Home / รักโบราณ / รักนี้ ที่มอดไหม้ / บทที่ 10 โดนตบหน้า

Share

บทที่ 10 โดนตบหน้า

last update Last Updated: 2025-09-14 21:19:36

หลี่หยางมองไปรอบ ๆ ห้อง พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงไม่น้อย ทั้งผ้าที่เขาห่มที่ดูเป็นของใหม่ ถ้วยชาที่ถูกเปลี่ยนไม่ใช่ถ้วยชาที่แตกบิ่นเหมือนที่เขาเคยใช้ ตะเกียงที่มีน้ำมันเติมไว้จนเต็มจำนวนหลายอัน ห้องที่ถูกเช็ดถูจนสะอาด หรือแม้แต่ประตูเรือนที่พังจนไม่สามารถปิดได้ ตอนนี้กลับมีสภาพเรียบร้อย ถ้าเทียบกับเงินสองตำลึงที่เสียไปถือว่าเขาไม่ขาดทุนแล้ว

            เมื่อหลี่หยางลงจากเตียง เดินไปที่โถงเรือนก็พบโต๊ะตัวใหม่ แลเก้าอี้อีกหลายตัวเรียงไว้เป็นวงกลมอย่างเรียบร้อย บนโต๊ะยังมีอาหารหลายอย่าง ทั้งเป็ดย่าง หมูตุ๋น ผัดผัก แลยาต้มอยู่ด้วย

                “คุณหนูเว่ยใจดีไม่ใช่น้อยเลยนี่”

            หลี่หยางพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะนั่งลงคีบอาหารเข้าปากไม่หยุด ด้วยเขาเองไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืน ร่างกายก็หิวจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

            หนิงอวี่เองตอนนี้ก็หิวไม่น้อย พอกลับถึงเรือนนางก็สั่งให้พ่อครัวทำอาหารมาเต็มโต๊ะอย่างกับจะกินกันทั้งหมู่บ้าน

                “เจ้านั่ง” หนิงอวี่ชี้ไปทางเจียลี่ที่ยืนอยู่

            เจียลี่ได้แต่งุนงง คุณหนูจะให้นางร่วมโต๊ะด้วยเช่นนั้นหรือ

            เมื่อเห็นสีหน้างงงวยของเจียลี่ นางก็กล่าวเสริมในทันที

                “ข้ากินคนเดียวไม่อร่อย เจ้ากินเป็นเพื่อนข้า เจ้าก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งคืนเช่นกันนี่”

                “บ่าวไม่หิวเจ้าค่ะ” เจียลี่รีบปฏิเสธในทันที

                “หากเจ้าไม่กิน ข้าจะหักเงินเจ้าแบบนี้ดีหรือไม่”

            หนิงอวี่แสร้งข่มขู่ให้สาวใช้กลัว

                “บ่าวนั่งแล้วเจ้าค่ะ” เจียลี่รีบนั่งลงร่วมโต๊ะกับนางเร็วเสียยิ่งกว่าฟ้าผ่า

            หนิงอวี่ได้แต่ขำกับท่าทางขี้กลัวของสาวใช้ตน

                “กินสิ”

            ไม่ต้องรอให้หนิงอวี่พูดซ้ำ เจียลี่ก็รีบคีบเป็ดตุ๋นเข้าปากตัวเองทันที ตอนนี้กลายเป็นว่าหนิงอวี่เป็นคนเฝ้ามองเจียลี่ที่กินอย่างเอร็ดอร่อยแทน

                “คุณหนู หอบุปผามีเรื่องเกิดขึ้นแล้วขอรับ”

            พ่อบ้านเจียงวิ่งหน้าตั้งรีบมาแจ้งให้ผู้เป็นนายทราบทันที

                “มีเรื่องอะไร” หนิงอวี่ยังคงนั่งกินข้าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

                “แม่ทัพซุยอู่เหริน พารองแม่ทัพและเหล่าทหารคนสนิท มากินดื่มที่หอขอรับ”

                “นั่นก็ดีสิ ร้านจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น” นางไม่เห็นสิ่งใดต้องตกใจ

                “แต่พวกเขากำลังทำผิดกฎ พวกเขาพยายามใช้กำลังจขืนใจเหล่าหญิงคณิกา รวมถึงแม่นางป้ายด้วยขอรับ”

