ร้านอาภรณ์ถังอวิ้น
ไป๋เล่อชิงเห็นเฉิงเอินกับพี่สะใภ้ยืนรออยู่ก่อนแล้วตรงหน้าประตูทางเข้า
เฉิงเอินโบกมือ “ชิงชิง ทางนี้”
นางจึงรีบเดินไปหาทันที เมื่อถึงก็จับมือสหายพลางยิ้มร่า “เฉิงเอินของข้า คิดถึงๆ”
เฉิงเอินว่า “ข้านึกว่าท่านพี่อู๋ของเจ้าไม่ยอมให้มา เห็นว่าเขาอาจจะจับเจ้าขังไว้ในเรือนแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง อย่างกับผู้คุมกับนักโทษอันใดเทือกนั้นเสียอีก สงสัยว่าคงหายโกรธแล้วเป็นแน่ จึงใจดีอนุญาตให้เจ้าออกมาเที่ยว”
ผู้ถูกเย้ารีบเถียง “ไม่ใช่เสียหน่อย ท่านพี่อู๋ไปทำงานไม่รู้ว่าข้าออกมา ส่วนแม่สามีแค่พักผ่อนยามบ่ายไม่ให้ใครรบกวน ข้าจึงออกมาได้โดยสะดวกต่างหากเล่า”
“อ้อ...” เฉิงเอินทำเสียงสูงสนุกสนาน “เช่นนี้นี่เอง แสดงว่าเขายังไม่หายเคืองเจ้าสินะ เป็นไร? กลัวกระมัง ถึงหนีจากเรือนมาเจอข้า อยากให้ข้าปลอบใจหรือไม่เล่า”
ถูกรู้ทันจนได้ “ก็ใช่น่ะสิ สามีข้าน่ากลัวอยู่นะ ไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว” หันไปทางสตรีอีกคนดีกว่า
“ข้าคิดว่าพี่ชายเฉิงมากกว่านะที่หวงแหนพี่สะใภ้ลู่ยิ่งกว่าใคร ไม่ค่อยให้ออกจากเรือนง่ายๆ นี่นา” ว่าพลางปรายตามองยิ้มๆ อย่างต้องการหยอกเย้า
ลู่หว่านคือสะคราญโฉมที่ไป๋เล่อชิงกล่าวถึง
“ชิงเอ๋อร์ก็พูดเกินไป” นางเขินอายยิ่ง
“ไม่เกินไปเลยเจ้าค่ะ พี่ลู่งดงามหยาดเยิ้มปานนี้”
“เจ้าเองก็งาม ทั้งยังน่ารัก”
“อุ๊ย!” ไป๋เล่อชิงทำท่าบิดตัวเคอะเขินเกินจริง
“พี่สะใภ้ แล้วข้าเล่า งดงามหรือไม่” เฉิงเอินถาม
ลู่หว่านหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าเจ้างามที่สุด”
“ใช่แล้ว สหายข้างามเหนือใคร” ไป๋เล่อชิงยิ้มว่า
“อา...แต่ข้ายอมแพ้เจ้าคนหนึ่ง ให้เจ้างามกว่า”
“อันใดกัน ใจดีเกินไปแล้ว”
ทั้งสามหัวเราะคึกครื้น พวกนางมักเป็นเช่นนี้เสมอ พูดจาชื่นชมกันและกันไปมาเหมือนทุกครั้งที่เจอหน้า สร้างบรรยากาศแสนดีระหว่างมิตรสหายได้ทุกครา
