ถ้ำหลังม่านน้ำตกใต้ผาอารามธรรมพิสุทธิ์
“ชีวิตใหม่ที่ได้รับโอกาสในวันนี้ สตรีเช่นพวกเราต้องใช้ให้คุ้มค่าเพื่อวันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง”
โจวเจินว่าอีก “ข้ามีความคิดว่าอยากไปเมืองหลวงที่รุ่งเรืองเหมาะกับสตรีสะสวยเช่นข้า มีบุรุษให้เลือกเยอะๆ ค่อยๆ เลือกเฟ้น เราต้องเป็นฝ่ายเลือกและเลือกให้เป็น”
ไป๋เล่อชิงไม่คิดทัดทานผู้มีพระคุณอยู่แล้ว นางพยักหน้า “ข้าเองก็ไม่มีที่ไป เช่นนั้นก็ไปไหนไปกัน!”
แต่ว่าเส้นทางยาวไกลต้องใช้เงิน
นางจึงเสนอว่า “ข้ามีสินเดิมเก็บที่เรือนสามี ยังมีตั๋วเงินแอบเก็บไว้ เป็นตั๋วเงินที่ลักลอบทำการค้าลับๆกับสกุลเฉินของสหายมาหลายปี”
โจวเจินพยักหน้าเข้าใจ
“เจ้าอยากให้ข้าแอบเข้าไปเอาออกมาใช่หรือไม่?”
“ใช่เจ้าค่ะ นั่นคือเงินของข้า ผู้อื่นไม่ควรมีสิทธิ์ยึด ข้ามิอาจทำใจหากแม่สามีจะได้มันไปทั้งหมด”
“ได้ เจ้าบอกทางมา ข้าใช้เวลาไปขโมยไม่นาน” มีวรยุทธ์เสียอย่าง ต้องใช้ทักษะฟ้าประทานนี้ให้คุ้มค่า
ไป๋เล่อชิงหยิบหินก้อนเล็กๆ มาขีดเขียนบนพื้นดินก่อเกิดเป็นแผนที่และเส้นทางไปยังเรือนสกุลอู๋ รวมถึงประตูเรือนต่างๆ
โจวเจินพูดเอาไว้ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย นางใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็กลับมาพร้อมตั๋วเงินและห่อผ้าของมีค่า
ไป๋เล่อชิงที่รออยู่ในถ้ำได้แต่เบิกตาโตอย่างแตกตื่น เดิมทีนางใช้เวลานั่งรถม้าจากเรือนสกุลอู๋มาที่วัดนานโข แต่โจวเจินทั้งไปและกลับทั้งยังต้องลอบเข้าเรือนขโมยของ
“รวดเร็วเกินไปแล้ว ยอดเยี่ยมที่สุดเลยเจ้าค่ะ” ไป๋เล่อชิงชื่นชมจากใจ
โจวเจินยักคิ้ว “เพราะเจ้าบอกทิศห้องพักส่วนตัว ตำแหน่งเก็บของมีค่า ต้องยกความดีให้เจ้าสิถึงจะถูก” ว่าพลางส่งทุกอย่างให้เจ้าของทั้งหมด ไม่คิดยักยอกสักชิ้น โจวเจินเป็นคนสัตย์ซื่อจริงใจ โดยเฉพาะคนที่ถูกชะตา
ไป๋เล่อชิงแย้มยิ้ม แม้นางจะมีครอบครัวไม่ค่อยดี แต่งงานเข้าเรือนสามีผิดคน แต่ชีวิตนี้ยังไม่นับว่าโชคร้าย เพราะว่านางมีวาสนาพบเจอมิตรภาพแสนดีมาโดยตลอด คนแรกเฉิงเอิน คนที่สองก็โจวเจิน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ
เรือนสกุลอู๋
อาชุ่ยวิ่งเข้ามา “นายหญิง เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”
ซืออวิ๋นนั่งจิบชาในศาลาถามเสียงเนือย “มีสิ่งใด”
“เมื่อคืนมีโจรงัดเรือนของนายหญิงน้อยเจ้าค่ะ”
คนฟังตกใจยิ่ง
“โจรหรือ?”
