 LOGIN
LOGINหนิงอวี่ตกใจที่ตนเองเผลอเล่าเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้เขาฟัง นางจึงลุกขึ้นยืนในทันที
“ข้ามองจากหน้าตา รูปร่างที่สง่างาม ความองอาจของคุณชายจ้าว จิตใจอันดีงามที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกภายในใจจึงเดาได้ไม่ยากว่าอนาคตของท่านต้องไม่ธรรมดาแน่”
หนิงอวี่กล่าวแก้ตัว พลางชี้มือชี้ไม้ไปทางหลี่หยางอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยในสายตาของหลี่หยางแล้วท่าทางนี้ของนางดูประหลาดเกินจะมองได้
“เช่นนั้นข้าขอตัวไปดูแขกก่อนนะ”
กล่าวจบหนิงอวี่ก็รีบวิ่งหนีหายไป ทิ้งไว้เพียงขวดยาสมานแผลให้กับหลี่หยาง
‘ช่างทำตัวแปลกประหลาด เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย’
หลี่หยางส่ายหัวให้กับท่าทางไม่เหมือนคนปกตินั้นของนาง พลางหยิบขวดยาที่นางทิ้งไว้ให้ ในใจของเขาก็รู้สึกยินดีที่อย่างน้อยวันนี้ก็ยังมีคนมองเห็นความพยายามของเขา
คืนนี้ถึงแม้จะมีคนของหอมรกตเข้ามาก่อความวุ่นวาย แต่ด้วยการร่ายรำที่งดงาม ยั่วยวนของหอบุปผา จึงทำให้แขกไม่นำเหตุการณ์ก่อนหน้ามาใส่ใจ ยังคงนั่งชมการแสดงของเหล่าหญิงคณิกาตั้งแต่ต้นจนจบ
หนิงอวี่ที่ตอนนี้เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด นางอยากจะล้มตัวลงนอนเสียตอนนี้เลย แต่กระนั้นเจียลี่ก็ยังเข้ามาขัดเวลานอนของนางจนได้
“คุณหนูเจ้าคะ พ่อบ้านเจียงแจ้งว่าวันนี้คุณชายจ้าวไม่ได้มารับเงินค่าจ้างเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เอาไปให้เขาเถอะ เดี๋ยวหาว่าข้าผิดคำพูดอีก”
“คุณหนูเอาไปให้เองไม่ได้หรือเจ้าคะ” เจียลี่ที่นับวันยิ่งกล้าต่อรองกับนาง
“เหตุใดต้องเป็นข้า?”
“ก็คุณหนูไม่กลัวเขา แต่ข้ากลัวเจ้าค่ะ คุณชายจ้าวมักมีสายตาแข็งกร้าวและใบหน้าเย็นชา” เจียลี่บรรยายจนนางนึกหน้าของคนผู้นั้นออก
‘ใครบอกว่านางไม่กลัว นางสมควรกลัวเขาที่สุด เพราะคนแรกที่เขาจะสังหารคือนาง’ หนิงอวี่ได้แต่บ่นในใจ
.................รถม้าวิ่งเข้ามาในถนนอันเปล่าเปลี่ยว บ้านเรือนแถวนี้เงียบสงบ ต่างจากถนนเส้นหลักของเมือง รถม้าวิ่งเลยบ้านสกุลป้ายที่บัดนี้ถูกทิ้งร้าง ด้วยผู้คนในจวนถูกสังหาร บ้างก็ถูกขายด้วยโทษฐานกบฏ ทำให้บรรยากาศน่าวังเวงไม่น้อย
รถม้าหยุดลงที่เรือนหลังหนึ่งที่ยู่ติดกับจวนสกุลป้าย เมื่อหนิงอวี่ลงจากรถม้า จากที่รู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบวังเวงอยู่แล้วเมื่อออกมาอยู่ด้านนอกยิ่งทำให้นางขนลุกยิ่งกว่าเดิม เจียลี่เดินมาเกาะแขนนางด้วยความหวาดกลัว ด้วยมีข่าวลือว่ามักมีเสียงร้องไห้ออกมาจวนสกุลป้ายอยู่ทุกค่ำคืน
“ทำไมเรือนคุณชายจ้าว ไม่จุดไฟเลยล่ะ”
“เจ้าเข้าไปดูหน่อย” หนิงอวี่หันไปบอกคนขับรถม้า
เพียงชั่วครู่คนขับรถม้าก็ออกมา “คุณหนู ดูเหมือนคนชายจ้าวจะนอนซมเพราะพิษไข้ขอรับ” คนขับรถม้าวิ่งออกมาแจ้งหน้าตาตื่น
