หลังจากนั้น
เจาจวิ้นก็มาหาและขลุกอยู่กับโจวเจินแทบทุกวัน อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เรียกได้ว่ามีมิตรภาพที่แนบเนื้อแน่นแฟ้นกลมเกลียวมากขึ้นตามลำดับ
“วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเมืองหลวงฝั่งตะวันตก ที่นั่นมีสระมรกตสีครามงดงามมาก ข้าจองเรือเอาไว้แล้ว ไปล่องเรือกัน”
เจาจวิ้นยังคงแต่งกายด้วยชุดของสตรีสีชมพูสดใส เขาเอ่ยปากชวนโจวเจินอย่างใส่ใจ “เจ้าชอบหรือไม่?”
“ดีๆ ข้าชอบ ข้าไป”
เจาจวิ้นหันมาชวนไป๋เล่อชิงอีกคน “ชิงชิงน้อย ไปด้วยกันเร็วเข้า”
อันที่จริง ไป๋เล่อชิงอยากไปให้ทั่ว ถือโอกาสสำรวจเมืองหลวงทั้งสี่ทิศ หากแต่ไม่รู้สิ่งใดสะกิดใจให้รู้สึกตงิดๆ ว่าหากไปคงไม่แคล้วเสียมารยาททำลายบรรยากาศคู่รักเป็นแน่แท้
นางจึงส่ายหน้า “พวกท่านตามสบายเถิด ข้าอยากอยู่เรือนปลูกผักเจ้าค่ะ”
และก็เป็นเช่นนี้ทุกครา เจาจวิ้นมาที่เรือนเมื่อใด ก็มักจะชอบอยู่กับโจวเจิน พวกเขาทำตัวติดกันตลอดเวลา ไปเที่ยวด้วยกันเสมอ
ที่สำคัญ ทุกครั้งที่กลับมาโจวเจินรู้สึกดีกับเจาจวิ้นมากขึ้นทุกวัน
ไป๋เล่อชิงเองก็รู้สึกดีและถูกชะตากับพี่หนิงเช่นกัน กระนั้นด้วยบรรยากาศแสนดีที่ยากเข้าใจระหว่างพวกเขา นางก็ยิ่งทำตัวเป็นกุลสตรีมีมารยาท พูดน้อย อ่อนช้อย สำรวมและทำเสมือนเป็นอากาศธาตุไปโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายโจวเจิน เมื่อไปท่องเที่ยวกับเจาจวิ้นจนหนำใจแล้วกลับเข้าเรือนและอยู่กับไป๋เล่อชิงตามลำพังยามค่ำ นางก็พร่ำเพ้อไม่หยุดว่า
“ชิงชิง ข้าคิดว่าตัวเองชอบพี่หญิงหนิงเข้าแล้วล่ะ”
ไป๋เล่อชิงกำลังตัดแต่งกิ่งดอกไม้และไล่แมลงอยู่ นางหันมาพยักหน้ายิ้มว่า “อืม ข้าก็ชอบพี่หญิงหนิงนะ”
“ไม่ใช่ๆ ข้าหมายถึงชอบแบบ เอ่อ ชู้สาวน่ะ”
ไป๋เล่อชิงพลันชะงันตาโต กรรไกรหลุดมือดังเคร้ง กำลังจะโต้แย้งว่าไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ก็ได้ยินโจวเจินว่าอีก
“หยุดๆ ห้ามบ่น”
“...”