            สิ้นคำพ่อบ้านเจียง ตะเกียบที่หนิงอวี่ถืออยู่ก็หล่นลงกระทบชามข้าวในทันที

‘เหตุการณ์ที่ลู่เสียนจะถูกขืนใจนั้น ต้องเป็นนางที่เขียนจดหมายเชิญแม่ทัพคนนี้มานี่ แต่นี่นางไม่ได้เชิญแล้วจะเกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร’

            หนิงอวี่ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ต่อ นางรีบมุ่งไปที่หอบุปผาอย่างตื่นตระหนก หากเรื่องนี้รู้ถึงหูหลี่หยาง หรือ มู่เฉิน นางได้ตายโดยไม่ได้สั่งเสียแน่

            เมื่อถึงหอบุปผา ก็มีเสียงร้องไห้ของเหล่าหญิงคณิกาดังลงมาจากชั้นสอง ผู้คนในหอบุปผาต่างมองดูแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย หัวใจของ

หนิงอวี่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ นางทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้น

            หนิงอวี่ให้คนรับใช้พังประตูเข้าไปในทันที ภาพที่นางเห็นคือเหล่าทหารหลายคน กำลังฉีกกระชากเสื้อผ้าของเหล่านางโลมจนแทบไม่มีสิ่งใดปกปิดร่างกายของพวกนางแล้ว เสียงร้องไห้อ้อนวอนขอความเมตตาดังขึ้นเป็นระยะ

                “หยุดเดียวนี้! หากพวกเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะเรียกทางการมาจัดการเดี๋ยวนี้” หนิงอวี่ตะโกนจนสุดเสียง

            เสียงนั่นเรียกความสนใจของบุรุษเหล่านั้นได้ แต่ไม่เพียงพอให้พวกมันยำเกรง ยังคงใช้มือหยาบนั่นลูบไล้ทั่วตัวของสตรี

                “หากมันผู้ใดไม่หยุดแค่เพียงนี้ อย่าหาว่าข้าเว่ยหนิงอวี่เป็นคนบ้าเลือด เสียสติ ทำสิ่งใดไม่ยั้งคิดแล้วกัน”

            หนิงอวี่พูดพลางใช้กระบี่ของพวกมันเองชี้ไปที่คอของคนที่นางคาดว่าจะเป็นหัวหน้า

            กระบี่ที่เย็นเฉียบบนคอทำให้ทหารพวกนั้นได้สติทันที บัดนี้เหล่าคนรับใช้ได้เจียลี่พาขึ้นมามัดตัวของทหารพวกนั้นไว้

                “ป้ายลู่เสียนเล่า?” หนิงอวี่มองหาลู่เสียน แต่กลับไม่พบนางจึงถามด้วยความร้อนใจ

            หญิงคณิกานางหนึ่งชี้ไปยังห้องด้านข้าง พลางร้องไห้ควานหาเศษผ้ามาคลุมกาย

            หนิงอวี่ไม่รอช้า นางให้คนพังประตูอีกห้องทันทีตอนนี้ลู่เสียนโดนซุยอู่เหริน รวบมือทั้งสองของนางด้วยมือเดียว อีกมือปิดปากนางไม่ให้ส่งเสียง พลางใช้กำลังกดทับลู่เสียนอยู่บนเตียง

            เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของหลี่หยาง และ มู่เฉิน ที่รู้ข่าวจึงรีบมาที่หอบุปผาในทันที

            หนิงอวี่ที่ตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า นางไม่สนใจอันตรายใด ๆ รีบตรงเข้าไปหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะ ฟาดลงบนหัวของซุยอู่เหรินจนสุดแรง

            ของเหลวสีแดงไหลออกมาจากหัวพร้อมเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของแม่ทัพบ้าเลือดคนนั้น

            ยังไม่ทันที่หนิงอวี่จะป้องกันตัว มือหนาก็ตบมาที่หน้าของนางฉาดหนึ่ง ทำให้ใบหน้าของหนิงอวี่แดงเป็นรอยฝ่ามือในทันที

            หลี่หยางและมู่เฉินต่างตกใจกับการกระทำของซุยอู่เหริน ที่เป็นถึงแม่ทัพกลับกล้าทำร้ายสตรีกลางหอนางโลมเช่นนี้

                “หยุดเดียวนี้!”