หนิงอวี่เมื่อรู้ว่าเขามีไข้ นางจึงเดาได้ว่าน่าจะมาจากอาการบาดเจ็บเมื่อช่วงค่ำนี้แน่
“เจ้าไปตามหมอ” หนิงอวี่สั่งคนขับรถม้าอีกครั้ง
เมื่อสั่งคนไปตามหมอเรียบร้อย หนิงอวี่ก็ตรงเข้าไปภายในเรือนทันที โดยภายในเรือนมืดสนิทมีเพียงแค่แสงไฟสลัว จากห้องนอนเท่านั้น
“ทำไมกลิ่นอับชื้นถึงแรงเช่นนี้ อากาศก็หนาวเย็นเขาไม่เคยจุดไฟให้ความอบอุ่นเลยหรือไง”
“คุณชายจ้าว ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อเข้าไปยังห้องของเขาได้ นางก็ถามขึ้นในทันทีหากแต่ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของเรือน
“เจียลี่ เจ้าหาเทียนมาจุดเพิ่ม”
หนิงอวี่สั่งสาวใช้ส่วนตัว นางเองก็อังมือที่หน้าผากของหลี่หยาง หน้าผากของเขาร้อนราวกับไฟเผา นั่นแสดงว่าเขามีไข้สูงไม่น้อย
เมื่อแสงเทียนเพียงเล่มเดียวที่เจียลี่หาเจอถูกจุดขึ้น ทำให้เห็นภายในเรือนที่เก่า ผุพังเสียหาย ไม่มีเครื่องเรือนแม้แต่ชิ้นเดียว มีเพียงกาน้ำชาเก่า ๆ และถ้วยชาที่บิ่นแล้วเพียงใบเดียว
“ทำไมเรือนนี้ถึงได้พังจนไม่น่าอยู่เช่นนี้” หนิงอวี่เวทนาหลี่หยางไม่น้อย ที่มีชีวิตลำบากขนาดนี้
“เป็นคุณหนูให้คนมารื้อเองเจ้าค่ะ”
หนิงอวี่ตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน “ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้นเล่า”
“คุณหนูโกรธคุณหนูป้าย ที่มีแต่คนคอยปกป้องเมื่อทำร้ายนางไม่ได้ ด้วยเกรงกลัวคุณชายไป๋ท่านจึงมาลงที่คุณชายจ้าวเจ้าค่ะ”
ยิ่งฟังคำอธิบายของเจียลี่ นางเองก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน หากนี้เป็นนิยายของนางจริง ฉากการทำลายข้าวของเช่นนี้นางไม่ได้เขียนลงไป ตอนนี้หนิงอวี่เริ่มหวาดกลัวกับสิ่งที่จะเป็นไป หากเนื้อเรื่องจะไม่ดำเนินตามสิ่งที่นางเขียนไว้
“ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ” เจียลี่พูดขึ้นทำให้ความคิดของนางหยุดลง
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงอวี่ถามหมอที่พึ่งตรวจอาการเสร็จ
“คุณชายท่านนี้มีไข้จากบาดแผลที่บาดเจ็บ ให้ยาสมานแผลแลดื่มยาลดไข้ สองสามวันก็จะดีขึ้น”
เมื่อหมอออกไป หนิงอวี่ก็สั่งให้เจียลี่ต้มยาและน้ำร้อนให้กับ
หลี่หยางทันที ส่วนนางเอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาพลางครุ่นคิดว่า หากนางทำดีกับเขามันจะสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของนางได้จริงหรือ แล้วเหตุใดหลายอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่จึงแตกต่างจากที่นางเขียนในนิยายไม่น้อย
เพื่อเป็นการไถ่โทษที่นางเคยทำร้ายเขา หนิงอวี่จึงคอยอยู่ป้อนยา และเช็ดตัวให้เขาทั้งคืน จนนางเองก็ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงเย็นชาที่คุ้นหูดังขึ้น
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
นั่นคือคำแรกที่เขากล่าวทักทายนาง ผู้มีพระคุณที่ช่วยให้เขามีชีวิตรอดจากพิษไข้เมื่อคืนนี้ได้