เมื่อไป๋เล่อชิงนิ่ง โจวเจินพลันถอนหายใจว่า “เฮ้อ! ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้กับพี่หนิง เดิมทีข้าชอบผู้ชายนะ ชอบมาก แต่อาจเป็นเพราะร่างนี้ก็เป็นได้ เจ้าของร่างคงจะมีจิตใจเหนือสตรีซ่อนอยู่ แล้วพอเป็นข้า อืม...จะพูดว่าอย่างไรดี คือเมื่อเกิดแล้วก็ต้องทำตามความรู้สึกตัวเองอย่างจริงใจ ไม่หลอกตัวเอง แบบนี้แหละ”
เห็นไป๋เล่อชิงกะพริบตาอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก โจวเจินจึงหัวเราะคิกๆ ก่อนพูดขยายความต่อเนื่องอีกว่า “เจ้าไม่รู้อะไร โลกที่ข้าจากมาน่ะ มีความรักที่เปิดกว้าง มีหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นก็คือการที่ผู้หญิงสองคนรักกัน”
พูดพลางเอานิ้วชี้ประกบกัน ทำสัญลักษณ์แห่งรัก
แล้วนางก็สรุปได้ว่า “ในเมื่อข้าเป็นคนจากที่นั่น ย่อมต้องเอามาใช้ที่นี่ได้ ไม่ผิดๆ”
ไป๋เล่อชิงได้แต่บื้อใบ้ พูดสิ่งใดไม่ออกเนิ่นนาน
ตลอดเวลาที่ได้อยู่กับโจวเจินนั้น ตัวนางยามนี้เรียกได้ว่าจำต้องท่องใต้หล้าที่รู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยอย่างแท้จริง ทุกวันมีเรื่องแปลกประหลาดที่นางไม่รู้อีกมากมายโดยแท้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ชวนตระหนกแต่ก็ตื่นเต้นเกินคนทั่วไปประเมินได้
“เจ้าชอบผู้หญิงด้วยกัน ...เหลือเชื่อเกินไปจริงๆ” ไป๋เล่อชิงพึมพำอย่างเข้าใจแม้ไม่อยากเข้าใจ
“เรื่องนี้ต้องโทษผู้ชายที่เจ้าชู้หลายใจทำให้ผู้หญิงหมดศรัทธาปะไร หึ! ชอบผู้ชายที่ไรต้องช้ำใจทุกทีนี่นา พอชอบผู้หญิง ข้าจึงรู้ตัวและรู้ใจตนเองได้ง่าย เป็นไง ข้ากล้าหาญมากเลยใช่หรือไม่?”
ไป๋เล่อชิงถาม “แล้วสถานที่ที่เจ้าจากมา เรื่องเช่นนี้เป็นที่ยอมรับหรือไม่?”
“อือ” โจวเจินพยักหน้ายิ้ม “ยอมรับสิ”
ไป๋เล่อชิงร้อง “โอ้” ที่นั่นยอมรับแล้วที่นี่จะยอมหรือ ไป๋เล่อชิงอดห่วงมิได้จึงถามตามตรง “แล้วพี่หนิงเล่า? นางชอบเจ้าแบบนั้นหรือไม่? สองดวงใจตรงกันหรือเปล่า”
โจวเจินยังคงพยักหน้า ตอบอย่างมั่นใจ
“พี่หนิงชอบข้าอยู่แล้ว เจ้าเองก็คิดแบบเดียวกับข้ามิใช่หรือ เมื่อวานยังบอกว่าพี่หนิงเอ็นดูข้าเป็นพิเศษ บรรยากาศระหว่างพวกข้าเหมือนคู่รัก"
“อืม ก็ใช่”
ไป๋เล่อชิงเสียงค่อย ให้รู้สึกผิดยิ่งนัก ไม่น่าพูดเลย
วาจาของนางคงเป็นชนวนต้นเหตุเป็นแน่แท้ เช่นนี้โจวเจินอาจกำลังคิดไปเอง และคงเป็นรักข้างเดียวกระมัง
เฮ้อ...
