 LOGIN
LOGINหลี่หยางรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย ที่กล่าวไปเช่นนั้น ที่จริงเขาไม่ได้จะเหยียดหยามสตรีคนใด เพียงแต่เขาไม่ชอบที่เห็นลู่เสียนสวมอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยเช่นนี้
ด้านหนิงอวี่ไม่สนใจหลี่หยางจะคิดเห็นเช่นไร ตอนนี้นางต้องทำหน้าที่เจ้าของหอที่ดีเดินทักทายแขกเสียหน่อย
“คุณชายไป๋ ชอบการแสดงนี้หรือไม่”
หนิงอวี่จงใจเดินมาหาเขาโดยตรง เพื่อทำความคุ้นเคยกันเสียใหม่
ไป๋มู่เฉินละสายตาจากลู่เสียนมาจ้องมองหนิงอวี่ด้วยสายตาเย็นชา
“ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะการแสดงของคุณหนูเว่ย แต่เพราะป้ายลู่เสียน”
คำพูดของไป๋มู่เฉิน ทำเอารอยยิ้มของหนิงอวี่แข็งทื่อในทันที
“คุณชายไป๋ถนอมน้ำใจสตรีได้ไม่เก่งเลยนะเจ้าคะ”
หนิงอวี่กล่าวประชดประชัน วันนี้นางอารมณ์ดีจึงไม่เอาคำพูดเขามาใส่ใจ
ไป๋มู่เฉินได้แต่ส่ายหน้าให้กับความไม่รู้จักเอียงอายของนาง
“คุณชายไป๋”
ลู่เสียนที่มองเห็นเขาพูดคุยอยู่กับหนิงอวี่ จึงเข้ามาทักทาย
“คุณหนูป้าย วันนี้เสียงพิณของเจ้าช่างไพเราะ”
มู่เฉินกล่าวชม สายตาของเขากลับไปหยุดที่ไหล่ซ้ายของนางโดยไม่ตั้งใจ จนเขาต้องรีบถอนสายตากลับด้วยความประหม่า
“ขอบคุณ คุณชายไป๋ที่กล่าวชมเจ้าค่ะ” ลู่เสียนกล่าวอย่างเขินอาย พลางดึงเสื้อของตนขึ้นปิดไหล่ขาว
หนิงอวี่รู้สึกว่าบัดนี้ตนเป็นเหมือนอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน นางเริ่มทำตัวไม่ถูก
“ข้า ขอตัวไปจัดการธุระก่อนเชิญทั้งสองคนตามสบาย”
มู่เฉินได้แต่มองนางด้วยหางตา แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ไม่ต่างจาก
หลี่หยางที่เห็นลู่เสียนพูดคุยกับคุณชายไป๋อย่างถูกคอ โดยไม่มองหาเขาเพียงน้อย
บัดนี้หอบุปผาเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น เหล่าเศรษฐี คหบดี แม้แต่ขุนนางเอง ก็ต่างมาลงชื่อเพื่อได้เข้าชมการแสดงในแต่ละค่ำคืน ทำให้เหล่าหญิงคณิกาต่างดีใจ ที่ถึงการฝึกซ้อมจะเหน็ดเหนื่อยแต่นายหญิงเว่ยก็ไม่ได้ผิดคำพูด ยังแบ่งค่าตอบแทนให้พวกนางคนละห้าตำลึงในทุกคืน
“ใต้เท้าทุกท่านเชิญด้านในเจ้าค่ะ”
หนิงอวี่ ทำหน้าที่ออกมาต้อนรับแขกเช่นเคย การมาต้อนรับแขกของนางช่วยให้นางได้รู้จักผู้มีอำนาจในเมืองนี้มากขึ้น เผื่ออนาคตข้างหน้าจะได้ขอความช่วยเหลือได้
“นี่ใช่คุณหนูเว่ย เจ้าของหอบุปผา สตรีที่ต่อยตีกับลูกค้าเพื่อหญิงคณิกานางหนึ่งใช่หรือไม่” .ใต้เท้าฟาง รองเจ้ากรมพิธีการที่ออกมาดื่มกินกับเหล่าขุนนางทักขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะ” หนิงอวี่ได้แต่ยิ้มหน้าเจื่อน ‘นี่ชื่อเสียงของนางมีเรื่องดี ๆ บ้างหรือไม่’
“ได้ยินชื่อเสียงมานาน นับถือ ๆ” ใต้เท้าฟางกล่าวอย่างอารมณ์ดี
เมื่อถึงเวลาการแสดง ลู่เสียนก็เริ่มบรรเลงพิณด้วยความอ่อนหวาน แต่เสียงพิณพึ่งบรรเลงไม่ทันไร หอมรกตก็พาคนมาพังการแสดงของนางเสียก่อน
“พวกหอบุปผาชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมาใช้เล่ห์กลแย่งแขกจากหอมรกตของข้าไปจนหมดเช่นนี้”
แม่เหล้าหอมรกตโวยวายเสียงดัง พลางกระชากแขนของลู่เสียนจนล้มลง
บรรดาแขกพากันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ด้านบนเวทีมีสตรีแต่งกายสีฉูดฉาดพร้อมชายฉกรรจ์หลายคนกำลังทำร้ายคนอยู่
“เจียลี่นั่นใคร?” หนิงอวี่ถามอย่างรีบร้อน ด้วยกลัวว่านางจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ไม่ควรยุ่ง
“นายหญิงเถาอี้ซุน เจ้าของหอมรกตเจ้าค่ะ นางคงไม่พอใจที่หอเรามีแขกเยอะกว่า”
ยังไม่ทันที่หนิงอวี่จะเข้าไปเจรจา นายหญิงเถาก็ดึงผมของลู่เสียนขึ้นมาเตรียมง้างมือตบ หนิงอวี่ตกใจเตรียมวิ่งไปช่วย แต่ก็ยังช้ากว่าหลี่หยางที่ไม่รู้มาจากไหน
“หยุดนะ หากเจ้าไม่ปล่อยนาง ข้าจะฆ่าเจ้าแน่”
หลี่หยางพูดด้วยความเย็นชา แต่มีหรือที่เถาอี้ซุนจะกลัว ในเมื่อนางมีคนมากกว่า
“ไพร่ชั้นต่ำอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า”
แค่เพียงเถาอี้ซุนส่งสัญญาณ ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ตรงเข้าทำร้าย
หลี่หยางในทันที โดยที่หลี่หยางไม่มีทางสู้กับศัตรูที่มีคนมากกว่าได้ เขาได้แต่ยืนรับหมัดรับเท้าอยู่อย่างนั้น
“หยุดนะ! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนถึงในหอบุปผา”
หนิงอวี่พูดขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด นางเกรงว่าหากช้ากว่านี้
หลี่หยางต้องตายคาเท้าพวกนั้นแน่
“โผล่หน้ามาสักทีนะคุณหนูเว่ย”
เถ้าอี้ซุนละมือจากลู่เสียนมาจ้องมองหนิงอวี่แทน
“วันนี้ทุกคนในหอบุปผาต้องคุกเข่าขอโทษข้า ที่ใช้เล่ห์กลแย่งแขกของข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะพังหอบุปผาทิ้งซะ!” อี้ซุนถือว่าตนเป็นญาติของผู้ตรวจการ จึงไม่เกรงกลัวผู้ใด
“เจ้าสิต้องขอโทษ บุกมาทำร้ายคนยังกล้าข่มขู่ผู้อื่นอีก”
หนิงอวี่เดือดดาลจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“ข้าเป็นถึงญาติผู้ตรวจการเมืองเจียงป่าย ทำไมต้องขอโทษสตรีไร้วงศ์ตระกูลอย่างเจ้าด้วย”
อี้ซุนกล่าวอย่างเย่อหยิง ไม่เกรงกลัวเหล่าขุนนางที่อยู่ตรงนี้แม้แต่น้อย
“เช่นนั้นแล้ว นายหญิงอี้ซุนลองไปถามผู้ตรวจการสักหน่อยดีหรือไม่ ว่ายินดีนับญาติกับคนเช่นเจ้าหรือไม่”
น้ำเสียงเย่อหยิ่งไม่แพ้กันของมู่เฉิน ที่ดังขึ้นจากด้านหลังของหนิงอวี่ ทำให้เถาอี้ซุนหน้าเสียไม่น้อย ด้วยนางรู้จักคุณชายไป๋เป็นอย่างดี เขาเป็นลูกชายคนรองของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย เป็นหลานชายคนโปรดของฮองเฮา ในเมืองหลวงไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขา
“คุณชายไป๋กล่าวหนักไปแล้ว แค่เรื่องเข้าใจผิดกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” อี้ซุนพยายามแก้ตัว
“แต่จากสิ่งที่ข้าเห็นมันไม่ใช่” มู่เฉินมองผ่านหนิงอวี่ที่ส่งยิ้มอย่างขอบคุณมาให้ สายตาเขาไปหยุดอยู่ที่ร่างบางของลู่เสียนที่บัดนี้นั่งสั่นอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว
“คุณชายไป๋ อย่าเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าน้อยจะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดเองดีหรือไม่”
“เจ้าต้องชดใช้อยู่แล้ว และเจ้าจะต้องรับโทษด้วย” ไป๋มู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เมตตา โดยมีหนิงอวี่พยักหน้าอย่างแรงเพื่อแสดงให้เห็นว่านางเห็นด้วย