“ข้าคิดว่าคำแรกที่ท่านควรพูดกับข้าคือขอบคุณมิใช่หรือ”
“ทำไมข้าต้องขอบคุณเจ้า”
“ก็ข้าอยู่ช่วยป้อนยาและเช็ดตัวลดไข้ให้ท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า” นางพูดพลางยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ นางเมื่อยไปทั้งตัวจากการนั่งบนโต๊ะตัวเล็กๆทั้งคืน
“ข้าไม่ได้ร้องขอ” หลี่หยางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หนิงอวี่หมดคำที่จะพูดกับชายเย็นชาผู้นี้ในทันที
“เอาเถอะ ๆ ถือว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องแล้วกัน” หนิงอวี่พูดแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเมื่อยล้า
“ส่วนเงินสองตำลึง ค่าจ้างของท่านเมื่อวานถือเป็นค่าหมอ ค่ายา และของพวกนี้แล้วกัน” นางผายมือทั้งสองข้างออกเพื่อให้เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องนี้ จากนั้นส่งยิ้มที่ปนความหมั่นไส้ให้กับเขาและจากไป

หน้าตำหนักหนิงอันบัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เหล่านางกำนัลวิ่งวุ่นแทบจะชนกันล้ม หลี่หยางที่ถูกขวางไว้นอกตำหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ฝางกงกงเหตุใดข้าจะเข้าไปในตำหนักไม่ได้” หลี่หยางที่จ้องมองเข้าไปในตำหนัก พลางกล่าวถามกับขันทีข้างกาย “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮากำลังจะคลอดตามประเพณีห้ามบุรุษเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ” “แต่ว่า.......” หลี่หยางยังอยากโต้แย้งต่อ “ไม่มีแต่ใด ๆ ทั้งนั้น ถึงเจ้าเข้าไปก็ช่วยสิ่งใดไม่ได้” ไทเฮาที่ไม่รู้เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่กล่าวห้ามฝ่าบาทด้วยท่าทีจริงจัง ทำให้หลี่หยางไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งอีก “คลอดแล้ว! คลอดแล้วเพคะ เป็นองค์ชายเพคะ” เสียงของเจียลี่ดังออกมาจากตำหนัก ก่อนที่ร่างนางจะโผล่ออกมารายงานข้างนอกเสียอีก หลี่หยางตื่นเต้นดีใจจนมือไม้สั่น ใบหน้าบัดนี้ของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม รีบรับตัวโอรสของตนที่ถูกห่อด้วยผ้าคลุมลายมังกรจากเจียลี่ พลันทารกน้อยก็เปล่งเสียงร้องเป็นครั้งแรก เสียงร้องนั้นก้องกังวาน หนักแน่นและมีพลังอย่างน่าประหลาด
หนิงอวี่ที่หลับใหลกลับได้ยินเสียงที่คุ้นชินเรียกนางอีกครั้ง กลับมา กลับมา เสียงเบาของสตรีผู้นี้ทำให้นางต้องปรือตาขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้สิ่งแวดล้อมรอบตัวของนางกลับเปลี่ยนไป แสงสว่างจากหลอดไฟบนห้องสีขาวสะอาด ผู้คนในชุดสีเขียวเข้มกำลังใช้เครื่อง มือแพทย์หลายชิ้นยื้อชีวิตของใครบางคนบนเตียงผ่าตัดอย่างเคร่งเครียด ทำให้หนิงอวี่ตกใจกับสถานที่แห่งนี้ เหตุใดนางถึงอยู่ในยุคปัจจุบันกัน แล้วเหตุใดถึงโผล่มาอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยว” เสียงที่คุ้นชินเรียกชื่อนางจากด้านหลัง