ชั่วครู่เท่านั้น เจาจวิ้นในชุดสีชมพูดอกบัวบานแต่งหน้าสะสวยเฉกปกติก็เดินแกมวิ่งมาอย่างเร่งรีบจนผิดปกติวิสัย“อาโยว ข้ากำลังจะไปหาพอดี เหตุใดจู่ๆ มาพบข้าถึงที่นี่เล่า? เกิดเรื่องที่เรือนหรือ?” ดูเถิด พี่สาวหลิวหนิงเป็นห่วงเป็นใยผู้คนถึงเพียงนี้ โจวเจินให้รู้สึกประทับใจเหลือเกิน สตรีเช่นนี้จะแย่งชิงสามีคนอื่นได้ยังไง?ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดเป็นแน่แท้!แต่เวลานี้โจวเจินจะมัวปลาบปลื้มหรือซึ้งใจไม่ได้ เพราะพี่หลิวหนิงน่าห่วงใยยิ่งกว่าใคร“พี่หญิงอย่ากังวล ไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้นกับข้า แต่ว่า กำลังเกิดขึ้นกับพี่หญิงเองต่างหาก”“หา!” เจาจวิ้นกรีดนิ้วชี้หน้าตัวเองอย่างไม่ลืมจริต แม้จะงุนงงอย่างหนัก“ข้าหรือ? กำลังมีเรื่อง?” เขาสบายดีนะ สบายมาก ช่วงนี้ไม่มีใครมาลอบฆ่า งานการก็ราบรื่นดีเยี่ยมโจวเจินกวักมือ “ใช่! มาๆ นั่งลงก่อน ข้ามีความจริงที่เลวร้ายมากๆจะบอกกับพี่หญิง”“อะไรหรือ?” เจาจวิ้นเบิกตาตั้งใจฟังยิ่งโจวเจินจับมือเจาจวิ้นมากุม รู้สึกกลุ้มใจแทนจริงๆ “คือ... พี่หญิงตั้งใจฟังดีๆนะ”“อืม” พยักหน้าอย่างตื่นเต้นโจวเจินกลั้นใจ “พี่หนิง ข้ารู้แล้วว่าพี่มีสามี”เจาจวิ้นร้อง “อ้อ” นึกว่าเร
ผู้หญิงของสามีเจ้าถูกไหม”“ใช่” ไป๋เล่อชิงพยักหน้า แต่โจวเจินส่ายหน้าระรัว “ไม่ใช่นะ พี่หนิงของข้านิสัยดีจะตาย นางไม่มีทางเป็นหญิงแพศยาเช่นนั้น” นิ่วหน้าชั่งใจนิ่งคิดครู่หนึ่งก็ฟันธงหนักแน่นอีกว่า “ใช่ นางต้องไม่ใช่คนผิด ความจริงคนที่ผิดต้องเป็นผู้ชายสิ สามีเจ้านั่นแหละผิดเต็มๆ ไม่ใช่พี่หนิงแน่ๆ” เรื่องแนวนี้ในสมการของโจวเจินผู้ชายผิดเสมอ“ข้าจะไปช่วยพี่หนิงออกจากผู้ชายใจร้าย” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันใด ใจร้อนวู่วามอย่างมากไป๋เล่อชิงมีหรือจะวิ่งตามทันนางพูดก็ไม่ทัน ห้ามยิ่งไม่ทัน ทำได้เพียงนิ่งสงบ แต่ในใจกลับสับสนว้าวุ่น คิดสิ่งใดไม่ออกทั้งนั้นฝ่ายโจวเจินเดิมทีนางไม่เคยมาเยือนถึงจวนใหญ่อันเป็นสถานที่ทำงานของพี่หญิงหลิวหนิง แต่วันนี้อดไม่ได้จริงๆ เมื่อมาถึงก็เห็นทหารยามหน้าโหดตรงประตูสองคน “พี่ชายรูปงาม ข้าขอพบคนผู้หนึ่งได้หรือไม่?”ทหารยามหน้าดำผิวคล้ำทั้งสองหันมองหน้ากัน ต่างส่งสายตาว่า ‘ พี่ชายรูปงาม’ หมายถึงข้าแน่ๆไม่ใช่เจ้า เถียงกันในใจอยู่แวบเดียว ทหารคนทางซ้ายไวกว่า รีบเดินขึ้นหน้าถามนางว่า “เจ้าเป็นใคร ชื่อแซ่อะไร จงบอกมาให้ครบ หาไม่
