ตัวอักษรในจดหมายฉบับที่สองจากสหายนี้
ล้วนแต่เป็นการต่อว่าเรื่องที่เขามีสตรีอื่นข้างกาย เพียงพบพานบุปผาตระการก็ลืมเลือนบุปผางามในวันวาน และตามด้วยคำตำหนิยาวเหยียด
ทั้งมักมากในกาม ไร้หัวใจ ไม่มีศีลธรรมจรรยา ทอดทิ้งภรรยา
ปล่อยให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ ระทมจนต้องหนีหาย ใช้วิธีฆ่าตัวตายไปอย่างเดียวดายโศกตรม ด่าว่าเขาไร้มโนธรรม ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี และอีกหลายประโยคไม่มีประโยคไหนไม่ด่าทออย่างรุนแรง
เพียงแต่ไม่มีคำว่าชายชู้แล้ว
อู๋หมิงจึงทำจิตใจให้สงบลง กลั้นลมหายใจค่อยๆ กวาดสายตาไล่อ่านเนื้อหาในจดหมายทั้งสองอย่างละเอียดรอบคอบอีกรอบ
ไม่นานก็จับใจความสำคัญได้แค่สองประเด็นใหญ่ คือเขามีสตรีคนใหม่ และไป๋เล่อชิงตาย หาร่างไม่เจอ
ทรวงอกกระเพื่อม ชายหนุ่มขบกรามกำหมัดแน่น จดหมายย้อนแย้งสองฉบับถูกขยำโยนลงกระถางไฟ ไม่นานก็ถูกเพลิงเผามอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่าน
อู๋หมิงหรี่ตา หมายความว่านางหายตัวไปหรือ?
จังหวะนั้น สตรีชุดสีชมพูพลันวิ่งตึงๆ เข้าประตูมา โวยวายต่อหน้าเขาว่า “อู๋หมิง ช่วยด้วย ข้าถูกตามฆ่า ท่านดู! ข้าเกือบตาย!”
นิ้วเรียวยาวชี้มาที่เนินอกอวบอิ่มที่ถูกมีดดาบปาดจนเนื้อผ้าขาดรุ่งรุ่ง พลางพร่ำบ่นยาวเหยียด “นับว่าโชคดีที่วันนี้หน้าอกโต หาไม่คมดาบคงฟาดเข้าเนื้อเลือดทะลัก เฮ้ย! หน้าอกที่แนบเนียนขนาดนี้ทำยากด้วยนะ”
อู๋หมิงปรายตามอง‘หน้าอกปลอม’ของคนตรงหน้า มิเอ่ยวาจา เพราะในใจคิดถึงเพียงเรื่องของไป๋เล่อชิง
เห็นคนฟังนั่งนิ่งเป็นเสาหิน คนพูดก็ชะโงกหน้า โบกมือไปมา “เฮ้! นี่! ข้าพูดกับท่านอยู่นะ สนใจกันหน่อย ตอนนี้ข้าเป็นคู่หูสายลับระดับพระกาฬของท่านนะ”
อู๋หมิงยังคงไม่สนใจสตรี ‘ปลอม’ ตรงหน้าสักนิด เพียงครุ่นคิดเรื่องไป๋เล่อชิงให้จริงจังกว่าเดิม
สตรีชุดชมพูไม่รู้ความคะนึงของอู๋หมิง พอบ่นเสร็จก็เดินไปถอดชุดสีชมพูขาดวิ่นบนร่างของตนเหวี่ยงออก ล้างหน้า ปลดปิ่น ปล่อยมวยผม เหลือเพียงกางเกงกับท่อนบนที่เปล่าเปลือยเผยแผงอกที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย คืนร่างเป็นบุรุษตัวบางผอมเพรียว
หลิวหนิงหรืออีกนามคือเจาจวิ้นเร่งสำรวจใบหน้าและหน้าอกของตัวเอง พบว่าไร้รอยมีดกรีดลึก
ค่อยยังชั่ว นับว่าอกปลอมช่วยได้มาก หากมีบาดแผลฉกรรจ์จนเสียโฉมคงแย่ สถานที่โบราณเช่นนี้ไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยและยารักษารอยแผลเป็นที่ได้ผลชะงัด ยิ่งไม่มีการศัลยกรรมตกแต่งอีกด้วย
เมื่อมองจนทั่วแล้วพบว่ามีแค่รอยขีดข่วนไม่สาหัสก็เดินมาหยุดยืนมองอู๋หมิง อกผายไหล่ผึง สองมือกอดอก ปากก็พร่ำบ่นอีกว่า “ยัง ยังไม่ช่วยหาทางส่งคนไปสืบหาตัวคนร้ายให้ข้าอีก”
และแล้วคำพูดนี้ก็ได้ผล เมื่อคนฟังเริ่มมีปฏิกิริยา
อู๋หมิงเบิกตานึกขึ้นได้ “เยี่ยนอ๋องมีนักรบเงา ข้าสามารถไปขอคนได้”
