อู๋หมิงลุกขึ้นทันที เข้าไปขอพบเยี่ยนอ๋องอย่างไว
หลังจากได้นักรบเงาฝีมือฉกาจมาสองคน เขาก็พากลับเข้าเรือนส่วนตัวแล้วสั่ง
“เจ้าไปชนบทผิงเจียแล้วสืบเรื่องไป๋เล่อชิงมาให้ข้า สืบด้วยว่าผู้ใดที่ส่งข่าวเกี่ยวกับข้าไปที่บ้านเดิม จนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนกระทั่งผิดมหันต์เช่นนั้น”
“ขอรับกุนซือ”
นักรบเงาทั้งสองค้อมศีรษะรับคำก่อนหายวับไป
เจาจวิ้นได้แต่มองตามอย่างบื้อใบ้ “อ่ะ อ้าว”
แล้วเรื่องของข้าเล่า?
นักรบเงาที่ถูกส่งไปสืบข่าวเรื่องไป๋เล่อชิง ไม่นานก็กลับมารายงานต่ออู๋หมิงฟังอย่างละเอียด และครบถ้วนทุกประเด็นที่เขาสงสัย
ประเด็กแรกคนที่ปากพล่อยปล่อยข่าวลือผิดๆ ประเด็นที่สองเรื่องภรรยาฆ่าตัวตายอย่างผิดปกติ
ประกายกร้าวลึกล้ำยากคาดเดาเผยชัดในแววตา อู๋หมิงนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลต่อเยี่ยนอ๋อง
“กระหม่อมทูลขอพระองค์ตัดสินโดยไม่ยื่นมือช่วย ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องโยงใยในแผนการของพระองค์และผลพวงของความปากพล่อยนั้นก็ทำคนตายพ่ะย่ะค่ะ”
หลานชายฝั่งมารดาถูกลากตัวออกมาทั้งน้ำตา
อู๋หมิงแม้เห็นแก่ซือตั๋วญาติลูกพี่ลูกน้องผู้นี้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเอาไปพูดล้วนไม่สมควรแม้แต่น้อย
บนแท่นประทับกลางห้องโถงจื่ออัน
เยี่ยนอ๋องนั่งนิ่งทอดสายตามองลงมาอย่างเชื่องช้า ทั่วร่างของเขาแผ่ซ่านกลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์เหนือหมู่มวล รัศมีเรืองอำนาจปานนั้น
พระองค์โบกพระหัตถ์ตรัสว่า “ลากตัวนายกองซือไปตบปากร้อยครั้ง โบยห้าสิบไม้ ปลดจากตำแหน่งทหาร ริบเบี้ยหวัด ขับออกจากค่ายประจิม ไล่กลับบ้านไปซะ!”
ซือตั๋วสองตาเบิกโพลง “หา! ไม่นะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ๆ ท่านอ๋อง ได้โปรดเมตตา ญาติผู้น้องอู๋ ได้โปรดให้อภัยข้า”
สุ้มเสียงของเขาค่อยๆ ห่างไกลและหายไปในที่สุด เนื่องจากถูกองครักษ์ตัวใหญ่ลากตัวออกไปอย่างไม่ไยดี
เยี่ยนอ๋องหันมาปลอบโยนอู๋หมิง “เจ้าใจเย็นเถิด มาจิบชาเดินหมากเป็นเพื่อนข้าก่อน ค่อยๆ คิดค่อยๆแก้ ไม่แน่ว่าจะคลี่คลายเรื่องที่คลางแคลงได้ในเร็ววัน”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
หลังจากได้กุนซือดีฝีมือฉกาจมองการณ์ขาด ช่วยวางแผนลึกล้ำ การศึกจึงไม่ถลำจนพลาดพลั้งพ่ายแพ้ ไฟสงครามที่ปะทุเดือดจึงค่อยๆ คลี่คลาย
เมื่อชายแดนคืนสู่สงบสุขด้วยสันติ รอเพียงเจรจาเรื่องสัญญาการค้าเสรีผูกพันนับสิบปีสิ้นสุด ดังนั้นยามนี้จึงเรียกได้ว่าสงบศึกชั่วคราว เยี่ยนอ๋องถึงจะมีเวลาพักหายใจคลายเหนื่อยจากการรบที่ตึงเครียดได้ระยะหนึ่ง หากแต่ระหว่างนี้ภารกิจอื่นยังคงมีให้สะสางไม่ขาดสาย คนสนิทที่เก่งกาจจึงถูกมอบหมายงานตามความสามารถ
อู๋หมิงที่มีบุคลิกลวงตาจึงถูกสั่งให้ปลอมตัวแฝงไปในกลุ่มขุนนางเพื่อผูกมิตรแล้วล้วงความลับระดับแคว้น