หลังจากวันนั้น “ชิงชิง ข้าอกหักช้ำรักยิ่งนัก รู้สึกอยากตาย...” โจวเจินพร่ำบ่นโวยวายโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าคนฟังอยากตายยิ่งกว่าไป๋เล่อชิงนิ่งฟังโจวเจินด้วยท่าทีนิ่งขรึมมิเอ่ยวาจา เป็นเช่นนี้ตั้งแต่กลับมาจากโรงเตี๊ยมไหลฟู่เมื่อวันก่อนแล้ว“เฮ้อ...” ไป๋เล่อชิงถอนหายใจคำโต นั่งคอตกห่อเหี่ยวมากในที่สุดโจวเจินก็เริ่มรับรู้แล้วว่าสหายผิดปกติ เพราะทั้งเรือนมีเพียงเสียงของนางคนเดียวที่พูดไม่หยุด ส่วนไป๋เล่อชิงก็ถอนหายใจอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำ“ชิงชิง เจ้าเป็นอะไรไป?” โจวเจินลืมเรื่องตัวเอง “มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าตอนที่ข้ากำลังหมกมุ่นเรื่องพี่หนิงรึ”ไป๋เล่อชิงเงียบงันครู่ใหญ่ ครุ่นคิดหนักอกอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่? ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เงียบปากต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้โจวเจินก็ยิ่งสงสัย และมากกว่าความสงสัยก็คือความรู้สึกผิด “เอาล่ะชิงชิง ข้าผิดเองที่หมกมุ่นเรื่องตัวเองมากไป เจ้ารีบบอกมาเถอะ เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน? ไปเจอเรื่องที่ยากลำบากมาหรือเปล่า? ให้ข้าช่วยเถิด”โจวเจินเป็นคนที่ดีมาก ดีจริงๆ ไป๋เล่อชิงให้รู้สึกซึ้งใจอย่างยิ่งเนิ่นนานให้หลัง ไป๋เล่อชิงจ
“พวกท่านสามีภรรยาทะนุถนอมกันปานนี้เชียว” องค์ชายหกเอ่ยปากหยอกเย้า “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”“พวกเขารักกันมาก มิอาจห่างกันแม้ครึ่งก้าว” ประโยคนี้เป็นเว่ยซินหยูที่กล่าวเสริมอย่างหมั่นไส้ ประชดประชันเต็มที่ พามาด้วยทำไมหนักหนา ข้าหาโอกาสอยู่กับคุณชายอู๋แบบสองต่อสองไม่ได้เสียที น่ารำคาญชะมัด หึ!สายตาชิงชังปานลูกไฟเช่นนั้น เจาจวิ้นย่อมเข้าใจ เจ้านั่นแหละจะตามพ่อมาด้วยทำไมหนักหนา ลำบากข้าต้องตามมาเป็นก้างขวางคอประไร ฮึ!เจาจวิ้นกับเว่ยซินหยูลอบจ้องตากันอย่างร้อนแรงองค์หญิงผิงหยวนที่ยามนี้เป็นเว่ยอู่เลิกคิ้วมองนางเองที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์โปรยเสน่ห์ใส่บุรุษที่พี่ชายหมายตาพาเข้าเป็นพรรคพวกชิงอำนาจหนุนหลัง จึงช่วยเว่ยซินหยูจ้องตาภรรยาของอู๋หมิงอีกแรง สองต่อหนึ่งเลยทีเดียว!วันนี้เจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยยิ่งปวดตามากด้วยนอกจากสายตาเว่ยซินหยูกับองค์หญิงผิงหยวน ทางห้องอาหารอีกฝั่งที่อยู่ติดกันก็มีสายตาอีกคู่จ้องมองเจาจวิ้นอยู่สายตาคู่นั้นร้อนแรงมากเช่นกันนับว่าเป็นเหตุบังเอิญอย่างยิ่งยวดที่วันนี้โจวเจินกับไป๋เล่อชิงเองก็มานั่งกินอาหารที่นี่ มิหนำซ้ำยังได้นั่งห้องเดิมอีกด้วย แต่เพิ่