“ก็ใช่น่ะสิ ท่านเป็นถึงกุนซือคนโปรดของเยี่ยนอ๋อง ย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องมากกว่าข้าที่เป็นแค่คนติดตามท่าน ไปเลย ไปขอนักรบเงาจากท่านอ๋อง แล้วไปสืบหาตัวคนร้ายที่มันต้องการฆ่าข้าเดี๋ยวนี้”
ไป๋เล่อชิงชะงักท้ายที่สุดก็พยักหน้า “อืม ข้าไม่มีทางลืมแน่นอน” นางเพียรย้ำ เตือนตัวเองซ้ำๆอีกว่า “หากข้าเจอเขาก็จะหนีให้ไกลด้วย ดีหรือไม่?” “ดีมาก”ระหว่างกินอาหารและชื่นชมทิวทัศน์ร้านรวงต่างๆจากหน้าต่างห้องชั้นสอง ไป๋เล่อชิงก็เหลือบไปเห็นโจวเจินกำลังคำนวณอันใดสักอย่างจนหัวคิ้วขมวดมุ่นไปหมด “อาโยว เจ้าทำสิ่งใดหรือ?”โจวเจินบอกโดยไม่เงยหน้า สายตายังคงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ข้ากำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ ของพวกเราสองคนและหาลู่ทางเพิ่มเงินในหีบ เงินของเจ้าเหมือนเยอะ แต่หากไม่หาเพิ่มคงไม่ดี”ไป๋เล่อชิงยิ้ม “อันที่จริงข้าคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ยังคิดว่าอยากทำการค้า เป็นเถ้าแก่เปิดกิจการสักอย่าง แต่แรกเริ่มคงต้องหางานทำเป็นลูกจ้างไปก่อน ข้าทำบัญชีและมีความรู้เรื่องกิจการร้านค้า วันนี้ระหว่างเดินเที่ยว ข้ามองหาร้านที่ติดประกาศรับคนงานทำบัญชีเอาไว้ โอกาสได้งานคงสูงอยู่ ทำงานเก็บเงินได้ค่อยหาเช่าร้าน พอทำการค้าได้กำไรก็ค่อยซื้อร้านต่อยอดขยายกิจการ ยามนี้ต้องทนลำบากสักหน่อย ภายหน้าย่อมดีแน่นอน”โจวเจินให้รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับเมืองโบราณอ
เดินทางครึ่งเดือนในที่สุดไป๋เล่อชิงกับโจวเจินก็ถึงที่หมายคือเมืองหลวงต้าอันที่นี่เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองชนบทผิงเจียยิ่งนัก ผู้คนที่เดินขวักไขว่พลุกพล่านล้วนแต่งกายงดงามดูดี แม้แต่ขอทานคนเร่ร่อนยังมีการปะชุนเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าชาวเมืองหลวงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์เป็นอย่างมาก เรียกว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความมั่งคั่งอย่างแท้จริงโจวเจินก้มมองชุดขาดวิ่นของตนนิ่งๆ ชุดมีสภาพนี้เพราะร่างเก่าต่อสู้แย่งชิงคัมภีร์มารสุดยอดเคล็ดวิชากับจอมยุทธ์คนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งต่างฝ่ายตายไปทั้งคู่ คัมภีร์นั้นก็หายไปทางใดก็สุดรู้ นางที่จู่ๆ ก็เข้าสิงร่างจึงต้องทนกับเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งยับเยินนี้มาเนิ่นนาน เป็นเพราะเมืองต่างๆที่ผ่านทางไม่มีร้านผ้าที่ถูกใจ ตัวเลือกน้อยไม่ดึงดูด แต่ที่เมืองหลวงแห่งนี้กลับแตกต่าง ทุกย่างก้าวล้วนมีแต่สินค้าหลากหลายให้เลือกหา คิดแล้วก็หันไปทางไป๋เล่อชิงที่เดินชมเมืองอยู่ข้างๆ “ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียหน่อย ยืมเงินเจ้าก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะหางานทำชดใช้ให้”ไป๋เล่อชิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อาโยวเป็นผู้มีคุณ ไม่ต้องทำงานชดใช้ ต้องการเงินเท่าไรขอเพียงบอกมา อั