“ทหารคุมตัวไป” สิ้นคำพูดของมู่เฉิน เถาอี้ซุนก็ถูกลากออกไปในทันที
“คุณชายไป๋...” หนิงอวี่ที่เห็นเขาเดินมาทางตน จึงเตรียมกล่าวขอบคุณ แต่ยังกล่าวไม่ทันจบก็โดนไป๋มู่เฉินผลักออกไปด้านข้าง และประคองลู่เสียนที่ล้มอยู่ขึ้นมา ทำเอาหนิงอวี่กลืนคำพูดขอบคุณลงท้องแทบไม่ทัน
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” มู่เฉินถามลู่เสียนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณชายไป๋ที่ยื่นมือเข้าช่วย”
หลี่หยางที่ยืนเจ็บอยู่เห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างชัดเจน เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ เพียงสตรีนางเดียวก็ปกป้องไม่ได้ ต่างจากไป๋มู่เฉินแค่เอ่ยปากทุกอย่างก็เรียบร้อย เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่หยางก็ได้แต่เดินถอยหลบออกไป
หนิงอวี่ที่สังเกตเห็นท่าทางเช่นนั้นของหลี่หยางก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเองกำลังเศร้าใจที่ปกป้องลู่เสียนไว้ไม่ได้ นางจึงคิดเข้าไปปลอบ
“คุณชายจ้าว ขอบคุณที่ช่วยห้ามมิให้อี้ซุนทำลายการแสดงของหอบุปผา”
หนิงอวี่กล่าวขอบคุณหลี่หยางที่บัดนี้หลบมาอยู่ภายในสวนแทน
“หากเจ้าไม่สังเกต ข้าไม่ได้ช่วยอันใดได้ เจ้าควรไปขอบใจคุณชายไป๋ต่างหาก”
หลี่หยางไม่ได้รู้สึกขอบคุณนางที่มาปลอบเขาแต่เพียงน้อย กลับยังพูดกับนางด้วยความเย็นชาเช่นเดิม
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรท่านก็มีแก่ใจจะช่วยเหลือ” หนิงอวี่กล่าวพลางนั่งลงข้าง ๆ เขา
“อีกอย่างนะ ท่านไม่จำเป็นต้องคิดมาก อย่างไรเสียภายภาคหน้าท่านก็ต้องยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน แม่นางลู่เสียนย่อมอยู่เคียงข้างท่านแน่”
คำกล่าวของหนิงอวี่ ทำให้หลี่หยางถึงกลับงุนงง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะยิ่งใหญ่เหนือทุกคนในแผ่นดิน”

หน้าตำหนักหนิงอันบัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เหล่านางกำนัลวิ่งวุ่นแทบจะชนกันล้ม หลี่หยางที่ถูกขวางไว้นอกตำหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ฝางกงกงเหตุใดข้าจะเข้าไปในตำหนักไม่ได้” หลี่หยางที่จ้องมองเข้าไปในตำหนัก พลางกล่าวถามกับขันทีข้างกาย “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮากำลังจะคลอดตามประเพณีห้ามบุรุษเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ” “แต่ว่า.......” หลี่หยางยังอยากโต้แย้งต่อ “ไม่มีแต่ใด ๆ ทั้งนั้น ถึงเจ้าเข้าไปก็ช่วยสิ่งใดไม่ได้” ไทเฮาที่ไม่รู้เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่กล่าวห้ามฝ่าบาทด้วยท่าทีจริงจัง ทำให้หลี่หยางไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งอีก “คลอดแล้ว! คลอดแล้วเพคะ เป็นองค์ชายเพคะ” เสียงของเจียลี่ดังออกมาจากตำหนัก ก่อนที่ร่างนางจะโผล่ออกมารายงานข้างนอกเสียอีก หลี่หยางตื่นเต้นดีใจจนมือไม้สั่น ใบหน้าบัดนี้ของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม รีบรับตัวโอรสของตนที่ถูกห่อด้วยผ้าคลุมลายมังกรจากเจียลี่ พลันทารกน้อยก็เปล่งเสียงร้องเป็นครั้งแรก เสียงร้องนั้นก้องกังวาน หนักแน่นและมีพลังอย่างน่าประหลาด
