมเหมือนกำลังจะถามว่าจะให้จัดการอย่างไรถึงไล่ปริมก็ไม่ไปผมยักไหล่สองข้างอย่างจนใจ เธอเลยเปิดประตูรถให้เขาเก็บเป้เดินทางไว้ในรถ ครู่เดียวคีรีเดินลงจากรถฝั่งข้างคนขับ สองเท้าก้าวออกไปอัตโนมัติ เดินมาครึ่งทางก็เจอคีรียืนอยู่ตรงหน้า“พร้อมหรือยัง”“ครับ คนของผมก็เตรียมพร้อมแล้ว รอคีรีคนเดียว”“งั้นก็ไปเถอะ ผมจะตามอยู่หลังสุด” คุยกับนายท่านอารักษ
3ต้องเชื่อเท่านั้น“พี่มีน ช่วยลิสต์รายการสัมภาระให้จันทร์หน่อยได้มั้ย จันทร์จะไปร่างสัญญาจ้างงานของคีรี”“ได้สิ เดี๋ยวพี่ไปปรึกษาลุงเฉิน อย่างไงซะคนเตรียมของก็คือพี่ ไม่รู้ลุงเฉินหาคนไว้กี่คนจะได้เตรียมของให้พอกับจำนวนคน” คนสวยของผมใจดีเสมอจริง ๆ ไหว้วานอะไรไม่เคยขัด จัดให้ตลอด ผมคิดว่าหลังจัดการหนังสือจ้างงานชั่วคราวนี่เสร็จจะไปคุยกับพรานพงสักหน่อย ไม่รู้ว่าการเดินทางนี้ใช้เวลากี่วันเราจะได้จัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มยารักษาโรคไปให้พอดีนอกจากคุยกับพรานพงแล้วผมยังต้องไปรายงานนายท่านคีรีที่บ้านของเขาอีก ช่างเป็นช่วงฉุกละหุกจริง ๆ เหมือนทุกอย่างอยู่ในช่วงเวลารีบเร่ง“นายท่านรอคุณอยู่ข้างใน เชิญ” ผู้ชายคนเมื่อคราวก่อนเปิดประตูรั้วรอตั้งแต่ผมยังไม่ทันได้จอดดีเสียด้วยซ้ำ เหมือนเขารู้ว่าผมจะมา พอปิดประตูรถเสร็จก็เดินตามเขาเข้าไปในบ้านพันคีรีนั่งรอผมอยู่กลางห้องนั่งเล่น ไม่ใช่ห้องคราวก่อนที่ผมเข้าไป ห้องนั่งเล่นเป็นกระจกทุกด้าน ถึงจะมีแดดส่องแต่ก็ถูกต้นไม้บดบังไม่มีแสงแดดพาดผ่านตัวบ้านเลย ทั้งยังเย็นสบายจนน่าแปลกอีกต่างหากต้องเป็นเพราะในบ้านทาสีกันความร้อนแน่“ไหน รายการสัมภาระ” เขาว่าด้ว
2พันคีรีลุงเฉินใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็หาพรานไพลจนเจอ แต่พรานไพลนั่นตายไปเมื่อหกปีก่อนเหลือแต่ลูกชายที่พอจะรู้ทางอยู่บ้าง ตกลงกันอยู่นานพรานพงลูกชายพรานไพลก็ยอมตกลงนำทางให้พวกเรา นอกจากตกลงนำทางพรานพงยังมีข้อเสนอให้อีกอย่างว่าถ้าอยากเข้าป่าอย่างปลอดภัยให้ไปเชิญคนที่ชื่อพันคีรีร่วมทางด้วยในวงการหาของโบราณจากเทวาลัย วัง ปราสาทเก่า เมืองเก่า ชื่อพันคีรีนี้โด่งดังมาก ขึ้นชื่อเรื่องมากฝีมือ หน้าที่อย่างเดียวของเขาในการร่วมทางคือเฝ้าระวังคณะเดินทางเท่านั้น ผู้คนเรียกหน้าที่นี้ว่า ‘อารักษ์ขา’ ค่าตัวแพงหูฉี่ แต่เปอร์เซ็นต์การไปและกลับสูงกว่าการไปกันเอง พันคีรีคนนี้เลยมีคนไปเชิญวันละสามเวลานอกจากจะไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของเขาแล้ว ตัวตนก็เป็นความลับเหมือนกัน ไม่ว่าจะสืบหากันเท่าไรก็ไม่พบเจออะไร อายุ วันเดือนปีเกิด ไม่มีใครรู้เลย มีแค่ฝีมือเขาเท่านั้นที่เป็นที่ประจักษ์คนเล่าลือกันขนาดนี้ผมก็ต้องมีหวั่นไหวเพราะฉะนั้นเลยส่งคนไปทาบทามเขามาร่วมคณะแล้วถึงสองรอบ แต่เขาไม่แม้จะออกมาพูดคุยด้วยตนเอง ส่งลูกกระจ๊อกออกมาไล่คนของผมทั้งสองครั้ง ผมมันคนไม่ย่อท้อยิ่งไล่ผมยิ่งต้องการ ฮ่า ๆวันนี้ผมเลยมาเอ