หลิวหนิงที่มีใบหน้างดงามเกินบุรุษ มิหนำซ้ำยังมีรูปร่างผอมบางจึงหนีไม่พ้นต้องปลอมเป็นสตรีที่ติดตามข้างกายอู๋หมิงตลอดเวลา
และนี่คือผลพวงที่พวกเขาทำตัวแนบเนียนไร้ที่ติตามคำสั่ง
ไป๋เล่อชิงชะงักท้ายที่สุดก็พยักหน้า “อืม ข้าไม่มีทางลืมแน่นอน” นางเพียรย้ำ เตือนตัวเองซ้ำๆอีกว่า “หากข้าเจอเขาก็จะหนีให้ไกลด้วย ดีหรือไม่?” “ดีมาก”ระหว่างกินอาหารและชื่นชมทิวทัศน์ร้านรวงต่างๆจากหน้าต่างห้องชั้นสอง ไป๋เล่อชิงก็เหลือบไปเห็นโจวเจินกำลังคำนวณอันใดสักอย่างจนหัวคิ้วขมวดมุ่นไปหมด “อาโยว เจ้าทำสิ่งใดหรือ?”โจวเจินบอกโดยไม่เงยหน้า สายตายังคงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ข้ากำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ ของพวกเราสองคนและหาลู่ทางเพิ่มเงินในหีบ เงินของเจ้าเหมือนเยอะ แต่หากไม่หาเพิ่มคงไม่ดี”ไป๋เล่อชิงยิ้ม “อันที่จริงข้าคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ยังคิดว่าอยากทำการค้า เป็นเถ้าแก่เปิดกิจการสักอย่าง แต่แรกเริ่มคงต้องหางานทำเป็นลูกจ้างไปก่อน ข้าทำบัญชีและมีความรู้เรื่องกิจการร้านค้า วันนี้ระหว่างเดินเที่ยว ข้ามองหาร้านที่ติดประกาศรับคนงานทำบัญชีเอาไว้ โอกาสได้งานคงสูงอยู่ ทำงานเก็บเงินได้ค่อยหาเช่าร้าน พอทำการค้าได้กำไรก็ค่อยซื้อร้านต่อยอดขยายกิจการ ยามนี้ต้องทนลำบากสักหน่อย ภายหน้าย่อมดีแน่นอน”โจวเจินให้รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับเมืองโบราณอ
เดินทางครึ่งเดือนในที่สุดไป๋เล่อชิงกับโจวเจินก็ถึงที่หมายคือเมืองหลวงต้าอันที่นี่เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองชนบทผิงเจียยิ่งนัก ผู้คนที่เดินขวักไขว่พลุกพล่านล้วนแต่งกายงดงามดูดี แม้แต่ขอทานคนเร่ร่อนยังมีการปะชุนเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าชาวเมืองหลวงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์เป็นอย่างมาก เรียกว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความมั่งคั่งอย่างแท้จริงโจวเจินก้มมองชุดขาดวิ่นของตนนิ่งๆ ชุดมีสภาพนี้เพราะร่างเก่าต่อสู้แย่งชิงคัมภีร์มารสุดยอดเคล็ดวิชากับจอมยุทธ์คนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งต่างฝ่ายตายไปทั้งคู่ คัมภีร์นั้นก็หายไปทางใดก็สุดรู้ นางที่จู่ๆ ก็เข้าสิงร่างจึงต้องทนกับเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งยับเยินนี้มาเนิ่นนาน เป็นเพราะเมืองต่างๆที่ผ่านทางไม่มีร้านผ้าที่ถูกใจ ตัวเลือกน้อยไม่ดึงดูด แต่ที่เมืองหลวงแห่งนี้กลับแตกต่าง ทุกย่างก้าวล้วนมีแต่สินค้าหลากหลายให้เลือกหา คิดแล้วก็หันไปทางไป๋เล่อชิงที่เดินชมเมืองอยู่ข้างๆ “ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียหน่อย ยืมเงินเจ้าก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะหางานทำชดใช้ให้”ไป๋เล่อชิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อาโยวเป็นผู้มีคุณ ไม่ต้องทำงานชดใช้ ต้องการเงินเท่าไรขอเพียงบอกมา อั