“เจ้าค่ะ ของมีค่าในเรือนนายหญิงน้อยถูกขโมย ทั้งเงินในหีบและเครื่องประดับไม่เหลือเลยสักชิ้น” อาชุ่ยเคยเข้าไปทำความสะอาดจึงเคยเห็นของมีค่าเหล่านั้น
“แล้วที่ห้องคลังในเรือนข้าเล่า? ตรวจสอบหรือยัง? มีอะไรหายหรือไม่?”
ที่นั่นของมีค่าเยอะยิ่งกว่าห้องของไป๋เล่อชิง
“ไม่มีสิ่งใดหายแม้แต่ชิ้นเดียวเจ้าค่ะ ไม่มีร่องรอยแม้แต่รอยเท้า โจรมางัดแค่เรือนของนายหญิงน้อยเท่านั้น เรื่องนี้ต้องแจ้งทางการหรือไม่เจ้าคะ?”
ซืออวิ๋นชะงักงันนิ่วหน้า คนมีชนักติดหลังมีหรืออยากยุ่งเกี่ยวกับทางการ นางจึงโบกมือปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ของข้ายังอยู่ครบถ้วนก็พอ”
ของนางล้ำค่ากว่าของไป๋เล่อชิงมาก
เงียบงันครุ่นคิดครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดนางก็ฉุกคิดได้ บางทีอาจเป็นฝีมือของไป๋เล่อชิง นางยังไม่ตายจริงๆ แต่ไฉนไม่แสดงตัวออกมา
อา...หรือว่า นางแอบกลับมาเอาเงินส่วนตัวเช่นนี้..ก็เพื่อเดินทางไปหาหมิงเอ๋อร์ที่เมืองหลวง!
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว...
ไม่ได้การ! ต้องตัดไฟแต่ต้นลม
หลักฐานการตายของไป๋เล่อชิงถูกสร้างขึ้นด้วยอาภรณ์ฉีกขาดซึ่งมีเนื้อผ้าสีสันคล้ายคลึงกับที่นางใส่ในวันเกิดเหตุตกอยู่กึ่งกลางหน้าผาติดกับกิ่งไม้
“นี่คือชิ้นส่วนที่หลงเหลือร่องรอยเดียวที่ข้าหาพบ”
ซืออวิ๋นเสียงสั่น น้ำตานองหน้า ทำท่าเสียใจอย่างสุดซึ้ง และนางนั่งพูดอยู่ตรง ‘ป้ายวิญญาณ’ ของลูกสะใภ้
“น้ำตกใต้หน้าผานั่นทั้งลึกและไหลเชี่ยว ข้าไม่อาจคิดสภาพอันน่าเศร้าได้จริงๆ เจ้าค่ะ การไม่เจอศพ บางทีย่อมดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้จดจำแค่ภาพงดงามของนาง”
และเพียงประโยคเช่นนี้ทำคนฟังในโถงจัดงานศพคาดคิดไปในทำนองเดียวกันว่าร่างของไป๋เล่อชิงคงจมดิ่งติดคาซอกหินไม่อาจนำขึ้นมาได้
คนตกหน้าผาสูงเชียวนะ
คาดว่าคงไม่เหลือแม้แต่กระดูก
แน่นอนว่าคงกลายเป็นอาหารปลาไปเสียสิ้นแล้ว
หรือต่อให้เหลือก็คงแค่ซาก ไหนเลยจะน่ามองกัน?