1เทวาลัยกุสุมาลย์“เป็นไงบ้างครับลุงเฉิน” ผ่านไปคืนเดียวลุงเฉินก็กลับมาพร้อมกับคำตอบที่ผมต้องการ ในมือถือรูปวาด บนรูปวาดมีดอกไม้นานาชนิดหลากสีสัน ตรงกลางมีทางเดินไปยังบัลลังก์แก้ว หลังบัลลังก์มีกำแพงแก้วสวย และลึกลับไปพร้อมกัน ผมเดาว่ากำแพงน่าจะเปิดได้“คิดว่ามันน่าจะเป็นเทวาลัยกุสุมาลย์ แต่ลุงคิดว่าไม่น่าจะมีใครเคยไป พรานคนหนึ่งบอกว่ามันคือตำนาน เป็นเทวาลัยในป่าลึกทางเหนือของประเทศ ไม่รู้ตอนนี้จะยังมีคนรู้ทางไปอยู่หรือเปล่า” ลุงเฉินเล่าข่าวที่ได้มาให้ฟัง ผมพยักหน้าให้ระหว่างฟังไม่คิดเลยว่ามันจะดูลึกลับแบบนี้ ชื่อนี้เหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่รู้สึกจำไม่ได้อยู่ดีว่ามันคือที่ไหน ช่างมีประโยชน์จริง ๆ ความจำของผม“หนูจันทร์ยังจะไปอยู่เหรอ ไม่มีใครเคยไปเลยนะ” พี่มีนถามแล้วลุกเดินมานั่งโซฟาตัวเดียวกับผม หยิบรูปที่ลุงเฉินวางไว้บนโต๊ะมาดู จะว่าไปจี้นี่ก็ได้มาจากพ่อแม่ ท่านสองคนน่าจะเคยไปมาก่อน ผมควรลองไปแอบอ่านไดอารี่ของแม่หน่อยจะดีกว่าเผื่อจะมีข้อมูลอะไร“จันทร์ต้องไปครับพี่มีน จำเป็นต้องไป”“งั้นพี่ไปด้วย พี่จะไม่ปล่อยให้หนูจันทร์ไปคนเดียวแน่ ๆ พี่เองก็จะลองช่วยหาดูว่ามีใครพอจะรู้เร
บทนำโลกของคุณหนูณจันทร์“ฮืออ…ร้อน จันทร์เจ็บ ๆ” วันนี้ของทุกเดือนผมมักจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทั่วตัวเหมือนตัวเองถูกต้มอยู่ในหม้อน้ำเดือด ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนพอจำได้ก็เป็นแบบนี้มาตลอด น่าจะอายุสักสิบสี่หรือเปล่านะ กลางฤดูหนาวของเดือนพฤศจิกาที่เป็นหน้าหนาวแต่ผมกลับรู้สึกร้อนรุ่มปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะขาดใจตายผมเลยต้องนั่งแช่น้ำเย็นจัดอยู่ในอ่างจากุซซีแบบนี้มาตลอด ถึงจะไม่หายแต่ยังพอบรรเทาได้บ้าง ผมหาหมอทุกคนที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศ สำคัญคือมันไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมก็เช่นกัน…“หนูจันทร์เป็นยังไงบ้าง” พี่มีนตราเป็นเด็กที่พ่อแม่ผมอุปการะไว้ตั้งแต่ตอนผมอายุสิบขวบ เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำให้เธอรู้ใจ รู้ทุกอย่างในชีวิตของผมรวมถึงอาการนี้ด้วยพี่มีนมักจะมานั่งเฝ้าผมอยู่ตรงนี้ทุกเดือนไม่เคยขาด มันไม่ช่วยอะไรแต่เธอทำให้ผมรู้ว่าผมจะมีเธออยู่ข้าง ๆ ตลอด“พี่มีน จันทร์เจ็บจัง ฮึก…” ผมตอบพี่มีนไปพร้อมกับใช้น้ำแข็งที่พี่มีนหอบมาถูไปตามแขนแรง ๆ มันน่าแปลกผมปวดแสบปวดร้อนจนเหมือนถูกต้มในน้ำเดือดแต่ร่างกายภายนอกของผมไม่มีร่องรอยอะไรเลยนอกจากจะปวดแสบปวดร้