เห็นเจาจวิ้นพูดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดเช่นนั้น อู๋หมิงให้รู้สึกปวดหัว “เจ้าทำตัวเช่นนี้ ลืมแล้วกระมังว่าตัวเองเป็นบุรุษ”“ปลอมเป็นสตรีทุกวัน ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วปะไร” เจาจวิ้นยืดตัวนั่งตรง หรี่ตาจ้องอู๋หมิง “ว่าแต่ท่านเถอะ นอนไม่หลับเพราะเรื่องภรรยาอีกแล้วหรือ?”อู๋หมิงถอนหายใจ ตอบรับเสียงทุ้มต่ำในลำคอ เงียบงันครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “เป็นสามีย่อมต้องใส่ใจภรรยา”“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีความรู้สึกต่อนางขนาดนี้ มิใช่ว่าท่านถูกนางใช้แผนการจนได้แต่งงานหรอกหรือ?”อู๋หมิงเลิกคิ้ว “เจ้ารู้?”เจาจวิ้นยกหัวแม่มือชี้ตัวเอง ทำท่าคุยโวโอ้อวดว่า “ข้าเป็นใคร สายลับระดับแคว้นเชียวนะ แค่เรื่องของคู่หู สืบง่ายนิดเดียว”มิรู้ว่าเอาท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้มาจากไหน อู๋หมิงได้แต่ส่ายหน้าระอา ได้ยินเจาจวิ้นเอ่ยเย้าอีกว่า “ท่านมีความคะนึงหานางขนาดนี้ ข้าเริ่มสงสัยเสียแล้ว ไม่แน่ว่าท่านน่ะจงใจทำตัวซื่อบื้อหลอกล่อให้นางตายใจ แล้วคืนเกิดเหตุก็เป็นท่านที่สมยอมถูกมอมเหล้า ถูกไหม”ประหนึ่งมีหูตาสวรรค์ คำพูดเหล่านี้ทำอู๋หมิงถึงกับชะงักงัน “อาหนิง เจ้ารู้เท่าทันเกินไปกระมัง?”“ฮ่าๆ ข้าเดาถูก เก่งกาจใช่หรือไม่?”อู๋หมิงส
ท่ามกลางกลุ่มควันจากถ้วยชาร้อนกรุ่นสองถ้วยระหว่างกระดานหมากยากเอาชนะเยี่ยนอ๋องถามอู๋หมิงอย่างห่วงใย “ไม่เคยเห็นเจ้าโกรธขนาดนี้ นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”ปกติอู๋หมิงสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทุกเรื่องราว พอถึงคราวที่พระองค์ถามเอาความคิดเห็นก็ตอบอย่างละเอียดรอบคอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน เรียกได้ว่าเสนอข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลอย่างรอบด้านแบบไร้ที่ติ เพราะไม่มีอารมณ์ร่วมอันใดแม้แต่น้อย ในขณะที่ตัวพระองค์มักเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง โมโหฉุนเฉียวทุกครั้งยามเกิดปัญหาให้ขบคิด“ได้เห็นเสียที ยามเจ้ามีอารมณ์โกรธขึ้นมานับว่าเด็ดขาดทีเดียว”อู๋หมิงมิได้ปฏิเสธ ทว่าความเงียบของเขาย่อมเป็นการตอบรับตามวิสัยเยี่ยนอ๋องชอบนิสัยเย่อหยิ่งพูดน้อยของอู๋หมิง พระองค์ทั้งเอือมระอาและคร้านจะฟังคนจำพวกปากมากปากรั่วดุจตะแกรง วันๆเอาแต่พูดจาประจบสอพลอ หาความจริงไม่เจอบุรุษเที่ยงตรงสงบเยือกเย็นเฉกอู๋หมิง ไม่ว่าใครล้วนถูกใจให้คบหาเสมออ๋องหนุ่มถามต่อ “เจ้าคิดว่าภรรยายังไม่ตาย?”ครานี้อู๋หมิงไม่คิดปิดบัง “พ่ะย่ะค่ะ”“ไฉนถึงคิดเช่นนั้น?”“หลังจากในนักรบเงาลอบสืบอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่ามีโจรเข้ามาขโมยของมีค