หนิงอวี่รีบหันไปหาเสียงนั้นในทันที เมื่อสายตาประสานกับดวงตาที่คุ้นเคยร่างบางก็แข็งทื่อในทันที “นี่ท่าน!” หนิงอวี่ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดก่อน สตรีเบื้องหน้าภายใต้อาภรณ์สีขาวทั้งตัวยืนยิ้มให้กับนาง ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเหมือนกับใบหน้าของนางทุกประการ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยวข้าคือเจ้า แลเจ้าคือข้า หากแต่เราสองอยู่กันคนละภพชาติเท่านั้น” “ท่านคือ..” หนิงอวี่ย้ำถามสิ่งที่ตนสงสัย “ข้าคือภูตสวร
แม้การรอดพ้นจากความตายของหนิงอวี่จะเป็นความปรารถนาเดียวของหลี่หยาง แต่การสูญเสียกระบี่เทพก็ทำให้ราชสำนักเกิดข้อพิพาทอีกครั้ง ขุนนางฝ่ายเสนาบดีสุ่ยไม่พอใจกับการสูญเสียนี้ “บัดนี้สูญเสียกระบี่เทพแล้ว หากแคว้นอื่นมารุกรานจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีสุ่ยทูลถามอย่างไม่เกรงกลัว “ก็นำทหารออกสู้รบอย่างไรเล่า” แม่ทัพหู่โต้แย้งแทนฮ่องเต้ “กระหม่อมมิเห็นด้วยที่ฝ่าบาทนำกระบี่เทพแลกกับการคืนชีพฮองเฮา ถึงอย่างไรพระองค์ควรเห็นราษฎรมาก่อน” รองเจ้ากรมโยธาเสี่ยงตายทูลทัดทาน “เช่นนั้นรองเจ้ากรมโยธาเห็นผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้กว่าเราก็เสนอมาเถิด ข้าไม่มีวันนำชายาของตนแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น”หลี่หยางกล่าวอย่างไม่ถือโทษ แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นจนใต้เท้าฉีไม่กล้ากล่าวต่อ “ข้าจะปกป้องแคว้นด้วยกำลังที่ข้ามี หาใช่อาวุธเทพที่ต้องแลกด้วยชีวิตฮองเฮาหรือผู้ใด หากใต้เท้าฉีคิดว่าข้าไม่เหมาะสมโปรดเสนอฮ่องเต้พระองค์อื่น” สายตาเยือกเย็นมองไปยังรองเจ้ากรมโยธา ฉีเหิงรองเจ้ากรมโยธาเมื่อเห็นฝ่าบาททรงกริ้วก็หัน
หลี่หยางมุ่งตรงไปที่หอกระบี่ หากไม่มีผู้ใดให้คำตอบกับเขาได้ก็มีเพียงหอกระบี่นี้เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ ชั้นบนสุดของหอกระบี่ยังคงเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง กระบี่เทพที่ล่องลอยบนบัลลังก์น้ำแข็ง โดยมีลูกแก้วดวงจิตสถิตอยู่กลางห้องหลี่หยางเรียกกระบี่มาหาตนพลางชี้ไปยังดวงจิตเทพที่ล่องลอยอยู่ “จงให้คำตอบข้า เหตุให้ฮองเฮาของข้าจึงเป็นเช่นนั้น” สายตาเยือกเย็นหมายจะทำลายดวงจิตนั้นให้สิ้น หากไม่ให้คำตอบที่เขาต้องการ “จ้าวหลี่หยางคำตอบนั้นข้าย่อมให้เจ้าได้ การปลอบประโลมดวงจิตเทพต้องใช้ไอเซียนของภูตสวรรค์ เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ที่มีไอเซียนของภูตสวรรค์เท่านั้น เมื่อร่างดูดซับพลังฝั่งมารมากเกินไปจะต้องขจัดพลังนั้นออก แต่เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ย่อมไม่สามารถมีพลังเช่นนั้นได้ ร่างกายและจิตวิญญาณนางจึงค่อย ๆ ดับสลาย” กลางอกของหลี่หยางเบาโหวงเมื่อได้ยินสิ่งที่ดวงจิตเทพบอก เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ มือที่กำกระบี่แน่นเริ่มสั่นไหว “แล้วเหตุใดก่อนหน้าเจ้าจึงไม่บอกข้า” ความเคียดแค้นเข้าเกาะกุมหัวใจที่แตกสลายนั้น
