เรือนเยี่ยเฟิง ที่พักส่วนตัวของอู๋หมิง ตั้งอยู่ภายในจวนเยี่ยนอ๋อง
บ่าวชายเคาะประตู “คุณชายอู๋ มีคนขอพบขอรับ”
อู๋หมิงที่กำลังนั่งจิบชาสั่งเสียงนิ่งๆ “เข้ามา”
นักรบเงาเข้ามารายงานว่า “สายของเราส่งข่าวมาแล้วขอรับ”
“ว่า?”
“พบคนในภาพเหมือนแล้วขอรับ”
คนฟังเงยหน้าวางถ้วยชาลงทันที “ที่ใด?”
“ร้านเครื่องเขียนโม่จือ ตรอกฟาไฉ”
อู๋หมิงมีหรือจะช้า “ไปกัน”
ขณะเดินทางมายังตรอกฟาไฉ อู๋หมิงยังไม่ลืมสอบถามเพิ่มเติม
“พบนางเมื่อไร? มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนาง”
“เมื่อหลายวันก่อนขอรับ ข่าวว่านางมากับสหายเข้าไปในร้านโม่จือยามเซิน[1]เพื่อของานทำ แต่กลับหนีออกมาตอนค่ำยามซวี[2]”
“หนีหรือ?”
ตอนที่ถามก็ถึงหน้าร้านเครื่องเขียนโม่จือพอดี เห็นประตูร้านที่ปิดแต่ไม่สนิทดีเพราะมีร่องรอยพังเสียหายที่ยังซ่อมไม่เสร็จ อู๋หมิงส่งสายตาให้ผู้ติดตาม
“พังประตูเข้าไป”
โครม! ประตูที่พังอยู่แล้วยิ่งพังไปกันใหญ่ คาดว่าคงซ่อมยากกว่าเดิมถึงเจ็ดเท่า
ท่ามกลางบ่าวรับใช้ที่ตกใจจนแตกตื่นลนลาน อู๋หมิงเดินเข้ามายืนตระหง่านดุจพญามาร กวาดตามองทั่วเรือนด้วยสายตาเย็นชา หากไป๋เล่อชิงถึงขั้นหนีออกไป ย่อมมีเรื่องไม่ดีแน่ ยังต้องไว้หน้าใครหรือไร?
ชายหนุ่มเดินย่างสามขุมเข้าไป ใครก็ไม่กล้าขวาง
ครั้นเลี้ยวเข้ามาที่สวนกลางลานหน้าเรือนก็พบกับบุรุษหนุ่มกำลังหยอกเย้าสาวใช้อ่อนเยาว์อย่างหยาบโลน โดยที่สาวใช้มิได้ยินยอม เพราะนางปัดป้องอย่างกริ่งเกรง
คนผู้นี้แต่งกายสีขาวสะอาดสะอ้าน หากไม่ได้มาเห็นกิริยายามนี้ด้วยตัวเองคงไม่เชื่อ เพราะหากมองผิวเผิน เกินครึ่งย่อมต้องมองว่าเขาเป็นสุภาพชน
“เขามีชื่อว่าซ่งโม่เป็นเจ้าของร้านเครื่องเขียนโม่จือและเจ้าของเรือนหลังนี้ขอรับ” นักรบเงารายงาน
อู๋หมิงเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อซ่งโม่ให้หันมา
เดิมทีซ่งโม่ที่กำลังลวนลามสาวใช้กำลังนั่งหันหลังแต่เมื่อถูกรั้งสาบเสื้อหลังคอก็หันมาเห็น เขาพลันชะงัก ละล่ำละลักชี้นิ้วตะเบ็งถามบ่าวรับใช้ “พวกเจ้า คนพวกนี้เป็นใคร เข้ามาได้อย่างไร?”
บ่าวรับใช้ที่ยืนหลบตามสุมพุ่มไม้ต่างส่ายหน้าไม่รู้โดยพร้อมเพรียง
เมื่อไม่ได้คำตอบซ่งโม่ก็หันมาตะคอก “พวกเจ้าเป็นอันธพาลมาจากไหน เหิมเกริมบุกรุกเรือนผู้อื่นแบบนี้ ข้าจะฟ้องทางการ”
อู๋หมิงยื่นเท้ายันไหล่ซ่งโม่ไว้ กิริยาอันธพาลโดยแท้ เขาสะบัดภาพเหมือนขึ้นเบื้องหน้า ถามเสียงเย็นชาว่า “สตรีผู้นี้ มาที่นี่ใช่หรือไม่?”