หนิงอวี่ที่หลับใหลกลับได้ยินเสียงที่คุ้นชินเรียกนางอีกครั้ง กลับมา กลับมา เสียงเบาของสตรีผู้นี้ทำให้นางต้องปรือตาขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้สิ่งแวดล้อมรอบตัวของนางกลับเปลี่ยนไป แสงสว่างจากหลอดไฟบนห้องสีขาวสะอาด ผู้คนในชุดสีเขียวเข้มกำลังใช้เครื่อง มือแพทย์หลายชิ้นยื้อชีวิตของใครบางคนบนเตียงผ่าตัดอย่างเคร่งเครียด ทำให้หนิงอวี่ตกใจกับสถานที่แห่งนี้ เหตุใดนางถึงอยู่ในยุคปัจจุบันกัน แล้วเหตุใดถึงโผล่มาอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยว” เสียงที่คุ้นชินเรียกชื่อนางจากด้านหลัง หนิงอวี่รีบหันไปหาเสียงนั้นในทันที เมื่อสายตาประสานกับดวงตาที่คุ้นเคยร่างบางก็แข็งทื่อในทันที “นี่ท่าน!” หนิงอวี่ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดก่อน สตรีเบื้องหน้าภายใต้อาภรณ์สีขาวทั้งตัวยืนยิ้มให้กับนาง ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเหมือนกับใบหน้าของนางทุกประการ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยวข้าคือเจ้า แลเจ้าคือข้า หากแต่เราสองอยู่กันคนละภพชาติเท่านั้น” “ท่านคือ..” หนิงอวี่ย้ำถามสิ่งที่ตนสงสัย “ข้าคือภูตสวร
แม้การรอดพ้นจากความตายของหนิงอวี่จะเป็นความปรารถนาเดียวของหลี่หยาง แต่การสูญเสียกระบี่เทพก็ทำให้ราชสำนักเกิดข้อพิพาทอีกครั้ง ขุนนางฝ่ายเสนาบดีสุ่ยไม่พอใจกับการสูญเสียนี้ “บัดนี้สูญเสียกระบี่เทพแล้ว หากแคว้นอื่นมารุกรานจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีสุ่ยทูลถามอย่างไม่เกรงกลัว “ก็นำทหารออกสู้รบอย่างไรเล่า” แม่ทัพหู่โต้แย้งแทนฮ่องเต้ “กระหม่อมมิเห็นด้วยที่ฝ่าบาทนำกระบี่เทพแลกกับการคืนชีพฮองเฮา ถึงอย่างไรพระองค์ควรเห็นราษฎรมาก่อน” รองเจ้ากรมโยธาเสี่ยงตายทูลทัดทาน “เช่นนั้นรองเจ้ากรมโยธาเห็นผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้กว่าเราก็เสนอมาเถิด ข้าไม่มีวันนำชายาของตนแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น”หลี่หยางกล่าวอย่างไม่ถือโทษ แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นจนใต้เท้าฉีไม่กล้ากล่าวต่อ “ข้าจะปกป้องแคว้นด้วยกำลังที่ข้ามี หาใช่อาวุธเทพที่ต้องแลกด้วยชีวิตฮองเฮาหรือผู้ใด หากใต้เท้าฉีคิดว่าข้าไม่เหมาะสมโปรดเสนอฮ่องเต้พระองค์อื่น” สายตาเยือกเย็นมองไปยังรองเจ้ากรมโยธา ฉีเหิงรองเจ้ากรมโยธาเมื่อเห็นฝ่าบาททรงกริ้วก็หัน
หลี่หยางมุ่งตรงไปที่หอกระบี่ หากไม่มีผู้ใดให้คำตอบกับเขาได้ก็มีเพียงหอกระบี่นี้เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ ชั้นบนสุดของหอกระบี่ยังคงเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง กระบี่เทพที่ล่องลอยบนบัลลังก์น้ำแข็ง โดยมีลูกแก้วดวงจิตสถิตอยู่กลางห้องหลี่หยางเรียกกระบี่มาหาตนพลางชี้ไปยังดวงจิตเทพที่ล่องลอยอยู่ “จงให้คำตอบข้า เหตุให้ฮองเฮาของข้าจึงเป็นเช่นนั้น” สายตาเยือกเย็นหมายจะทำลายดวงจิตนั้นให้สิ้น หากไม่ให้คำตอบที่เขาต้องการ “จ้าวหลี่หยางคำตอบนั้นข้าย่อมให้เจ้าได้ การปลอบประโลมดวงจิตเทพต้องใช้ไอเซียนของภูตสวรรค์ เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ที่มีไอเซียนของภูตสวรรค์เท่านั้น เมื่อร่างดูดซับพลังฝั่งมารมากเกินไปจะต้องขจัดพลังนั้นออก แต่เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ย่อมไม่สามารถมีพลังเช่นนั้นได้ ร่างกายและจิตวิญญาณนางจึงค่อย ๆ ดับสลาย” กลางอกของหลี่หยางเบาโหวงเมื่อได้ยินสิ่งที่ดวงจิตเทพบอก เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ มือที่กำกระบี่แน่นเริ่มสั่นไหว “แล้วเหตุใดก่อนหน้าเจ้าจึงไม่บอกข้า” ความเคียดแค้นเข้าเกาะกุมหัวใจที่แตกสลายนั้น
หลี่หยางยังคงเฝ้ามองการบำเพ็ญของหนิงอวี่เพื่อปลอบประโลมกระบี่เทพ ครั้งนี้นางใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่เทพสงบลงได้ เหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผมบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้างเหนื่อยมากใช่หรือไม่” เมื่อหนิงอวี่ลืมตาขึ้น หลี่หยางก็รีบเข้าไปประคองในทันที “หม่อมฉันทนไหวเพคะ” นางยังคงยิ้มกว้างให้เขา แม้ใบหน้าตอนนี้ดูซีดเซียวเพียงใดก็ตาม “เช่นนั้นพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับวัง” “อือ” นางพยักหน้าเชื่อฟังร่างบางถูกช้อนขึ้นวางไว้บนเตียงนอน เพียงไม่นานหนิงอวี่ก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลี่หยางประหลาดใจว่าเหตุใดถึงหลับได้ง่ายดายเช่นนี้ ตลอดเส้นทางในการเดินทัพกลับเมืองหลวง หนิงอวี่เอาแต่หลับเป็นส่วนใหญ่ ทำให้หลี่หยางที่นั่งอยู่ด้านข้างหวาดกลัวภายในใจโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถหาเหตุผลได้ ทำได้เพียงเป็นหมอนให้นางหนุนตลอดทาง “หนิงอวี่ถึงวังแล้ว เจ้าตื่นเถิด” เสียงทุ้มต่ำเจือไปด้วยความห่วงใยปลุกนางให้ตื่นจากนิทรา หนิงอวี่ปรือตา
ภายในห้องลับหนิงอวี่ยังคงนั่งบำเพ็ญโดยมีกระบี่เทพลอยอยู่เบื้องหน้าของนาง ด้านหลังมีหลี่หยางคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ด้วยเหตุใดทุกครั้งที่นางต้องปลอบประโลมดวงจิตกระบี่เทพ ตัวเขาเองกลับรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งภายในใจกลับหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ บัดนี้หนิงอวี่รู้สึกว่ากระบี่ไม่ได้ร้อนดั่งไฟเผาเช่นก่อนหน้า หากแต่นางกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าครั้งแรกที่ปลอบประโลมดวงจิตกระบี่มาก อาจเป็นเพราะการเร่งเดินทางมายังเทียนเถาทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่หยางที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตที่สงบของกระบี่รีบเข้ามาประคองชายาของตน “ไม่เป็นไรเพคะ เพียงแค่ครั้งนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าใช้เวลานานขึ้นกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่สงบลงได้” “ครั้งต่อไปข้าไม่ใช้กระบี่เทพแล้วดีหรือไม่” สายตาเป็นห่วงส่งมายังนาง “ได้อย่างไรกัน ศึกครั้งนี้หากไม่อัญเชิญกระบี่เทพด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าถึงสามเท่า ทหารจะต้องล้มตายนับไม่ถ้วนแน่” หนิงอวี่มองไปยังหลี่หยางด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “แต่ข้








