ครั้นคิดถึงตรงนี้ ไป๋เล่อชิงก็พลันเห็นภาพวาบหวิวเป็นกล้ามหน้าท้องของอู๋หมิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
ความหวั่นไหวก่อเกิดในใจทันใด พาลให้แก้มนุ่มเกิดริ้วแดงซ่านมิอาจห้าม นางรีบดึงสติคืนมาก่อนว่าต่อ “ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย ระดูก็เพิ่งมาวันนี้”
ลู่หว่านจับมือไป๋เล่อชิงปลอบ “ชิงเอ๋อร์อย่ากังวล ข้าเองแต่งกับเฉิงอวี่ได้เกือบปีเลยเชียว กว่าจะตั้งครรภ์”
เฉิงเอินพลันรู้สึกผิด “ชิงชิง ข้าขอโทษที่ปากพล่อย ขอตบปากตัวเองนะ นี่แน่ะๆ” นางทำปากจู๋ยกมือตีแปะๆ
ไป๋เล่อชิงหัวเราะคิก “มาๆ ข้าตบให้”
“อ๊ะ ไม่ต้องๆ ข้าเกรงใจ”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่เอา”
สตรีทั้งสองวิ่งหนีรอบตัวลู่หว่าน
เด็กสาววัยสะพรั่งมักเป็นเช่นนี้เสมอเวลาเจอกัน วุ่นวายอย่างยิ่ง ลู่หว่านให้รู้สึกปลงยิ่งนัก
ชีวิตพวกเจ้าสงบสุขเกินไปกระมัง?
นางรีบปราม “พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้มันดูไม่งาม”
เฉิงเอินหยุดเล่นแต่ปากว่า “ไม่เป็นไรหรอกพี่สะใภ้ ชีวิตอย่าจริงจังเกินไป ทำตัวเป็นเด็กบ้างจะได้ปลดปล่อย”
“ใช่แล้ว” ไป๋เล่อชิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง มีเพียงอยู่กับสหายแสนดีอย่างเฉิงเอิน นางถึงได้เป็นตัวของตัวเอง
จังหวะนั้น เสียงทักทายของสตรีผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “น้องรอง”
สตรีทั้งสามหันมอง เห็นเป็นไป๋หลินที่แต่งตัวงดงามปักปิ่นล้ำค่า ประโคมเครื่องประดับชั้นเลิศบ่งบอกฐานะของสตรีจากตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งมีอันจะกินไม่สิ้นสุด ซึ่งตรงข้ามกับไป๋เล่อชิงอย่างยิ่ง ทั้งที่เป็นพี่น้องร่วมสกุล
อันที่จริง ไป๋หลินมักแต่งกายเช่นนี้เพื่อกดข่มน้องสาวทุกคนในจวนไป๋จนเป็นนิสัยนั่นแล
“พี่หญิงใหญ่” ไป๋เล่อชิงทักทายอย่างเสียมิได้
เฉิงเอินกับลู่หว่านจึงทักทายตามมารยาท
“พี่หญิงไป๋”
ไป๋หลินหันไปทักทายตอบสตรีสกุลเฉิงด้วยรอยยิ้มไม่ห่างเหินแต่ก็ไม่ชิดใกล้ตามมารยาทเช่นกัน
“นายหญิงน้อยเฉิน คุณหนูเฉิน”
ก่อนหันมาสนใจน้องสาวต่างมารดาของตนต่อ “เจ้าเองก็มาซื้อผ้าเหมือนกันหรือ?” ไป๋หลินถามพลางกวาดสายตามอง “มาคนเดียวหรือ ไฉนพี่ไม่เห็นน้องเขย”
น้ำเสียงที่ถามนั้นมิได้ห่วงใยแต่กลับแฝงไว้ด้วยแววเหยียดหยัน นางปรายสายตาพยักเพยิดไปทางรถม้า ซึ่งจอดไม่ห่างจากประตูทางเข้าร้านอาภรณ์ เผยให้เห็นบุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งยืนรออยู่
เขาคือฉางเฟิง
แน่นอนว่าชัดเจนถึงความนัย ไป๋หลินผู้นี้สามีรักและห่วงใยยิ่งนัก ถึงขั้นวางตำราที่ให้ความสำคัญยิ่งชีพเพื่อเดินทางมาส่งภรรยาซื้อผ้าด้วยกัน เช่นนั้น ไป๋เล่อชิงนับเป็นอันใด ต้องมาเองอย่างโดดเดี่ยว ไร้เงาสามีคุ้มกัน ไม่มีคนคอยห่วงใย
ไป๋หลินไม่พูดทางวาจา เพียงมองไป๋เล่อชิงยิ้มๆ สื่อนัยว่าอดีตคนรักเมื่อครั้งเยาว์วัยกับภรรยาคนปัจจุบันย่อมห่างชั้นประดุจดินกับฟ้า ช่างน่าเวทนา!