ทันทีที่เห็น ซ่งโม่ก็จำได้ทันที
เป็นไป๋เล่อชิง นางอยู่เมืองหลวง นางมาที่นี่จริงๆ
ฝ่ายซ่งโม่ เพียงแค่นเสียงในใจ
หึ! ถูกอันธพาลตามหาตัวขนาดนี้? คงไปมีปัญหาไว้ที่อื่นเช่นกันสินะ ซ่งโม่คิดได้เช่นนั้นก็ฟ้องร้องทันที “ใช่! นางชื่อไป๋เล่อชิง มาของานบัญชีร้านข้าทำ แนะนำตัวเสร็จข้าก็ให้ทดลองทำบัญชี แต่ใครจะคิดว่านางมีนิสัยโหดร้ายปานนี้” ว่าพลางชี้แผลตัวเองที่ยังไม่หายดีตรงหน้าผาก “ดูนี่! นางตีหัวข้าจนแตกเลือดอาบ ทิ้งรอยแผลเป็นอัปลักษณ์ ทำข้าเสียโฉม หากเจอนางอีก ข้าจะตีให้ตาย คอยดู!”
เท่านั้นแหละ ฝ่าเท้าของอู๋หมิงพลันถีบซ่งโม่ดังอึก บุรุษหล่อเหลาชุดขาวพลันหงายหลังกระแทกพื้นดังโครม
ชั่วครู่เท่านั้น เจาจวิ้นในชุดสีชมพูดอกบัวบานแต่งหน้าสะสวยเฉกปกติก็เดินแกมวิ่งมาอย่างเร่งรีบจนผิดปกติวิสัย“อาโยว ข้ากำลังจะไปหาพอดี เหตุใดจู่ๆ มาพบข้าถึงที่นี่เล่า? เกิดเรื่องที่เรือนหรือ?” ดูเถิด พี่สาวหลิวหนิงเป็นห่วงเป็นใยผู้คนถึงเพียงนี้ โจวเจินให้รู้สึกประทับใจเหลือเกิน สตรีเช่นนี้จะแย่งชิงสามีคนอื่นได้ยังไง?ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดเป็นแน่แท้!แต่เวลานี้โจวเจินจะมัวปลาบปลื้มหรือซึ้งใจไม่ได้ เพราะพี่หลิวหนิงน่าห่วงใยยิ่งกว่าใคร“พี่หญิงอย่ากังวล ไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้นกับข้า แต่ว่า กำลังเกิดขึ้นกับพี่หญิงเองต่างหาก”“หา!” เจาจวิ้นกรีดนิ้วชี้หน้าตัวเองอย่างไม่ลืมจริต แม้จะงุนงงอย่างหนัก“ข้าหรือ? กำลังมีเรื่อง?” เขาสบายดีนะ สบายมาก ช่วงนี้ไม่มีใครมาลอบฆ่า งานการก็ราบรื่นดีเยี่ยมโจวเจินกวักมือ “ใช่! มาๆ นั่งลงก่อน ข้ามีความจริงที่เลวร้ายมากๆจะบอกกับพี่หญิง”“อะไรหรือ?” เจาจวิ้นเบิกตาตั้งใจฟังยิ่งโจวเจินจับมือเจาจวิ้นมากุม รู้สึกกลุ้มใจแทนจริงๆ “คือ... พี่หญิงตั้งใจฟังดีๆนะ”“อืม” พยักหน้าอย่างตื่นเต้นโจวเจินกลั้นใจ “พี่หนิง ข้ารู้แล้วว่าพี่มีสามี”เจาจวิ้นร้อง “อ้อ” นึกว่าเร
ผู้หญิงของสามีเจ้าถูกไหม”“ใช่” ไป๋เล่อชิงพยักหน้า แต่โจวเจินส่ายหน้าระรัว “ไม่ใช่นะ พี่หนิงของข้านิสัยดีจะตาย นางไม่มีทางเป็นหญิงแพศยาเช่นนั้น” นิ่วหน้าชั่งใจนิ่งคิดครู่หนึ่งก็ฟันธงหนักแน่นอีกว่า “ใช่ นางต้องไม่ใช่คนผิด ความจริงคนที่ผิดต้องเป็นผู้ชายสิ สามีเจ้านั่นแหละผิดเต็มๆ ไม่ใช่พี่หนิงแน่ๆ” เรื่องแนวนี้ในสมการของโจวเจินผู้ชายผิดเสมอ“ข้าจะไปช่วยพี่หนิงออกจากผู้ชายใจร้าย” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันใด ใจร้อนวู่วามอย่างมากไป๋เล่อชิงมีหรือจะวิ่งตามทันนางพูดก็ไม่ทัน ห้ามยิ่งไม่ทัน ทำได้เพียงนิ่งสงบ แต่ในใจกลับสับสนว้าวุ่น คิดสิ่งใดไม่ออกทั้งนั้นฝ่ายโจวเจินเดิมทีนางไม่เคยมาเยือนถึงจวนใหญ่อันเป็นสถานที่ทำงานของพี่หญิงหลิวหนิง แต่วันนี้อดไม่ได้จริงๆ เมื่อมาถึงก็เห็นทหารยามหน้าโหดตรงประตูสองคน “พี่ชายรูปงาม ข้าขอพบคนผู้หนึ่งได้หรือไม่?”ทหารยามหน้าดำผิวคล้ำทั้งสองหันมองหน้ากัน ต่างส่งสายตาว่า ‘ พี่ชายรูปงาม’ หมายถึงข้าแน่ๆไม่ใช่เจ้า เถียงกันในใจอยู่แวบเดียว ทหารคนทางซ้ายไวกว่า รีบเดินขึ้นหน้าถามนางว่า “เจ้าเป็นใคร ชื่อแซ่อะไร จงบอกมาให้ครบ หาไม่