หากเอ่ยตามจริงสตรีทั้งสามงดงามคนละแบบ ลู่หว่านอ่อนหวานหยาดเยิ้ม เฉิงเอินใบหน้าคิ้วตาหมดจด ส่วนไป๋เล่อชิงยิ่งสะสวย นอกจากใบหน้าจิ้มลิ้มยังมีลักยิ้มที่น่ารัก เรียกได้ว่างดงามและมีกิริยาน่ารักโดยธรรมชาติ ทรวดทรงองเอวหรือก็ยังโค้งเว้าอรชร ความงามงอนเช่นนี้โดดเด่นเสียจนสะดุดตา พาให้ถูกสตรีอื่นริษยาบ่อยๆ โดยเฉพาะพี่หญิงน้องหญิงในจวนสกุลเดียวกัน
นอกจากรูปร่างยังมีสิ่งที่ทำไป๋เล่อชิงน่าจดจำคือนางเป็นเจ้าของนัยน์ตาเศร้าชวนทะนุถนอมมาก
อาจเป็นเพราะนางกับมารดาถูกนายหญิงใหญ่กับบุตรสาวคนโตรังแกตลอดมาจนหาความสุขแทบไม่มี ต่อมามารดายังตายจาก ทิ้งนางไปตั้งแต่วัยเยาว์
ไป๋เล่อชิงจึงเป็นเด็กที่อมทุกข์อมโศกมาก แต่นับว่าโชคดีที่ไม่อมโรคด้วย
‘ข้าจะต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและดูดีทุกเวลาไม่ว่าจะแตกสลายแค่ไหน คนชั่วต้องไม่มีทางเห็นว่านางอ่อนแอรังแกง่าย’
นี่คือวาจาติดกายของนางที่มีมาแต่ไหนแต่ไร จึงทำให้เผยด้านที่สดใสแม้ดวงตายังคงมีนัยน์เศร้าลึกอยู่ ไป๋เล่อชิงจึงเป็นหญิงงามที่ย้อนแย้งแต่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
ลู่หว่านคลี่ยิ้มกล่าว “พวกเจ้าอย่ามัวหยอกกันเลย เดี๋ยวหมดเวลาซื้อของ ไม่ทันได้เลือก ต้องรีบกลับบ้าน”
“อา...จริงด้วย มาเถอะๆ สตรีออกเรือนแล้วไม่ควรอยู่ข้างนอกนานเกินไปจะดูไม่งาม” เฉิงเอินหันรีหันขวางจูงมือไป๋เล่อชิงกับพี่สะใภ้คนละข้างเดินเข้าไปด้านในร้าน “พี่สะใภ้ ข้าจะซื้อผ้าตัดเสื้อใหม่ให้หมิ่นเอ๋อร์เยอะหน่อย”
“เด็กเล็กโตเร็ว เจ้าเอาแต่พอดีเถอะ”
ไป๋เล่อชิงได้ยินเช่นนั้นก็ว่า “ข้าซื้อฝากหมิ่นเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้ๆ แต่เจ้าดูเผื่อไว้ให้ลูกของตัวเองด้วยจึงจะดี อย่านึกถึงแต่ลูกของข้าเชียว”
เฉิงเอินได้ทีหันมาเย้า “ว่าแต่ชิงชิงของเรา กำลังจะมีเจ้าก้อนแป้งบ้างหรือยังหนอ ข้ารอตัดเสื้อใหม่ให้อยู่นะ”
คนถูกเย้าถอนหายใจก้มดูท้องที่ว่างเปล่าของตน
แต่งงานสามเดือนแล้ว สามีก็ขยันขันแข็งลงโทษและรังแกนางเกือบทุกคืนตามความผิดติดตัวมาแท้ๆ แต่กลับยังไม่มีข่าวดี ทั้งที่เขาดุดันแข็งแกร่งออกปานนั้น...