ตอนนี้ฉางเฟิงรักข้า ไม่รักเจ้าแล้ว รู้หรือไม่? หึหึ!
ไป๋เล่อชิงมองไปทางรถม้า พอนางเห็นฉางเฟิงก็เข้าใจความนัยทั้งหมดของพี่สาว เฉิงเอินก็เข้าใจเช่นกัน นางให้รู้สึกหมั่นไส้อย่างยิ่ง ทำท่าจะถกเถียงแทนสหาย กลับถูกลู่หว่านจับมือจูงไปอีกทาง พลางส่ายหน้าปราม
นั่นล่ะ เฉิงเอินจึงยั้งใจแล้วสงบคำ
เมื่อห่างมาอีกทาง ลู่หว่านจึงกล่าวกับเฉิงเอิน “พวกเราเป็นคนนอก หากเข้าไปยุ่งจะบานปลายกลายเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างสองตระกูล มิใช่แค่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ ระหว่างพี่น้องแล้วนะ”
เฉิงเอินเบ้หน้าไม่อยากเห็นด้วย แต่ก็พอเข้าใจได้ กระนั้นกลับมิวายพร่ำบ่นพึมพำ
“ชิงชิงน่าสงสารจริงๆ มารดาถูกนายหญิงใหญ่สกุลไป๋รังแกจนตาย พี่สาวยังร้ายกาจยิ่ง แย่งชิงคนรักไปไม่พอยังตามราวีไม่เลิกรา กฎหมายเอาผิดไม่ได้เลย”
ลู่หว่านว่า “มารดาของชิงชิงเป็นฮูหยินรองก็จริง แต่ก็ถูกมองเป็นเพียงอนุต่ำต้อยที่ไร้ค่าให้ทางการใส่ใจ อีกทั้งยังงดงามปานนางสวรรค์ ได้รับความโปรดปรานจากนายท่านไป๋ขนาดนั้น ไม่แปลกที่นายหญิงใหญ่ชิงชัง”
นางถอนหายใจ “และชิงชิงน่ะ สะสวยโฉมงามถอดแบบมารดาที่ตายไปแล้ว ยิ่งไม่แปลกที่นายหญิงใหญ่จะจงเกลียดจงชังยาวนานส่งต่อคนเป็นอย่างชิงชิง ถึงขั้นยุยงส่งเสริมให้บุตรสาวทำเรื่องไร้ยางอาย แล้วเรื่องเช่นนี้ล้วนไร้สาระไม่ใช่หลักฐานรูปธรรมเอาผิดตามกฎหมาย เพราะฝ่ายชายเองก็...เฮ้อ!”