เห็นเจาจวิ้นพูดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดเช่นนั้น อู๋หมิงให้รู้สึกปวดหัว “เจ้าทำตัวเช่นนี้ ลืมแล้วกระมังว่าตัวเองเป็นบุรุษ”“ปลอมเป็นสตรีทุกวัน ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วปะไร” เจาจวิ้นยืดตัวนั่งตรง หรี่ตาจ้องอู๋หมิง “ว่าแต่ท่านเถอะ นอนไม่หลับเพราะเรื่องภรรยาอีกแล้วหรือ?”อู๋หมิงถอนหายใจ ตอบรับเสียงทุ้มต่ำในลำคอ เงียบงันครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “เป็นสามีย่อมต้องใส่ใจภรรยา”“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีความรู้สึกต่อนางขนาดนี้ มิใช่ว่าท่านถูกนางใช้แผนการจนได้แต่งงานหรอกหรือ?”อู๋หมิงเลิกคิ้ว “เจ้ารู้?”เจาจวิ้นยกหัวแม่มือชี้ตัวเอง ทำท่าคุยโวโอ้อวดว่า “ข้าเป็นใคร สายลับระดับแคว้นเชียวนะ แค่เรื่องของคู่หู สืบง่ายนิดเดียว”มิรู้ว่าเอาท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้มาจากไหน อู๋หมิงได้แต่ส่ายหน้าระอา ได้ยินเจาจวิ้นเอ่ยเย้าอีกว่า “ท่านมีความคะนึงหานางขนาดนี้ ข้าเริ่มสงสัยเสียแล้ว ไม่แน่ว่าท่านน่ะจงใจทำตัวซื่อบื้อหลอกล่อให้นางตายใจ แล้วคืนเกิดเหตุก็เป็นท่านที่สมยอมถูกมอมเหล้า ถูกไหม”ประหนึ่งมีหูตาสวรรค์ คำพูดเหล่านี้ทำอู๋หมิงถึงกับชะงักงัน “อาหนิง เจ้ารู้เท่าทันเกินไปกระมัง?”“ฮ่าๆ ข้าเดาถูก เก่งกาจใช่หรือไม่?”อู๋หมิงส
ท่ามกลางกลุ่มควันจากถ้วยชาร้อนกรุ่นสองถ้วยระหว่างกระดานหมากยากเอาชนะเยี่ยนอ๋องถามอู๋หมิงอย่างห่วงใย “ไม่เคยเห็นเจ้าโกรธขนาดนี้ นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”ปกติอู๋หมิงสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทุกเรื่องราว พอถึงคราวที่พระองค์ถามเอาความคิดเห็นก็ตอบอย่างละเอียดรอบคอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน เรียกได้ว่าเสนอข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลอย่างรอบด้านแบบไร้ที่ติ เพราะไม่มีอารมณ์ร่วมอันใดแม้แต่น้อย ในขณะที่ตัวพระองค์มักเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง โมโหฉุนเฉียวทุกครั้งยามเกิดปัญหาให้ขบคิด“ได้เห็นเสียที ยามเจ้ามีอารมณ์โกรธขึ้นมานับว่าเด็ดขาดทีเดียว”อู๋หมิงมิได้ปฏิเสธ ทว่าความเงียบของเขาย่อมเป็นการตอบรับตามวิสัยเยี่ยนอ๋องชอบนิสัยเย่อหยิ่งพูดน้อยของอู๋หมิง พระองค์ทั้งเอือมระอาและคร้านจะฟังคนจำพวกปากมากปากรั่วดุจตะแกรง วันๆเอาแต่พูดจาประจบสอพลอ หาความจริงไม่เจอบุรุษเที่ยงตรงสงบเยือกเย็นเฉกอู๋หมิง ไม่ว่าใครล้วนถูกใจให้คบหาเสมออ๋องหนุ่มถามต่อ “เจ้าคิดว่าภรรยายังไม่ตาย?”ครานี้อู๋หมิงไม่คิดปิดบัง “พ่ะย่ะค่ะ”“ไฉนถึงคิดเช่นนั้น?”“หลังจากในนักรบเงาลอบสืบอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่ามีโจรเข้ามาขโมยของมีค