อู๋หมิงลุกขึ้นทันที เข้าไปขอพบเยี่ยนอ๋องอย่างไว หลังจากได้นักรบเงาฝีมือฉกาจมาสองคน เขาก็พากลับเข้าเรือนส่วนตัวแล้วสั่ง “เจ้าไปชนบทผิงเจียแล้วสืบเรื่องไป๋เล่อชิงมาให้ข้า สืบด้วยว่าผู้ใดที่ส่งข่าวเกี่ยวกับข้าไปที่บ้านเดิม จนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนกระทั่งผิดมหันต์เช่นนั้น”“ขอรับกุนซือ” นักรบเงาทั้งสองค้อมศีรษะรับคำก่อนหายวับไป เจาจวิ้นได้แต่มองตามอย่างบื้อใบ้ “อ่ะ อ้าว” แล้วเรื่องของข้าเล่า?นักรบเงาที่ถูกส่งไปสืบข่าวเรื่องไป๋เล่อชิง ไม่นานก็กลับมารายงานต่ออู๋หมิงฟังอย่างละเอียด และครบถ้วนทุกประเด็นที่เขาสงสัยประเด็กแรกคนที่ปากพล่อยปล่อยข่าวลือผิดๆ ประเด็นที่สองเรื่องภรรยาฆ่าตัวตายอย่างผิดปกติประกายกร้าวลึกล้ำยากคาดเดาเผยชัดในแววตา อู๋หมิงนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลต่อเยี่ยนอ๋อง “กระหม่อมทูลขอพระองค์ตัดสินโดยไม่ยื่นมือช่วย ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องโยงใยในแผนการของพระองค์และผลพวงของความปากพล่อยนั้นก็ทำคนตายพ่ะย่ะค่ะ”หลานชายฝั่งมารดาถูกลากตัวออกมาทั้งน้ำตาอู๋หมิงแม้เห็นแก่ซือตั๋วญาติลูกพี่ลูกน้องผู้นี้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเอาไปพูดล้วนไม่สมควรแม้แต่น้อยบนแท่นประท
ตัวอักษรในจดหมายฉบับที่สองจากสหายนี้ล้วนแต่เป็นการต่อว่าเรื่องที่เขามีสตรีอื่นข้างกาย เพียงพบพานบุปผาตระการก็ลืมเลือนบุปผางามในวันวาน และตามด้วยคำตำหนิยาวเหยียดทั้งมักมากในกาม ไร้หัวใจ ไม่มีศีลธรรมจรรยา ทอดทิ้งภรรยา ปล่อยให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ ระทมจนต้องหนีหาย ใช้วิธีฆ่าตัวตายไปอย่างเดียวดายโศกตรม ด่าว่าเขาไร้มโนธรรม ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี และอีกหลายประโยคไม่มีประโยคไหนไม่ด่าทออย่างรุนแรงเพียงแต่ไม่มีคำว่าชายชู้แล้วอู๋หมิงจึงทำจิตใจให้สงบลง กลั้นลมหายใจค่อยๆ กวาดสายตาไล่อ่านเนื้อหาในจดหมายทั้งสองอย่างละเอียดรอบคอบอีกรอบไม่นานก็จับใจความสำคัญได้แค่สองประเด็นใหญ่ คือเขามีสตรีคนใหม่ และไป๋เล่อชิงตาย หาร่างไม่เจอทรวงอกกระเพื่อม ชายหนุ่มขบกรามกำหมัดแน่น จดหมายย้อนแย้งสองฉบับถูกขยำโยนลงกระถางไฟ ไม่นานก็ถูกเพลิงเผามอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่านอู๋หมิงหรี่ตา หมายความว่านางหายตัวไปหรือ?จังหวะนั้น สตรีชุดสีชมพูพลันวิ่งตึงๆ เข้าประตูมา โวยวายต่อหน้าเขาว่า “อู๋หมิง ช่วยด้วย ข้าถูกตามฆ่า ท่านดู! ข้าเกือบตาย!” นิ้วเรียวยาวชี้มาที่เนินอกอวบอิ่มที่ถูกมีดดาบปาดจนเนื้อผ้าขาดรุ่งรุ่ง พลางพร่ำบ่นยาวเหยียด