หลังจากวันนั้น “ชิงชิง ข้าอกหักช้ำรักยิ่งนัก รู้สึกอยากตาย...” โจวเจินพร่ำบ่นโวยวายโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าคนฟังอยากตายยิ่งกว่าไป๋เล่อชิงนิ่งฟังโจวเจินด้วยท่าทีนิ่งขรึมมิเอ่ยวาจา เป็นเช่นนี้ตั้งแต่กลับมาจากโรงเตี๊ยมไหลฟู่เมื่อวันก่อนแล้ว“เฮ้อ...” ไป๋เล่อชิงถอนหายใจคำโต นั่งคอตกห่อเหี่ยวมากในที่สุดโจวเจินก็เริ่มรับรู้แล้วว่าสหายผิดปกติ เพราะทั้งเรือนมีเพียงเสียงของนางคนเดียวที่พูดไม่หยุด ส่วนไป๋เล่อชิงก็ถอนหายใจอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำ“ชิงชิง เจ้าเป็นอะไรไป?” โจวเจินลืมเรื่องตัวเอง “มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าตอนที่ข้ากำลังหมกมุ่นเรื่องพี่หนิงรึ”ไป๋เล่อชิงเงียบงันครู่ใหญ่ ครุ่นคิดหนักอกอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่? ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เงียบปากต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้โจวเจินก็ยิ่งสงสัย และมากกว่าความสงสัยก็คือความรู้สึกผิด “เอาล่ะชิงชิง ข้าผิดเองที่หมกมุ่นเรื่องตัวเองมากไป เจ้ารีบบอกมาเถอะ เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน? ไปเจอเรื่องที่ยากลำบากมาหรือเปล่า? ให้ข้าช่วยเถิด”โจวเจินเป็นคนที่ดีมาก ดีจริงๆ ไป๋เล่อชิงให้รู้สึกซึ้งใจอย่างยิ่งเนิ่นนานให้หลัง ไป๋เล่อชิงจ
“พวกท่านสามีภรรยาทะนุถนอมกันปานนี้เชียว” องค์ชายหกเอ่ยปากหยอกเย้า “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”“พวกเขารักกันมาก มิอาจห่างกันแม้ครึ่งก้าว” ประโยคนี้เป็นเว่ยซินหยูที่กล่าวเสริมอย่างหมั่นไส้ ประชดประชันเต็มที่ พามาด้วยทำไมหนักหนา ข้าหาโอกาสอยู่กับคุณชายอู๋แบบสองต่อสองไม่ได้เสียที น่ารำคาญชะมัด หึ!สายตาชิงชังปานลูกไฟเช่นนั้น เจาจวิ้นย่อมเข้าใจ เจ้านั่นแหละจะตามพ่อมาด้วยทำไมหนักหนา ลำบากข้าต้องตามมาเป็นก้างขวางคอประไร ฮึ!เจาจวิ้นกับเว่ยซินหยูลอบจ้องตากันอย่างร้อนแรงองค์หญิงผิงหยวนที่ยามนี้เป็นเว่ยอู่เลิกคิ้วมองนางเองที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์โปรยเสน่ห์ใส่บุรุษที่พี่ชายหมายตาพาเข้าเป็นพรรคพวกชิงอำนาจหนุนหลัง จึงช่วยเว่ยซินหยูจ้องตาภรรยาของอู๋หมิงอีกแรง สองต่อหนึ่งเลยทีเดียว!วันนี้เจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยยิ่งปวดตามากด้วยนอกจากสายตาเว่ยซินหยูกับองค์หญิงผิงหยวน ทางห้องอาหารอีกฝั่งที่อยู่ติดกันก็มีสายตาอีกคู่จ้องมองเจาจวิ้นอยู่สายตาคู่นั้นร้อนแรงมากเช่นกันนับว่าเป็นเหตุบังเอิญอย่างยิ่งยวดที่วันนี้โจวเจินกับไป๋เล่อชิงเองก็มานั่งกินอาหารที่นี่ มิหนำซ้ำยังได้นั่งห้องเดิมอีกด้วย แต่เพิ่
