โรงเตี๊ยมฝูไหลชั้นสอง ห้องอาหารติดกัน
เสียงของสองสตรีที่ดังเล็ดลอดเข้ามา หากมิได้แอบฟังคงไม่ได้ยินจับใจความไม่ได้
มิหนำซ้ำคงไม่สนใจบทสนทนาที่เลื่อนเปื้อนนั่น ทว่าเจาจวิ้นที่บังเอิญได้ยินล้วนจับใจความได้จนปรุโปร่งกระทั่งต้องแอบฟังอย่างตั้งใจที่สุดในใต้หล้าอยู่ตอนนี้ และหัวใจก็เต้นแรงเสียจนแทบทะลุออกมานอกอกรอมร่อ
เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่องว่า “ชิงชิง เจ้ารู้เช่นนี้แล้ว ระแวงข้าหรือไม่? ไม่อยากเข้าใกล้หรือเปล่า? แบบเห็นข้าเป็นหญิงบ้าหรือเป็นผีร้ายอะไรเทือกนั้น”
“อาโยว ข้ารู้แค่ว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า”
“แน่นะ”
“อื้ม”
โจวเจิน! อาโยว! ต่างมิติ วิญญาณสิงร่าง
เจาจวิ้นเบิกตากว้าง เม้มปากจนกรามสั่น
ในที่สุดก็หาเจอเสียที!
เจาจวิ้นเหลือกตายามแนบหูแอบฟังจนใบหน้าที่แต่งแต้มเติมชาดบิดเบี้ยวเสียรูปทรงและทำท่าเจาะกระดาษบนฉากกั้นห้องข้างๆ อย่างวู่วาม
อู๋หมิงที่นั่งอยู่ด้วยกันเห็นเช่นนั้นก็เลิกคิ้วถาม
“อาหนิง เจ้าจะทำบ้าอะไร? อย่าเสียมารยาท”
ดวงตาเจาจวิ้นยังคงเบิกกว้าง ชี้นิ้วฉากกั้นห้องพลางกระซิบอย่างตื่นเต้นที่สุด “สตรีห้องข้างๆ ห้องนี้ๆ”
อู๋หมิงเสียงขรึม “คืออะไร? พูดดีๆ”
เจาจวิ้นสูดลมหายใจ “เป็นภรรยาที่ข้าตามหา”
อู๋หมิงขมวดคิ้ว “จริงหรือ? เจ้าแน่ใจ?”
คนถูกถามพยักหน้าหนักแน่น “ช่วยข้าเจาะรูเร็ว ข้าอยากเห็นนาง”
อู๋หมิงสีหน้าราบเรียบขณะเอื้อมมือคลำฉากกั้นเพื่อหาจุดที่สามารถเจาะได้ ไม่นานก็เจอ การทำเช่นนี้ต้องหามุมหาจุดที่แนบเนียนที่สุด เจาจวิ้นทำไม่เป็น จำต้องอาศัยทักษะอันชำนาญนี้ของอู๋หมิง
ประเดี๋ยวผู้ถูกแอบฟังรู้ตัวจะแย่
เมื่ออู๋หมิงทำเสร็จก็ไม่ใส่ใจเจาจวิ้นอีก เพียงหันไปนั่งจิบชาต่ออย่างสงบเยือกเย็นสีหน้าไร้ความรู้สึก ปล่อยอีกคนแอบสอดส่ายสายตาเหลือกลานมองอย่างตื่นเต้นเพียงลำพัง
ถึงอย่างไรก็ภรรยาผู้อื่น หากสตรีที่เจอคือไป๋เล่อชิง เขาคงไม่ใช่แค่แอบดูแน่นอน แต่จะพังฉากกั้นเข้าไปเลย!