            เป็นมู่เฉินที่ได้สติก่อน เสียงของเขาหยุดฝ่ามือที่จะตบลงบนใบหน้าของหนิงอวี่อีกครั้งได้พอดี

                “ซุยอู่เหรินเจ้าเป็นถึงแม่ทัพ กล้าดีอย่างไรถึงกล้าก่อความวุ่นวายให้ชาวบ้านกลางเมืองหลวงเช่นนี้”

            เสียงเยือกเย็นของมู่เฉิน พร้อมกระบี่ที่จ่ออยู่บนคอของเขาทำให้ซุยอู่เหรินได้สติในทันที

                “ขออภัยคุณชายไป๋ ข้าเมาไม่น้อยเลยขาดสติ ไม่รู้ว่าที่นี่มีคุณชายดูแลอยู่จึงเสียมารยาทไป”

            ซุยอู่เหรินแก้ตัวหน้าด้าน ๆ แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ก็ยังทำอะไรแม่ทัพชั่วผู้นี้ไม่ได้ ด้วยเขาพึ่งนำทัพกลับมาจากการชนะสงคราม ความดีความชอบนี้ย่อมช่วยให้เขาพ้นโทษได้แน่

            มู่เฉินยอมลดกระบี่ลง เช่นเดียวกับซุยอู่เหรินที่ไม่ตอแยอีก เพียงแค่เหลือบมองหนิงอวี่แล้วจากไป โดยมีสายตาอาฆาตของหลี่หยางมองตามหลังเขาไป

            มู่เฉินทำเพียงจ้องมองที่ใบหน้าบวมแดงของหนิงอวี่ที่มีน้ำตาคลอทั้งสองข้าง แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

                “คุณชายไป๋”

            เสียงอ่อนแรงของลู่เสียนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

                “ลู่เสียนเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

            มู่เฉิน ละสายตาจากหนิงอวี่ แล้วรีบถอดเสื้อคลุมร่างของลู่เสียนที่บัดนี้เสื้อผ้าถูกฉีกขาดไปบางส่วน นางร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยมี

หลี่หยางที่ส่งสายตาเป็นห่วงไปให้

            ลู่เสียนมองเห็นสายตาที่เป็นห่วงนั้นของเขา นางทำได้เพียงส่ายหน้าเพื่อบอกเขาว่านางไม่เป็นอะไร ด้วยน้ำตาที่นองหน้านั่นทำให้หลี่หยางยิ่งรู้สึกเจ็บแค้นมากขึ้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • รักนี้ ที่มอดไหม้   บทที่ 51 ชีวิตที่เติมเต็ม

    หน้าตำหนักหนิงอันบัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เหล่านางกำนัลวิ่งวุ่นแทบจะชนกันล้ม หลี่หยางที่ถูกขวางไว้นอกตำหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ฝางกงกงเหตุใดข้าจะเข้าไปในตำหนักไม่ได้” หลี่หยางที่จ้องมองเข้าไปในตำหนัก พลางกล่าวถามกับขันทีข้างกาย “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮากำลังจะคลอดตามประเพณีห้ามบุรุษเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ” “แต่ว่า.......” หลี่หยางยังอยากโต้แย้งต่อ “ไม่มีแต่ใด ๆ ทั้งนั้น ถึงเจ้าเข้าไปก็ช่วยสิ่งใดไม่ได้” ไทเฮาที่ไม่รู้เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่กล่าวห้ามฝ่าบาทด้วยท่าทีจริงจัง ทำให้หลี่หยางไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งอีก “คลอดแล้ว! คลอดแล้วเพคะ เป็นองค์ชายเพคะ” เสียงของเจียลี่ดังออกมาจากตำหนัก ก่อนที่ร่างนางจะโผล่ออกมารายงานข้างนอกเสียอีก หลี่หยางตื่นเต้นดีใจจนมือไม้สั่น ใบหน้าบัดนี้ของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม รีบรับตัวโอรสของตนที่ถูกห่อด้วยผ้าคลุมลายมังกรจากเจียลี่ พลันทารกน้อยก็เปล่งเสียงร้องเป็นครั้งแรก เสียงร้องนั้นก้องกังวาน หนักแน่นและมีพลังอย่างน่าประหลาด