ในห้องอาหารที่มีบรรยากาศสนทนาเพื่อผูกมิตร อู๋หมิงกำลังสนทนากับเว่ยซุนและองค์ชายหกที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นเว่ยหลงชายหนุ่มพูดคุยกับเว่ยซุนและองค์ชายหกผิงหลงอย่างระมัดระวังวาจา รักษาท่าทีตลอดเวลา ทว่ากลับมิได้เว้นระยะห่างเหินแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังแสดงออกให้เห็นว่าซ่อนความละโมบหลอกง่ายเอาไว้ได้ไม่มิด แค่เผยเพียงความประจบประแจงออกมาเล็กน้อยอู๋หมิงประสานหมัดคารวะ “คุณชายเว่ย ข้าอู๋หมิง ยินดีที่ได้พบหน้าขอรับ” “ข้าเว่ยหลงยินดีที่ได้รู้จักคุณชายอู๋เช่นกัน” ผู้พูดประสานหมัดคำนับตอบอย่างมีมารยาทภายนอกขององค์ชายหกเป็นสุภาพชนอ่อนโยน หากแต่แท้จริงกลับมีนิสัยเหิมเกริมเหี้ยมโหดและเลือดเย็น ภายใต้รอยยิ้มแสนสุภาพเต็มไปด้วยจิตใจทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง และแน่นอนว่าไม่เคยเผยออกมาให้ใครยลได้ง่ายๆเขายิ้มละมุนและมีท่าทีถ่อมตนขณะเอ่ยกับอู๋หมิง“เว่ยหลงผู้นี้นับได้ว่ามีวาสนายิ่งนัก พอได้พบหน้า ถึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณชายอู๋เป็นที่ไว้วางพระทัยท่านอ๋อง”“คุณชายเว่ยกล่าวหนักไปแล้วขอรับ”“อ้อ ข้ามีของขวัญพบหน้า” องค์ชายหกกล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้อู๋หมิง เมื่อเปิดออกจึงเห็นตำลึงทองวางเรียงอย่างงามอร่ามนับสิบก้อนเว
โรงเตี๋ยมไหลฟู่วันนี้ยังคงคึกคักนอกจากลูกค้าทั่วไปที่เข้ามาเพื่อพักและกินอาหาร ยังมีผู้สูงศักดิ์นัดหมายมาร่ำสำราญอู๋หมิงก็เช่นกัน วันนี้เขามีนัดหมายกับเว่ยซุนและแน่นอนว่ายังคงมีฮูหยินเว่ยกับคุณหนูเว่ยติดตามมาด้วย เพื่อหาทางเปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นเรือ[1] เจาจวิ้นจึงต้องลำบากปลอมตัวเป็นภรรยาคนงามอันเป็นที่รักของอู๋หมิงและคอยตามติดข้างกายเหมือนเดิมเพียงแต่ ครั้งนี้อู๋หมิงที่มีสติตลอดเวลากลับกลายเป็นคนสติเลื่อนลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังเดินไปทางตรอกที่ตั้งเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้น ลำบากเจาจวิ้นต้องไปตามกลับมา กว่าจะลากตัวอู๋หมิงให้เลี้ยวออกจากเรือนของเขาเพื่อเข้ามาโรงเตี๊ยมไหลฟู่ได้นั้นยากมากเจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งคนที่นัดหมายกันวันนี้ นอกจากอู๋หมิง เจาจวิ้น และคนสกุลเว่ยเหมือนเคย กลับมีเพิ่มมาอีกสองคน เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้านามว่าเว่ยหลงและหญิงสาวอายุราวสิบหกปีนามว่าเว่ยอู่อู๋หมิงลอบพิจารณาคนแปลกหน้าสองคนนี้เงียบๆ หากเขามิได้ไปพบท่านอ๋องก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทราบว่า เว่ยหลง แท้จริงคือองค์ชายหก ผิงหลง ส่วนเว่ยอู่ แท้จริงคือองค์หญิงห้าผิงหยวนต่างหากทั้งสองปลอมตัวเ