“น่าเสียดายก็แต่นายท่านไป๋ที่รักใคร่เพียงมารดา มิได้เอ็นดูบุตรสาวอย่างที่ควร”
ทั้งสองพูดคุยกระซิบกระซาบอยู่มุมหนึ่งในร้านผ้า อย่างมิอาจทำสิ่งใดได้มากกว่านั้น
ในขณะที่ประตูหน้าร้าน ไป๋เล่อชิงยังคงถูกไป๋หลินเย้ยหยัน“ดูเถิด พี่แค่ออกมาร้านผ้าเท่านั้น แต่ท่านพี่กลับไม่วางใจให้มาคนเดียว มิรู้ว่าห่วงใยอันใดหนักหนา”พูดจบก็ยกชายผ้าปิดปากหัวเราะคิกคักมีความสุข เยาะเย้นเหยียดหยันเต็มที่ลูกไม้ตื้นเขินหาได้แพรวพราวน่ากังวลไม่ เฮอะ!ไป๋เล่อชิงลอบกลอกตาเอือมระอาตลบหนึ่งก่อนว่า “เช่นนั้น ข้าไปทักทายเขาหน่อยเป็นไร ไม่เจอกันนาน คิดถึงมาก” เท่านั้นล่ะ ไป๋หลินพลันสะดุดกึก รอยยิ้มเย้ยหุบฉับ “ไม่ดีกระมัง?”ไป๋เล่อชิงทำตาโต “ไม่ดีรึ? ถึงอย่างไรนั่นก็พี่เขย ญาติสนิทมิตรสหาย อา...ชวนเขาไปร่ำสุราด้วยกันดีกว่า” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินไปหาฉางเฟิงอย่างโจ่งแจ้ง แสดงออกว่าต้องการคนเขาไประลึกความหลัง ไป๋หลินตกใจ รีบรั้งชายเสื้อของไป๋เล่อชิงเอาไว้ ดวงตาเผยแววหึงหวงจนลนลานด้วยเกรงว่าจะถูกแย่งคืน“ไม่นะ น้องหญิง”ไป๋เล่อชิงแอบยิ้มสะใจ นางไม่คิดไปหาฉางเฟิงจริงๆ เสียหน่อย บุรุษเช่นนั้นนางไม่มีทางแย่งคืนหรอก ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ!แต่ปากว่า “พี่หญิงใหญ่ ปล่อยข้านะ ข้าจะไปหาฉางเฟิง”“ไม่”หน้าประตูร้านอาภรณ์สองพี่น้องยื้อยุดกันเล็กน้อย ฝ่ายฉางเฟิงเองก็มองไป๋เล่อชิงตาละห้
ครั้นคิดถึงตรงนี้ ไป๋เล่อชิงก็พลันเห็นภาพวาบหวิวเป็นกล้ามหน้าท้องของอู๋หมิงโดยไม่ได้ตั้งใจ ความหวั่นไหวก่อเกิดในใจทันใด พาลให้แก้มนุ่มเกิดริ้วแดงซ่านมิอาจห้าม นางรีบดึงสติคืนมาก่อนว่าต่อ “ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย ระดูก็เพิ่งมาวันนี้”ลู่หว่านจับมือไป๋เล่อชิงปลอบ “ชิงเอ๋อร์อย่ากังวล ข้าเองแต่งกับเฉิงอวี่ได้เกือบปีเลยเชียว กว่าจะตั้งครรภ์”เฉิงเอินพลันรู้สึกผิด “ชิงชิง ข้าขอโทษที่ปากพล่อย ขอตบปากตัวเองนะ นี่แน่ะๆ” นางทำปากจู๋ยกมือตีแปะๆไป๋เล่อชิงหัวเราะคิก “มาๆ ข้าตบให้”“อ๊ะ ไม่ต้องๆ ข้าเกรงใจ”“ไม่เป็นไร”“ไม่เอา”สตรีทั้งสองวิ่งหนีรอบตัวลู่หว่านเด็กสาววัยสะพรั่งมักเป็นเช่นนี้เสมอเวลาเจอกัน วุ่นวายอย่างยิ่ง ลู่หว่านให้รู้สึกปลงยิ่งนัก ชีวิตพวกเจ้าสงบสุขเกินไปกระมัง? นางรีบปราม “พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้มันดูไม่งาม” เฉิงเอินหยุดเล่นแต่ปากว่า “ไม่เป็นไรหรอกพี่สะใภ้ ชีวิตอย่าจริงจังเกินไป ทำตัวเป็นเด็กบ้างจะได้ปลดปล่อย”“ใช่แล้ว” ไป๋เล่อชิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง มีเพียงอยู่กับสหายแสนดีอย่างเฉิงเอิน นางถึงได้เป็นตัวของตัวเองจังหวะนั้น เสียงทักทายของสตรีผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “น้องรอง”สตรีทั้งสา