  • รักนี้ ที่มอดไหม้   บทที่ 50 หลังการหลับใหล

    หนิงอวี่ที่หลับใหลกลับได้ยินเสียงที่คุ้นชินเรียกนางอีกครั้ง กลับมา กลับมา เสียงเบาของสตรีผู้นี้ทำให้นางต้องปรือตาขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้สิ่งแวดล้อมรอบตัวของนางกลับเปลี่ยนไป แสงสว่างจากหลอดไฟบนห้องสีขาวสะอาด ผู้คนในชุดสีเขียวเข้มกำลังใช้เครื่อง มือแพทย์หลายชิ้นยื้อชีวิตของใครบางคนบนเตียงผ่าตัดอย่างเคร่งเครียด ทำให้หนิงอวี่ตกใจกับสถานที่แห่งนี้ เหตุใดนางถึงอยู่ในยุคปัจจุบันกัน แล้วเหตุใดถึงโผล่มาอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยว” เสียงที่คุ้นชินเรียกชื่อนางจากด้านหลัง หนิงอวี่รีบหันไปหาเสียงนั้นในทันที เมื่อสายตาประสานกับดวงตาที่คุ้นเคยร่างบางก็แข็งทื่อในทันที “นี่ท่าน!” หนิงอวี่ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดก่อน สตรีเบื้องหน้าภายใต้อาภรณ์สีขาวทั้งตัวยืนยิ้มให้กับนาง ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเหมือนกับใบหน้าของนางทุกประการ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยวข้าคือเจ้า แลเจ้าคือข้า หากแต่เราสองอยู่กันคนละภพชาติเท่านั้น” “ท่านคือ..” หนิงอวี่ย้ำถามสิ่งที่ตนสงสัย “ข้าคือภูตสวร

  • รักนี้ ที่มอดไหม้   บทที่ 49 เพราะรัก

    แม้การรอดพ้นจากความตายของหนิงอวี่จะเป็นความปรารถนาเดียวของหลี่หยาง แต่การสูญเสียกระบี่เทพก็ทำให้ราชสำนักเกิดข้อพิพาทอีกครั้ง ขุนนางฝ่ายเสนาบดีสุ่ยไม่พอใจกับการสูญเสียนี้ “บัดนี้สูญเสียกระบี่เทพแล้ว หากแคว้นอื่นมารุกรานจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีสุ่ยทูลถามอย่างไม่เกรงกลัว “ก็นำทหารออกสู้รบอย่างไรเล่า” แม่ทัพหู่โต้แย้งแทนฮ่องเต้ “กระหม่อมมิเห็นด้วยที่ฝ่าบาทนำกระบี่เทพแลกกับการคืนชีพฮองเฮา ถึงอย่างไรพระองค์ควรเห็นราษฎรมาก่อน” รองเจ้ากรมโยธาเสี่ยงตายทูลทัดทาน “เช่นนั้นรองเจ้ากรมโยธาเห็นผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้กว่าเราก็เสนอมาเถิด ข้าไม่มีวันนำชายาของตนแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น”หลี่หยางกล่าวอย่างไม่ถือโทษ แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นจนใต้เท้าฉีไม่กล้ากล่าวต่อ “ข้าจะปกป้องแคว้นด้วยกำลังที่ข้ามี หาใช่อาวุธเทพที่ต้องแลกด้วยชีวิตฮองเฮาหรือผู้ใด หากใต้เท้าฉีคิดว่าข้าไม่เหมาะสมโปรดเสนอฮ่องเต้พระองค์อื่น” สายตาเยือกเย็นมองไปยังรองเจ้ากรมโยธา ฉีเหิงรองเจ้ากรมโยธาเมื่อเห็นฝ่าบาททรงกริ้วก็หัน