หลังจากพิธีศพสะใภ้ผ่านพ้นไปด้วยดีไม่มีตกหล่น ซืออวิ๋นก็แบกสังขารเดินทางแจ้งทางการด้วยตัวเอง นับว่าใส่ใจต่อผู้วายชนม์อย่างยิ่ง
นางดำเนินการแจ้งเรื่องทะเบียนราษฎร์ จัดการบัญชีครัวเรือนให้การตายของไป๋เล่อชิงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์
และทำให้บุตรชายของนางก็เป็นบุรุษที่ไร้ภรรยาโดยสมบูรณ์เช่นกัน
เพื่อให้เขาสานสัมพันธ์กับสตรีคนใหม่ได้อย่างราบรื่นสบายใจไร้ภูมิหลังให้กังวล
จดหมายบอกกล่าวถูกส่งออกไปทันที
โรงเตี๊ยมฝูไหลชั้นสอง ห้องอาหารติดกันเสียงของสองสตรีที่ดังเล็ดลอดเข้ามา หากมิได้แอบฟังคงไม่ได้ยินจับใจความไม่ได้ มิหนำซ้ำคงไม่สนใจบทสนทนาที่เลื่อนเปื้อนนั่น ทว่าเจาจวิ้นที่บังเอิญได้ยินล้วนจับใจความได้จนปรุโปร่งกระทั่งต้องแอบฟังอย่างตั้งใจที่สุดในใต้หล้าอยู่ตอนนี้ และหัวใจก็เต้นแรงเสียจนแทบทะลุออกมานอกอกรอมร่อเสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่องว่า “ชิงชิง เจ้ารู้เช่นนี้แล้ว ระแวงข้าหรือไม่? ไม่อยากเข้าใกล้หรือเปล่า? แบบเห็นข้าเป็นหญิงบ้าหรือเป็นผีร้ายอะไรเทือกนั้น”“อาโยว ข้ารู้แค่ว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า”“แน่นะ”“อื้ม”โจวเจิน! อาโยว! ต่างมิติ วิญญาณสิงร่าง เจาจวิ้นเบิกตากว้าง เม้มปากจนกรามสั่นในที่สุดก็หาเจอเสียที!เจาจวิ้นเหลือกตายามแนบหูแอบฟังจนใบหน้าที่แต่งแต้มเติมชาดบิดเบี้ยวเสียรูปทรงและทำท่าเจาะกระดาษบนฉากกั้นห้องข้างๆ อย่างวู่วาม อู๋หมิงที่นั่งอยู่ด้วยกันเห็นเช่นนั้นก็เลิกคิ้วถาม“อาหนิง เจ้าจะทำบ้าอะไร? อย่าเสียมารยาท”ดวงตาเจาจวิ้นยังคงเบิกกว้าง ชี้นิ้วฉากกั้นห้องพลางกระซิบอย่างตื่นเต้นที่สุด “สตรีห้องข้างๆ ห้องนี้ๆ”อู๋หมิงเสียงขรึม “คืออะไร? พูดดีๆ”เจาจวิ้นสูดลมหายใจ “
ไป๋เล่อชิงชะงักท้ายที่สุดก็พยักหน้า “อืม ข้าไม่มีทางลืมแน่นอน” นางเพียรย้ำ เตือนตัวเองซ้ำๆอีกว่า “หากข้าเจอเขาก็จะหนีให้ไกลด้วย ดีหรือไม่?” “ดีมาก”ระหว่างกินอาหารและชื่นชมทิวทัศน์ร้านรวงต่างๆจากหน้าต่างห้องชั้นสอง ไป๋เล่อชิงก็เหลือบไปเห็นโจวเจินกำลังคำนวณอันใดสักอย่างจนหัวคิ้วขมวดมุ่นไปหมด “อาโยว เจ้าทำสิ่งใดหรือ?”โจวเจินบอกโดยไม่เงยหน้า สายตายังคงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ข้ากำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ ของพวกเราสองคนและหาลู่ทางเพิ่มเงินในหีบ เงินของเจ้าเหมือนเยอะ แต่หากไม่หาเพิ่มคงไม่ดี”ไป๋เล่อชิงยิ้ม “อันที่จริงข้าคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ยังคิดว่าอยากทำการค้า เป็นเถ้าแก่เปิดกิจการสักอย่าง แต่แรกเริ่มคงต้องหางานทำเป็นลูกจ้างไปก่อน ข้าทำบัญชีและมีความรู้เรื่องกิจการร้านค้า วันนี้ระหว่างเดินเที่ยว ข้ามองหาร้านที่ติดประกาศรับคนงานทำบัญชีเอาไว้ โอกาสได้งานคงสูงอยู่ ทำงานเก็บเงินได้ค่อยหาเช่าร้าน พอทำการค้าได้กำไรก็ค่อยซื้อร้านต่อยอดขยายกิจการ ยามนี้ต้องทนลำบากสักหน่อย ภายหน้าย่อมดีแน่นอน”โจวเจินให้รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับเมืองโบราณอ
เดินทางครึ่งเดือนในที่สุดไป๋เล่อชิงกับโจวเจินก็ถึงที่หมายคือเมืองหลวงต้าอันที่นี่เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองชนบทผิงเจียยิ่งนัก ผู้คนที่เดินขวักไขว่พลุกพล่านล้วนแต่งกายงดงามดูดี แม้แต่ขอทานคนเร่ร่อนยังมีการปะชุนเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าชาวเมืองหลวงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์เป็นอย่างมาก เรียกว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความมั่งคั่งอย่างแท้จริงโจวเจินก้มมองชุดขาดวิ่นของตนนิ่งๆ ชุดมีสภาพนี้เพราะร่างเก่าต่อสู้แย่งชิงคัมภีร์มารสุดยอดเคล็ดวิชากับจอมยุทธ์คนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งต่างฝ่ายตายไปทั้งคู่ คัมภีร์นั้นก็หายไปทางใดก็สุดรู้ นางที่จู่ๆ ก็เข้าสิงร่างจึงต้องทนกับเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งยับเยินนี้มาเนิ่นนาน เป็นเพราะเมืองต่างๆที่ผ่านทางไม่มีร้านผ้าที่ถูกใจ ตัวเลือกน้อยไม่ดึงดูด แต่ที่เมืองหลวงแห่งนี้กลับแตกต่าง ทุกย่างก้าวล้วนมีแต่สินค้าหลากหลายให้เลือกหา คิดแล้วก็หันไปทางไป๋เล่อชิงที่เดินชมเมืองอยู่ข้างๆ “ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียหน่อย ยืมเงินเจ้าก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะหางานทำชดใช้ให้”ไป๋เล่อชิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อาโยวเป็นผู้มีคุณ ไม่ต้องทำงานชดใช้ ต้องการเงินเท่าไรขอเพียงบอกมา อั
เห็นเจาจวิ้นพูดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดเช่นนั้น อู๋หมิงให้รู้สึกปวดหัว “เจ้าทำตัวเช่นนี้ ลืมแล้วกระมังว่าตัวเองเป็นบุรุษ”“ปลอมเป็นสตรีทุกวัน ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วปะไร” เจาจวิ้นยืดตัวนั่งตรง หรี่ตาจ้องอู๋หมิง “ว่าแต่ท่านเถอะ นอนไม่หลับเพราะเรื่องภรรยาอีกแล้วหรือ?”อู๋หมิงถอนหายใจ ตอบรับเสียงทุ้มต่ำในลำคอ เงียบงันครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “เป็นสามีย่อมต้องใส่ใจภรรยา”“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีความรู้สึกต่อนางขนาดนี้ มิใช่ว่าท่านถูกนางใช้แผนการจนได้แต่งงานหรอกหรือ?”อู๋หมิงเลิกคิ้ว “เจ้ารู้?”เจาจวิ้นยกหัวแม่มือชี้ตัวเอง ทำท่าคุยโวโอ้อวดว่า “ข้าเป็นใคร สายลับระดับแคว้นเชียวนะ แค่เรื่องของคู่หู สืบง่ายนิดเดียว”มิรู้ว่าเอาท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้มาจากไหน อู๋หมิงได้แต่ส่ายหน้าระอา ได้ยินเจาจวิ้นเอ่ยเย้าอีกว่า “ท่านมีความคะนึงหานางขนาดนี้ ข้าเริ่มสงสัยเสียแล้ว ไม่แน่ว่าท่านน่ะจงใจทำตัวซื่อบื้อหลอกล่อให้นางตายใจ แล้วคืนเกิดเหตุก็เป็นท่านที่สมยอมถูกมอมเหล้า ถูกไหม”ประหนึ่งมีหูตาสวรรค์ คำพูดเหล่านี้ทำอู๋หมิงถึงกับชะงักงัน “อาหนิง เจ้ารู้เท่าทันเกินไปกระมัง?”“ฮ่าๆ ข้าเดาถูก เก่งกาจใช่หรือไม่?”อู๋หมิงส