อู๋หมิงลุกขึ้นทันที เข้าไปขอพบเยี่ยนอ๋องอย่างไว หลังจากได้นักรบเงาฝีมือฉกาจมาสองคน เขาก็พากลับเข้าเรือนส่วนตัวแล้วสั่ง “เจ้าไปชนบทผิงเจียแล้วสืบเรื่องไป๋เล่อชิงมาให้ข้า สืบด้วยว่าผู้ใดที่ส่งข่าวเกี่ยวกับข้าไปที่บ้านเดิม จนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนกระทั่งผิดมหันต์เช่นนั้น”“ขอรับกุนซือ” นักรบเงาทั้งสองค้อมศีรษะรับคำก่อนหายวับไป เจาจวิ้นได้แต่มองตามอย่างบื้อใบ้ “อ่ะ อ้าว” แล้วเรื่องของข้าเล่า?นักรบเงาที่ถูกส่งไปสืบข่าวเรื่องไป๋เล่อชิง ไม่นานก็กลับมารายงานต่ออู๋หมิงฟังอย่างละเอียด และครบถ้วนทุกประเด็นที่เขาสงสัยประเด็กแรกคนที่ปากพล่อยปล่อยข่าวลือผิดๆ ประเด็นที่สองเรื่องภรรยาฆ่าตัวตายอย่างผิดปกติประกายกร้าวลึกล้ำยากคาดเดาเผยชัดในแววตา อู๋หมิงนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลต่อเยี่ยนอ๋อง “กระหม่อมทูลขอพระองค์ตัดสินโดยไม่ยื่นมือช่วย ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องโยงใยในแผนการของพระองค์และผลพวงของความปากพล่อยนั้นก็ทำคนตายพ่ะย่ะค่ะ”หลานชายฝั่งมารดาถูกลากตัวออกมาทั้งน้ำตาอู๋หมิงแม้เห็นแก่ซือตั๋วญาติลูกพี่ลูกน้องผู้นี้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเอาไปพูดล้วนไม่สมควรแม้แต่น้อยบนแท่นประท
ตัวอักษรในจดหมายฉบับที่สองจากสหายนี้ล้วนแต่เป็นการต่อว่าเรื่องที่เขามีสตรีอื่นข้างกาย เพียงพบพานบุปผาตระการก็ลืมเลือนบุปผางามในวันวาน และตามด้วยคำตำหนิยาวเหยียดทั้งมักมากในกาม ไร้หัวใจ ไม่มีศีลธรรมจรรยา ทอดทิ้งภรรยา ปล่อยให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ ระทมจนต้องหนีหาย ใช้วิธีฆ่าตัวตายไปอย่างเดียวดายโศกตรม ด่าว่าเขาไร้มโนธรรม ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี และอีกหลายประโยคไม่มีประโยคไหนไม่ด่าทออย่างรุนแรงเพียงแต่ไม่มีคำว่าชายชู้แล้วอู๋หมิงจึงทำจิตใจให้สงบลง กลั้นลมหายใจค่อยๆ กวาดสายตาไล่อ่านเนื้อหาในจดหมายทั้งสองอย่างละเอียดรอบคอบอีกรอบไม่นานก็จับใจความสำคัญได้แค่สองประเด็นใหญ่ คือเขามีสตรีคนใหม่ และไป๋เล่อชิงตาย หาร่างไม่เจอทรวงอกกระเพื่อม ชายหนุ่มขบกรามกำหมัดแน่น จดหมายย้อนแย้งสองฉบับถูกขยำโยนลงกระถางไฟ ไม่นานก็ถูกเพลิงเผามอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่านอู๋หมิงหรี่ตา หมายความว่านางหายตัวไปหรือ?จังหวะนั้น สตรีชุดสีชมพูพลันวิ่งตึงๆ เข้าประตูมา โวยวายต่อหน้าเขาว่า “อู๋หมิง ช่วยด้วย ข้าถูกตามฆ่า ท่านดู! ข้าเกือบตาย!” นิ้วเรียวยาวชี้มาที่เนินอกอวบอิ่มที่ถูกมีดดาบปาดจนเนื้อผ้าขาดรุ่งรุ่ง พลางพร่ำบ่นยาวเหยียด