ร้านอาภรณ์ถังอวิ้นไป๋เล่อชิงเห็นเฉิงเอินกับพี่สะใภ้ยืนรออยู่ก่อนแล้วตรงหน้าประตูทางเข้าเฉิงเอินโบกมือ “ชิงชิง ทางนี้” นางจึงรีบเดินไปหาทันที เมื่อถึงก็จับมือสหายพลางยิ้มร่า “เฉิงเอินของข้า คิดถึงๆ”เฉิงเอินว่า “ข้านึกว่าท่านพี่อู๋ของเจ้าไม่ยอมให้มา เห็นว่าเขาอาจจะจับเจ้าขังไว้ในเรือนแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง อย่างกับผู้คุมกับนักโทษอันใดเทือกนั้นเสียอีก สงสัยว่าคงหายโกรธแล้วเป็นแน่ จึงใจดีอนุญาตให้เจ้าออกมาเที่ยว”ผู้ถูกเย้ารีบเถียง “ไม่ใช่เสียหน่อย ท่านพี่อู๋ไปทำงานไม่รู้ว่าข้าออกมา ส่วนแม่สามีแค่พักผ่อนยามบ่ายไม่ให้ใครรบกวน ข้าจึงออกมาได้โดยสะดวกต่างหากเล่า”“อ้อ...” เฉิงเอินทำเสียงสูงสนุกสนาน “เช่นนี้นี่เอง แสดงว่าเขายังไม่หายเคืองเจ้าสินะ เป็นไร? กลัวกระมัง ถึงหนีจากเรือนมาเจอข้า อยากให้ข้าปลอบใจหรือไม่เล่า”ถูกรู้ทันจนได้ “ก็ใช่น่ะสิ สามีข้าน่ากลัวอยู่นะ ไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว” หันไปทางสตรีอีกคนดีกว่า “ข้าคิดว่าพี่ชายเฉิงมากกว่านะที่หวงแหนพี่สะใภ้ลู่ยิ่งกว่าใคร ไม่ค่อยให้ออกจากเรือนง่ายๆ นี่นา” ว่าพลางปรายตามองยิ้มๆ อย่างต้องการหยอกเย้าลู่หว่านคือสะคราญโฉมที่ไป๋เล่อชิงกล่าวถึง“ชิง
ไป๋เล่อชิงได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าบุรุษที่มีท่าทางจืดชืดคล้ายไม่ประสาต่อโลกหล้านามว่าอู๋หมิง แท้จริงกลับดุดันยิ่งกว่าเสือ ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟ กระบวนท่าร่วมรักประหนึ่งทหารศึกกระหายเลือดที่ได้ออกรบอหังการหรือไม่ก็จอมยุทธเจ้าสำราญที่ออกท่องยุทธจนล่วงรู้ฟ้าดิน เขาพานางท่องราตรีวสันต์จนขาพับขาอ่อน ทำเอาแม่นางน้อยเช่นนาง ถึงขั้นบรรลุแจ้งในทุกท่วงท่าร่วมรักทุกขั้นตอนเนื่องจากสามีเร่าร้อน ตอนเช้าเมื่อตื่นนอน ภรรยาถึงขั้นต้องเดินขาสั่นไปยกน้ำชาให้แม่สามีโถงเรือนยามรุ่งอรุณ แสงแดดสาดเข้าทางหน้าต่าง ส่งผลให้ทั่วห้องอบอุ่นกำลังดีเมื่ออากาศทำให้สบายตัวคนย่อมสบายใจหวังว่าแม่สามีจะโปรดโปร่งอารมณ์ดีไม่รู้สึกหงุดหงิดร้อนรุ่มอันใดไป๋เล่อชิงเดินเข้าประตูโถงเรือนมาพร้อมอู๋หมิง เห็นแม่สามีนั่งอยู่จึงรีบคารวะทักทายอย่างมีมารยาท“สะใภ้ทำความเคารพแม่สามีเจ้าค่ะ”ซืออวิ๋นช้อนตามองสะใภ้นิ่งๆอย่างพินิจพิจารณา สีหน้าไม่เผยความนัยว่าชอบไป๋เล่อชิงหรือไม่ เพราะบุตรชายไม่เคยเล่าเรื่องสตรีของเขาให้ฟัง หมิงเอ๋อร์คบหากับนางยามใดก็สุดรู้ จู่ๆ ก็กลับเรือนมาบอกมารดาว่าอยากแต่งงาน พอถามว่าแต่งกับสตรีคนใด พามาให้แม่รู