ท่ามกลางกลุ่มควันจากถ้วยชาร้อนกรุ่นสองถ้วยระหว่างกระดานหมากยากเอาชนะเยี่ยนอ๋องถามอู๋หมิงอย่างห่วงใย “ไม่เคยเห็นเจ้าโกรธขนาดนี้ นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”ปกติอู๋หมิงสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทุกเรื่องราว พอถึงคราวที่พระองค์ถามเอาความคิดเห็นก็ตอบอย่างละเอียดรอบคอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน เรียกได้ว่าเสนอข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลอย่างรอบด้านแบบไร้ที่ติ เพราะไม่มีอารมณ์ร่วมอันใดแม้แต่น้อย ในขณะที่ตัวพระองค์มักเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง โมโหฉุนเฉียวทุกครั้งยามเกิดปัญหาให้ขบคิด“ได้เห็นเสียที ยามเจ้ามีอารมณ์โกรธขึ้นมานับว่าเด็ดขาดทีเดียว”อู๋หมิงมิได้ปฏิเสธ ทว่าความเงียบของเขาย่อมเป็นการตอบรับตามวิสัยเยี่ยนอ๋องชอบนิสัยเย่อหยิ่งพูดน้อยของอู๋หมิง พระองค์ทั้งเอือมระอาและคร้านจะฟังคนจำพวกปากมากปากรั่วดุจตะแกรง วันๆเอาแต่พูดจาประจบสอพลอ หาความจริงไม่เจอบุรุษเที่ยงตรงสงบเยือกเย็นเฉกอู๋หมิง ไม่ว่าใครล้วนถูกใจให้คบหาเสมออ๋องหนุ่มถามต่อ “เจ้าคิดว่าภรรยายังไม่ตาย?”ครานี้อู๋หมิงไม่คิดปิดบัง “พ่ะย่ะค่ะ”“ไฉนถึงคิดเช่นนั้น?”“หลังจากในนักรบเงาลอบสืบอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่ามีโจรเข้ามาขโมยของมีค
อู๋หมิงลุกขึ้นทันที เข้าไปขอพบเยี่ยนอ๋องอย่างไว หลังจากได้นักรบเงาฝีมือฉกาจมาสองคน เขาก็พากลับเข้าเรือนส่วนตัวแล้วสั่ง “เจ้าไปชนบทผิงเจียแล้วสืบเรื่องไป๋เล่อชิงมาให้ข้า สืบด้วยว่าผู้ใดที่ส่งข่าวเกี่ยวกับข้าไปที่บ้านเดิม จนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนกระทั่งผิดมหันต์เช่นนั้น”“ขอรับกุนซือ” นักรบเงาทั้งสองค้อมศีรษะรับคำก่อนหายวับไป เจาจวิ้นได้แต่มองตามอย่างบื้อใบ้ “อ่ะ อ้าว” แล้วเรื่องของข้าเล่า?นักรบเงาที่ถูกส่งไปสืบข่าวเรื่องไป๋เล่อชิง ไม่นานก็กลับมารายงานต่ออู๋หมิงฟังอย่างละเอียด และครบถ้วนทุกประเด็นที่เขาสงสัยประเด็กแรกคนที่ปากพล่อยปล่อยข่าวลือผิดๆ ประเด็นที่สองเรื่องภรรยาฆ่าตัวตายอย่างผิดปกติประกายกร้าวลึกล้ำยากคาดเดาเผยชัดในแววตา อู๋หมิงนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลต่อเยี่ยนอ๋อง “กระหม่อมทูลขอพระองค์ตัดสินโดยไม่ยื่นมือช่วย ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องโยงใยในแผนการของพระองค์และผลพวงของความปากพล่อยนั้นก็ทำคนตายพ่ะย่ะค่ะ”หลานชายฝั่งมารดาถูกลากตัวออกมาทั้งน้ำตาอู๋หมิงแม้เห็นแก่ซือตั๋วญาติลูกพี่ลูกน้องผู้นี้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเอาไปพูดล้วนไม่สมควรแม้แต่น้อยบนแท่นประท