เรื่องใดที่ควรบอกก็จะอธิบายให้สิ้นสงสัยในทันที หวังเพียงนางรอฟังอย่างตั้งใจไม่หนีหายไปไหน
ฝ่ายเจาจวิ้น เพราะชาติที่จากมา เขามีชนักติดหลัง จึงไม่กล้าทำตัวเถรตรงปานนั้น เนื่องจากผู้หญิงที่เขาเคยเข้าไปพัวพันเพราะภารกิจลับคนนั้น มีเสน่ห์เย้ายวนมาก เขาก็เลยเผลอนอกกายอย่างเกินห้ามใจ นั่นเองจึงทำให้อาโยวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อธิบายอะไรล้วนเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น ยามนี้จึงไม่มีความกล้าเหมือนอู๋หมิงแม้สักนิด เรื่องที่คิดจะเข้าไปแสดงตัวโจ่งแจ้งนั้น ตัดออกไปได้เลย
ชายหนุ่มแอบมองสตรีห้องข้างๆ อย่างระมัดระวัง เพียรจดจำว่าร่างใดกันแน่คืออาโยวของเขา
คนที่สะดุดตาคือสตรีที่แต่งชุดสีชมพูสดใสทั้งตัว ต่างหูสีชมพู รองเท้าสีชมพู กำไลลูกปัดยังเป็นสีชมพู
นี่ไง ใช่เลย ชอบสีชมพูไม่เปลี่ยน
เจาจวิ้นถึงขั้นหลุดยิ้ม
โรงเตี๊ยมฝูไหลชั้นสอง ห้องอาหารติดกันเสียงของสองสตรีที่ดังเล็ดลอดเข้ามา หากมิได้แอบฟังคงไม่ได้ยินจับใจความไม่ได้ มิหนำซ้ำคงไม่สนใจบทสนทนาที่เลื่อนเปื้อนนั่น ทว่าเจาจวิ้นที่บังเอิญได้ยินล้วนจับใจความได้จนปรุโปร่งกระทั่งต้องแอบฟังอย่างตั้งใจที่สุดในใต้หล้าอยู่ตอนนี้ และหัวใจก็เต้นแรงเสียจนแทบทะลุออกมานอกอกรอมร่อเสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่องว่า “ชิงชิง เจ้ารู้เช่นนี้แล้ว ระแวงข้าหรือไม่? ไม่อยากเข้าใกล้หรือเปล่า? แบบเห็นข้าเป็นหญิงบ้าหรือเป็นผีร้ายอะไรเทือกนั้น”“อาโยว ข้ารู้แค่ว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า”“แน่นะ”“อื้ม”โจวเจิน! อาโยว! ต่างมิติ วิญญาณสิงร่าง เจาจวิ้นเบิกตากว้าง เม้มปากจนกรามสั่นในที่สุดก็หาเจอเสียที!เจาจวิ้นเหลือกตายามแนบหูแอบฟังจนใบหน้าที่แต่งแต้มเติมชาดบิดเบี้ยวเสียรูปทรงและทำท่าเจาะกระดาษบนฉากกั้นห้องข้างๆ อย่างวู่วาม อู๋หมิงที่นั่งอยู่ด้วยกันเห็นเช่นนั้นก็เลิกคิ้วถาม“อาหนิง เจ้าจะทำบ้าอะไร? อย่าเสียมารยาท”ดวงตาเจาจวิ้นยังคงเบิกกว้าง ชี้นิ้วฉากกั้นห้องพลางกระซิบอย่างตื่นเต้นที่สุด “สตรีห้องข้างๆ ห้องนี้ๆ”อู๋หมิงเสียงขรึม “คืออะไร? พูดดีๆ”เจาจวิ้นสูดลมหายใจ “
ไป๋เล่อชิงชะงักท้ายที่สุดก็พยักหน้า “อืม ข้าไม่มีทางลืมแน่นอน” นางเพียรย้ำ เตือนตัวเองซ้ำๆอีกว่า “หากข้าเจอเขาก็จะหนีให้ไกลด้วย ดีหรือไม่?” “ดีมาก”ระหว่างกินอาหารและชื่นชมทิวทัศน์ร้านรวงต่างๆจากหน้าต่างห้องชั้นสอง ไป๋เล่อชิงก็เหลือบไปเห็นโจวเจินกำลังคำนวณอันใดสักอย่างจนหัวคิ้วขมวดมุ่นไปหมด “อาโยว เจ้าทำสิ่งใดหรือ?”โจวเจินบอกโดยไม่เงยหน้า สายตายังคงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ข้ากำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ ของพวกเราสองคนและหาลู่ทางเพิ่มเงินในหีบ เงินของเจ้าเหมือนเยอะ แต่หากไม่หาเพิ่มคงไม่ดี”ไป๋เล่อชิงยิ้ม “อันที่จริงข้าคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ยังคิดว่าอยากทำการค้า เป็นเถ้าแก่เปิดกิจการสักอย่าง แต่แรกเริ่มคงต้องหางานทำเป็นลูกจ้างไปก่อน ข้าทำบัญชีและมีความรู้เรื่องกิจการร้านค้า วันนี้ระหว่างเดินเที่ยว ข้ามองหาร้านที่ติดประกาศรับคนงานทำบัญชีเอาไว้ โอกาสได้งานคงสูงอยู่ ทำงานเก็บเงินได้ค่อยหาเช่าร้าน พอทำการค้าได้กำไรก็ค่อยซื้อร้านต่อยอดขยายกิจการ ยามนี้ต้องทนลำบากสักหน่อย ภายหน้าย่อมดีแน่นอน”โจวเจินให้รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับเมืองโบราณอ
เดินทางครึ่งเดือนในที่สุดไป๋เล่อชิงกับโจวเจินก็ถึงที่หมายคือเมืองหลวงต้าอันที่นี่เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองชนบทผิงเจียยิ่งนัก ผู้คนที่เดินขวักไขว่พลุกพล่านล้วนแต่งกายงดงามดูดี แม้แต่ขอทานคนเร่ร่อนยังมีการปะชุนเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าชาวเมืองหลวงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์เป็นอย่างมาก เรียกว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความมั่งคั่งอย่างแท้จริงโจวเจินก้มมองชุดขาดวิ่นของตนนิ่งๆ ชุดมีสภาพนี้เพราะร่างเก่าต่อสู้แย่งชิงคัมภีร์มารสุดยอดเคล็ดวิชากับจอมยุทธ์คนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งต่างฝ่ายตายไปทั้งคู่ คัมภีร์นั้นก็หายไปทางใดก็สุดรู้ นางที่จู่ๆ ก็เข้าสิงร่างจึงต้องทนกับเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งยับเยินนี้มาเนิ่นนาน เป็นเพราะเมืองต่างๆที่ผ่านทางไม่มีร้านผ้าที่ถูกใจ ตัวเลือกน้อยไม่ดึงดูด แต่ที่เมืองหลวงแห่งนี้กลับแตกต่าง ทุกย่างก้าวล้วนมีแต่สินค้าหลากหลายให้เลือกหา คิดแล้วก็หันไปทางไป๋เล่อชิงที่เดินชมเมืองอยู่ข้างๆ “ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียหน่อย ยืมเงินเจ้าก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะหางานทำชดใช้ให้”ไป๋เล่อชิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อาโยวเป็นผู้มีคุณ ไม่ต้องทำงานชดใช้ ต้องการเงินเท่าไรขอเพียงบอกมา อั
เห็นเจาจวิ้นพูดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดเช่นนั้น อู๋หมิงให้รู้สึกปวดหัว “เจ้าทำตัวเช่นนี้ ลืมแล้วกระมังว่าตัวเองเป็นบุรุษ”“ปลอมเป็นสตรีทุกวัน ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วปะไร” เจาจวิ้นยืดตัวนั่งตรง หรี่ตาจ้องอู๋หมิง “ว่าแต่ท่านเถอะ นอนไม่หลับเพราะเรื่องภรรยาอีกแล้วหรือ?”อู๋หมิงถอนหายใจ ตอบรับเสียงทุ้มต่ำในลำคอ เงียบงันครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “เป็นสามีย่อมต้องใส่ใจภรรยา”“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีความรู้สึกต่อนางขนาดนี้ มิใช่ว่าท่านถูกนางใช้แผนการจนได้แต่งงานหรอกหรือ?”อู๋หมิงเลิกคิ้ว “เจ้ารู้?”เจาจวิ้นยกหัวแม่มือชี้ตัวเอง ทำท่าคุยโวโอ้อวดว่า “ข้าเป็นใคร สายลับระดับแคว้นเชียวนะ แค่เรื่องของคู่หู สืบง่ายนิดเดียว”มิรู้ว่าเอาท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้มาจากไหน อู๋หมิงได้แต่ส่ายหน้าระอา ได้ยินเจาจวิ้นเอ่ยเย้าอีกว่า “ท่านมีความคะนึงหานางขนาดนี้ ข้าเริ่มสงสัยเสียแล้ว ไม่แน่ว่าท่านน่ะจงใจทำตัวซื่อบื้อหลอกล่อให้นางตายใจ แล้วคืนเกิดเหตุก็เป็นท่านที่สมยอมถูกมอมเหล้า ถูกไหม”ประหนึ่งมีหูตาสวรรค์ คำพูดเหล่านี้ทำอู๋หมิงถึงกับชะงักงัน “อาหนิง เจ้ารู้เท่าทันเกินไปกระมัง?”“ฮ่าๆ ข้าเดาถูก เก่งกาจใช่หรือไม่?”อู๋หมิงส
ท่ามกลางกลุ่มควันจากถ้วยชาร้อนกรุ่นสองถ้วยระหว่างกระดานหมากยากเอาชนะเยี่ยนอ๋องถามอู๋หมิงอย่างห่วงใย “ไม่เคยเห็นเจ้าโกรธขนาดนี้ นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”ปกติอู๋หมิงสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวทุกเรื่องราว พอถึงคราวที่พระองค์ถามเอาความคิดเห็นก็ตอบอย่างละเอียดรอบคอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน เรียกได้ว่าเสนอข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลอย่างรอบด้านแบบไร้ที่ติ เพราะไม่มีอารมณ์ร่วมอันใดแม้แต่น้อย ในขณะที่ตัวพระองค์มักเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง โมโหฉุนเฉียวทุกครั้งยามเกิดปัญหาให้ขบคิด“ได้เห็นเสียที ยามเจ้ามีอารมณ์โกรธขึ้นมานับว่าเด็ดขาดทีเดียว”อู๋หมิงมิได้ปฏิเสธ ทว่าความเงียบของเขาย่อมเป็นการตอบรับตามวิสัยเยี่ยนอ๋องชอบนิสัยเย่อหยิ่งพูดน้อยของอู๋หมิง พระองค์ทั้งเอือมระอาและคร้านจะฟังคนจำพวกปากมากปากรั่วดุจตะแกรง วันๆเอาแต่พูดจาประจบสอพลอ หาความจริงไม่เจอบุรุษเที่ยงตรงสงบเยือกเย็นเฉกอู๋หมิง ไม่ว่าใครล้วนถูกใจให้คบหาเสมออ๋องหนุ่มถามต่อ “เจ้าคิดว่าภรรยายังไม่ตาย?”ครานี้อู๋หมิงไม่คิดปิดบัง “พ่ะย่ะค่ะ”“ไฉนถึงคิดเช่นนั้น?”“หลังจากในนักรบเงาลอบสืบอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่ามีโจรเข้ามาขโมยของมีค
อู๋หมิงลุกขึ้นทันที เข้าไปขอพบเยี่ยนอ๋องอย่างไว หลังจากได้นักรบเงาฝีมือฉกาจมาสองคน เขาก็พากลับเข้าเรือนส่วนตัวแล้วสั่ง “เจ้าไปชนบทผิงเจียแล้วสืบเรื่องไป๋เล่อชิงมาให้ข้า สืบด้วยว่าผู้ใดที่ส่งข่าวเกี่ยวกับข้าไปที่บ้านเดิม จนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนกระทั่งผิดมหันต์เช่นนั้น”“ขอรับกุนซือ” นักรบเงาทั้งสองค้อมศีรษะรับคำก่อนหายวับไป เจาจวิ้นได้แต่มองตามอย่างบื้อใบ้ “อ่ะ อ้าว” แล้วเรื่องของข้าเล่า?นักรบเงาที่ถูกส่งไปสืบข่าวเรื่องไป๋เล่อชิง ไม่นานก็กลับมารายงานต่ออู๋หมิงฟังอย่างละเอียด และครบถ้วนทุกประเด็นที่เขาสงสัยประเด็กแรกคนที่ปากพล่อยปล่อยข่าวลือผิดๆ ประเด็นที่สองเรื่องภรรยาฆ่าตัวตายอย่างผิดปกติประกายกร้าวลึกล้ำยากคาดเดาเผยชัดในแววตา อู๋หมิงนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลต่อเยี่ยนอ๋อง “กระหม่อมทูลขอพระองค์ตัดสินโดยไม่ยื่นมือช่วย ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องโยงใยในแผนการของพระองค์และผลพวงของความปากพล่อยนั้นก็ทำคนตายพ่ะย่ะค่ะ”หลานชายฝั่งมารดาถูกลากตัวออกมาทั้งน้ำตาอู๋หมิงแม้เห็นแก่ซือตั๋วญาติลูกพี่ลูกน้องผู้นี้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเอาไปพูดล้วนไม่สมควรแม้แต่น้อยบนแท่นประท