  • รักนี้ ที่มอดไหม้   บทที่ 48 ยอมแลกทุกสิ่ง

    หลี่หยางมุ่งตรงไปที่หอกระบี่ หากไม่มีผู้ใดให้คำตอบกับเขาได้ก็มีเพียงหอกระบี่นี้เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ ชั้นบนสุดของหอกระบี่ยังคงเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง กระบี่เทพที่ล่องลอยบนบัลลังก์น้ำแข็ง โดยมีลูกแก้วดวงจิตสถิตอยู่กลางห้องหลี่หยางเรียกกระบี่มาหาตนพลางชี้ไปยังดวงจิตเทพที่ล่องลอยอยู่ “จงให้คำตอบข้า เหตุให้ฮองเฮาของข้าจึงเป็นเช่นนั้น” สายตาเยือกเย็นหมายจะทำลายดวงจิตนั้นให้สิ้น หากไม่ให้คำตอบที่เขาต้องการ “จ้าวหลี่หยางคำตอบนั้นข้าย่อมให้เจ้าได้ การปลอบประโลมดวงจิตเทพต้องใช้ไอเซียนของภูตสวรรค์ เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ที่มีไอเซียนของภูตสวรรค์เท่านั้น เมื่อร่างดูดซับพลังฝั่งมารมากเกินไปจะต้องขจัดพลังนั้นออก แต่เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ย่อมไม่สามารถมีพลังเช่นนั้นได้ ร่างกายและจิตวิญญาณนางจึงค่อย ๆ ดับสลาย” กลางอกของหลี่หยางเบาโหวงเมื่อได้ยินสิ่งที่ดวงจิตเทพบอก เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ มือที่กำกระบี่แน่นเริ่มสั่นไหว “แล้วเหตุใดก่อนหน้าเจ้าจึงไม่บอกข้า” ความเคียดแค้นเข้าเกาะกุมหัวใจที่แตกสลายนั้น

  • รักนี้ ที่มอดไหม้   บทที่ 47 ปลอบประโลมดวงจิตกระบี่เทพ

    หลี่หยางยังคงเฝ้ามองการบำเพ็ญของหนิงอวี่เพื่อปลอบประโลมกระบี่เทพ ครั้งนี้นางใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่เทพสงบลงได้ เหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผมบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้างเหนื่อยมากใช่หรือไม่” เมื่อหนิงอวี่ลืมตาขึ้น หลี่หยางก็รีบเข้าไปประคองในทันที “หม่อมฉันทนไหวเพคะ” นางยังคงยิ้มกว้างให้เขา แม้ใบหน้าตอนนี้ดูซีดเซียวเพียงใดก็ตาม “เช่นนั้นพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับวัง” “อือ” นางพยักหน้าเชื่อฟังร่างบางถูกช้อนขึ้นวางไว้บนเตียงนอน เพียงไม่นานหนิงอวี่ก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลี่หยางประหลาดใจว่าเหตุใดถึงหลับได้ง่ายดายเช่นนี้ ตลอดเส้นทางในการเดินทัพกลับเมืองหลวง หนิงอวี่เอาแต่หลับเป็นส่วนใหญ่ ทำให้หลี่หยางที่นั่งอยู่ด้านข้างหวาดกลัวภายในใจโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถหาเหตุผลได้ ทำได้เพียงเป็นหมอนให้นางหนุนตลอดทาง “หนิงอวี่ถึงวังแล้ว เจ้าตื่นเถิด” เสียงทุ้มต่ำเจือไปด้วยความห่วงใยปลุกนางให้ตื่นจากนิทรา หนิงอวี่ปรือตา

  • รักนี้ ที่มอดไหม้   บทที่ 46 ศึกสุดท้าย

    ภายในห้องลับหนิงอวี่ยังคงนั่งบำเพ็ญโดยมีกระบี่เทพลอยอยู่เบื้องหน้าของนาง ด้านหลังมีหลี่หยางคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ด้วยเหตุใดทุกครั้งที่นางต้องปลอบประโลมดวงจิตกระบี่เทพ ตัวเขาเองกลับรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งภายในใจกลับหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ บัดนี้หนิงอวี่รู้สึกว่ากระบี่ไม่ได้ร้อนดั่งไฟเผาเช่นก่อนหน้า หากแต่นางกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าครั้งแรกที่ปลอบประโลมดวงจิตกระบี่มาก อาจเป็นเพราะการเร่งเดินทางมายังเทียนเถาทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่หยางที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตที่สงบของกระบี่รีบเข้ามาประคองชายาของตน “ไม่เป็นไรเพคะ เพียงแค่ครั้งนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าใช้เวลานานขึ้นกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่สงบลงได้” “ครั้งต่อไปข้าไม่ใช้กระบี่เทพแล้วดีหรือไม่” สายตาเป็นห่วงส่งมายังนาง “ได้อย่างไรกัน ศึกครั้งนี้หากไม่อัญเชิญกระบี่เทพด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าถึงสามเท่า ทหารจะต้องล้มตายนับไม่ถ้วนแน่” หนิงอวี่มองไปยังหลี่หยางด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “แต่ข้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status