ในห้องอาหารที่มีบรรยากาศสนทนาเพื่อผูกมิตร อู๋หมิงกำลังสนทนากับเว่ยซุนและองค์ชายหกที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นเว่ยหลงชายหนุ่มพูดคุยกับเว่ยซุนและองค์ชายหกผิงหลงอย่างระมัดระวังวาจา รักษาท่าทีตลอดเวลา ทว่ากลับมิได้เว้นระยะห่างเหินแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังแสดงออกให้เห็นว่าซ่อนความละโมบหลอกง่ายเอาไว้ได้ไม่มิด แค่เผยเพียงความประจบประแจงออกมาเล็กน้อยอู๋หมิงประสานหมัดคารวะ “คุณชายเว่ย ข้าอู๋หมิง ยินดีที่ได้พบหน้าขอรับ” “ข้าเว่ยหลงยินดีที่ได้รู้จักคุณชายอู๋เช่นกัน” ผู้พูดประสานหมัดคำนับตอบอย่างมีมารยาทภายนอกขององค์ชายหกเป็นสุภาพชนอ่อนโยน หากแต่แท้จริงกลับมีนิสัยเหิมเกริมเหี้ยมโหดและเลือดเย็น ภายใต้รอยยิ้มแสนสุภาพเต็มไปด้วยจิตใจทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง และแน่นอนว่าไม่เคยเผยออกมาให้ใครยลได้ง่ายๆเขายิ้มละมุนและมีท่าทีถ่อมตนขณะเอ่ยกับอู๋หมิง“เว่ยหลงผู้นี้นับได้ว่ามีวาสนายิ่งนัก พอได้พบหน้า ถึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณชายอู๋เป็นที่ไว้วางพระทัยท่านอ๋อง”“คุณชายเว่ยกล่าวหนักไปแล้วขอรับ”“อ้อ ข้ามีของขวัญพบหน้า” องค์ชายหกกล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้อู๋หมิง เมื่อเปิดออกจึงเห็นตำลึงทองวางเรียงอย่างงามอร่ามนับสิบก้อนเว
โรงเตี๋ยมไหลฟู่วันนี้ยังคงคึกคักนอกจากลูกค้าทั่วไปที่เข้ามาเพื่อพักและกินอาหาร ยังมีผู้สูงศักดิ์นัดหมายมาร่ำสำราญอู๋หมิงก็เช่นกัน วันนี้เขามีนัดหมายกับเว่ยซุนและแน่นอนว่ายังคงมีฮูหยินเว่ยกับคุณหนูเว่ยติดตามมาด้วย เพื่อหาทางเปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นเรือ[1] เจาจวิ้นจึงต้องลำบากปลอมตัวเป็นภรรยาคนงามอันเป็นที่รักของอู๋หมิงและคอยตามติดข้างกายเหมือนเดิมเพียงแต่ ครั้งนี้อู๋หมิงที่มีสติตลอดเวลากลับกลายเป็นคนสติเลื่อนลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังเดินไปทางตรอกที่ตั้งเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้น ลำบากเจาจวิ้นต้องไปตามกลับมา กว่าจะลากตัวอู๋หมิงให้เลี้ยวออกจากเรือนของเขาเพื่อเข้ามาโรงเตี๊ยมไหลฟู่ได้นั้นยากมากเจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งคนที่นัดหมายกันวันนี้ นอกจากอู๋หมิง เจาจวิ้น และคนสกุลเว่ยเหมือนเคย กลับมีเพิ่มมาอีกสองคน เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้านามว่าเว่ยหลงและหญิงสาวอายุราวสิบหกปีนามว่าเว่ยอู่อู๋หมิงลอบพิจารณาคนแปลกหน้าสองคนนี้เงียบๆ หากเขามิได้ไปพบท่านอ๋องก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทราบว่า เว่ยหลง แท้จริงคือองค์ชายหก ผิงหลง ส่วนเว่ยอู่ แท้จริงคือองค์หญิงห้าผิงหยวนต่างหากทั้งสองปลอมตัวเ