หลี่หยางยังคงเฝ้ามองการบำเพ็ญของหนิงอวี่เพื่อปลอบประโลมกระบี่เทพ ครั้งนี้นางใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่เทพสงบลงได้ เหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผมบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้างเหนื่อยมากใช่หรือไม่” เมื่อหนิงอวี่ลืมตาขึ้น หลี่หยางก็รีบเข้าไปประคองในทันที “หม่อมฉันทนไหวเพคะ” นางยังคงยิ้มกว้างให้เขา แม้ใบหน้าตอนนี้ดูซีดเซียวเพียงใดก็ตาม “เช่นนั้นพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับวัง” “อือ” นางพยักหน้าเชื่อฟังร่างบางถูกช้อนขึ้นวางไว้บนเตียงนอน เพียงไม่นานหนิงอวี่ก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลี่หยางประหลาดใจว่าเหตุใดถึงหลับได้ง่ายดายเช่นนี้ ตลอดเส้นทางในการเดินทัพกลับเมืองหลวง หนิงอวี่เอาแต่หลับเป็นส่วนใหญ่ ทำให้หลี่หยางที่นั่งอยู่ด้านข้างหวาดกลัวภายในใจโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถหาเหตุผลได้ ทำได้เพียงเป็นหมอนให้นางหนุนตลอดทาง “หนิงอวี่ถึงวังแล้ว เจ้าตื่นเถิด” เสียงทุ้มต่ำเจือไปด้วยความห่วงใยปลุกนางให้ตื่นจากนิทรา หนิงอวี่ปรือตา
ภายในห้องลับหนิงอวี่ยังคงนั่งบำเพ็ญโดยมีกระบี่เทพลอยอยู่เบื้องหน้าของนาง ด้านหลังมีหลี่หยางคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ด้วยเหตุใดทุกครั้งที่นางต้องปลอบประโลมดวงจิตกระบี่เทพ ตัวเขาเองกลับรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งภายในใจกลับหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ บัดนี้หนิงอวี่รู้สึกว่ากระบี่ไม่ได้ร้อนดั่งไฟเผาเช่นก่อนหน้า หากแต่นางกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าครั้งแรกที่ปลอบประโลมดวงจิตกระบี่มาก อาจเป็นเพราะการเร่งเดินทางมายังเทียนเถาทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่หยางที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตที่สงบของกระบี่รีบเข้ามาประคองชายาของตน “ไม่เป็นไรเพคะ เพียงแค่ครั้งนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าใช้เวลานานขึ้นกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่สงบลงได้” “ครั้งต่อไปข้าไม่ใช้กระบี่เทพแล้วดีหรือไม่” สายตาเป็นห่วงส่งมายังนาง “ได้อย่างไรกัน ศึกครั้งนี้หากไม่อัญเชิญกระบี่เทพด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าถึงสามเท่า ทหารจะต้องล้มตายนับไม่ถ้วนแน่” หนิงอวี่มองไปยังหลี่หยางด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “แต่ข้