ไป๋เล่อชิงทำใจดีสู้เสือ นางผลิรอยยิ้มจิ้มลิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้าย แลดูน่ารักน่าชังไม่เบา “ข้าไม่ใส่อะไรแล้วทั้งนั้น เราดื่มเหล้ามงคลกันก่อน ท่านคงเหนื่อยแล้ว จะได้รีบพักผ่อน”อู๋หมิงดื่มสุรามงคลรวดเดียวหมดจอก ไม่มีหรอกคล้องแขนแสนหวาน ไป๋เล่อชิงจึงประคองจอกดื่มคนเดียวอย่างเงียบๆ ช่วยมิได้ นางบังอาจผูกมัดเขาจนดิ้นไม่หลุดนี่นาพอหมดจอกก็เห็นอู๋หมิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงหน้าเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งของห้องหอ นางจึงลุกขึ้นไปเก็บเสื้อผ้ามาพับให้เรียบร้อยนำไปวางบนชั้นไม้ด้านใน แล้วปลดชุดของตนเองมาพับเก็บด้วยกัน ก่อนตามเขาไปนอนลงบนเตียงเดียวกันช่วยไม่ได้ ไม่มีที่อื่นให้นอนแล้วนี่นาครั้นหัวถึงหมอนนางค่อยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ “ท่านคงโกรธเกลียดข้ามากกระมัง?”อู๋หมิงปรายตามองเจ้าสาวหมาดๆของตนแวบหนึ่ง เป็นเชิงคำถาม “คิดว่าข้าชอบ?”เห็นเป็นคนนิ่งๆ เงียบขรึมแต่แท้จริงแล้วพอได้พูดกลับทำคนสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก ช่างเฉียบคมยิ่งนัก“ท่านไม่ชอบก็สมควรแล้ว ข้าเป็นคนมอมเหล้า เอ่อ...ขอโทษจริงๆ ขอโทษจากใจ” ไป๋เล่อชิงสบตาเขาชั่วอึดใจ เสมองไปทางขื่อคานอย่างมิอาจสู้ นางเพิ่งรู้ แววตาเขา น่าก
ในอดีตเพราะมารดาของนางมีนิสัยร้ายกาจเป็นที่เลื่องลือ แม้นางทำตัวแสนดีย่อมมีคดีติดตัวมิอาจลบล้าง และยามนี้บุตรสาวของนายหญิงรองผู้ล่วงลับเช่นนาง ไหนเลยจะสู้บุตรสาวของนายหญิงใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่สำคัญแม่เลี้ยงยังมีบุตรชายค้ำชู ไม่บอกก็รู้ว่านางที่ตัวคนเดียวไร้มารดาไม่มีพี่หรือน้องชายร่วมอุทร ต้องเจอนรกขุมไหน ไม่ว่าจะทนกัดฟันยืนหยัดอย่างไร ก็ต้องแพ้พ่ายในทุกวัน พี่หญิงได้แต่งงานกับฉางเฟิง ส่วนนางต้องแต่งงานตามการตัดสินใจของบิดามารดาและวาจาของแม่สื่อวันนั้น นางบังเอิญแอบได้ยินท่านพ่อกับแม่เลี้ยงพูดคุยกันว่าจะให้นางแต่งกับพ่อหม้ายผู้ร่ำรวย พอไปสืบถึงรู้ว่าคนผู้นั้นแก่กว่านางยี่สิบกว่าปี มีร้านค้ามากมายเป็นสินสอดสู่ขอ แต่เขามีอนุเต็มเรือน ลูกหลานครบถ้วน ในจวนที่กำแพงสูงลิบนั้นเป็นครอบครัวใหญ่ ปัญหาเยอะ มีทั้งนายท่านผู้เฒ่าบ้าอำนาจ นายหญิงผู้เฒ่าที่เคร่งจารีตแต่ลำเอียงรักบุตรหลานผู้ชายเป็นที่สุด เห็นบุตรหลานผู้หญิงเป็นขยะไร้ค่า ทั้งยังมีท่านลุง มีท่านอา รวมกันหลายคน และมีบุรุษที่แต่งสะใภ้คนแล้วคนเล่ารับอนุไม่เว้นแต่ละวัน นับเป็นครอบครัวถ้ำเสือรังหมาป่าเฉกจวนไป๋ท