หลังจากนั้นเพียงสามวัน ข่าวหนึ่งก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ข่าวนั้นก็คือองค์ชายหกคิดก่อการกบฏโดยการลักลอบซ่องสุมกำลังนักรบเดนตาย ค้าอาวุธเถื่อน ยักยอกเงินพระคลัง ใส่ร้ายป้ายสีองค์ชายสามทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีหลักฐานแน่นหนาองค์ชายหกถูกยึดทรัพย์ริบบรรดาศักดิ์ถูกปลดจากราชวงศ์กลายเป็นสามัญชน เว่ยซุนเองก็ถูกตัดสินโทษ ฐานสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายหกโดยการยึดทรัพย์และเนรเทศไปใช้แรงงานที่เหมืองถ่านหิน ห้ามกลับเมืองหลวงเมื่อผู้นำตระกูลถูกสำเร็จโทษ คนอื่นในตระกูลย่อมติดร่างแหไปด้วยกัน ทั้งเด็กและคนชราในสกุลเว่ย แม้ไม่ถูกเนรเทศแต่ก็ไม่มีบ้านให้ซุกหัวนอนอีกแล้ว ทุกคนล้วนสิ้นเนื้อประดาตัว จำต้องเร่ร่อนไปตายเอาดาบหน้า เว่ยซินหยูยามนี้จึงมิอาจจ้างคนไปทำร้ายใครได้อีกต่อไปเรือนเยี่ยเฟิงไป๋เล่อชิงนั่งมองสามีตาปริบๆ “ฝีมือท่านพี่?”อู๋หมิงที่กำลังกินอาหารฝีมือภรรยาเพียงตอบรับเสียงอืมในลำคอไป๋เล่อชิงร้องอ้อ เหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ อู๋หมิงลงมือเฉียบขาด ฉลาดหลักแหลมปานนี้เชียว น่ากลัวเกินไปหรือไม่?จังหวะนั้นเจาจวิ้นวิ่งผลุบเข้ามาหลบหลังอู๋หมิง “อาหมิง ช่วยด้วย อาโยวโมโหข้าใหญ่แล้ว”“อันใดอีก?” ชายห
จังหวะนั้น เจาจวิ้นก็สะลึมสะลือได้สติ เขาไอแค่กๆ ร้องหาเสียงแหบแห้ง “อาโยว อย่าทิ้งข้าไป อาโยว”คนถูกเรียกรีบจับมือเขาเอาไว้”“ข้าอยู่นี่ ข้าไม่ไปไหนแล้วทั้งนั้น”“อาโยว อาโยว” เจาจวิ้นคล้ายคนละเมอกึ่งหลับกึ่งตื่นแต่ก็เรียกหาโจวเจินไม่ขาดปากอู๋หมิงจึงว่า “อาโยว เจ้าดูแลอาหนิงแล้วกัน”โจวเจินปาดน้ำตาพลางกดคางหงึกๆ “ท่านไม่บอก ข้าก็จะดูแลเขาเองอยู่แล้วล่ะ ท่านไม่ต้องห่วง”“อืม ดี”ครั้นมองสหายอย่างละเอียดก็พบความจริงหนึ่ง ซึ่งรู้กันเพียงเขากับอีกฝ่าย ความจริงนั้นก็คือมีคำว่า ‘มารยาบุรุษ’ แปะหน้าผากเจาจวิ้นตัวเบ้อเริ่มมุมปากอู๋หมิงกระตุกเล็กน้อยเขารู้ดีว่าหลิวหนิงมิใช่บุรุษอ่อนหัดไร้ฝีมือปานนั้น คงจงใจใช้แผนแสร้งเจ็บตัวเรียกร้องความสนใจมากกว่าชายหนุ่มหันไปพยักหน้าให้ภรรยา “ชิงชิงไปเถอะ”“เจ้าค่ะ ข้าจะไปตามท่านหมอมาดูพี่หนิงพอดี”อู๋หมิงกระแอม “ไม่ต้อง” ว่าแล้วก็รีบรวบเอวนางพาหายวับไปอีกห้องหนึ่งอย่างเร็ว “อยู่กับข้าห้องนี้ดีกว่า คิดถึงจะแย่”“อ๊ะ ท่านพี่” ร้อนแรงจริงเชียวจวนสกุลเว่ย“เจ้าว่าอย่างไรนะ” เว่ยซินหยูถามเสียงเกรี้ยวกราด “นังหลิวหนิงนั่นเป็นบุรุษรึ?”“ขอรับ”“หมายความว่าข
เว่ยซินหยูเอนกายพิงพนักเก้าอี้ในท่วงท่าสบาย เอ่ยเสียงเรียบเรื่อยต่อเนื่องว่า “ใช่ ไม่ต้องฆ่านังนั่นแล้ว ข้าไม่อยากเสี่ยงถูกเป็นผู้ต้องสงสัยถูกทางการตามล่าข้อหาฆ่าคน ชุดสืบสวนพวกนั้นเก่งกาจนัก หนีไม่พ้นแน่ แต่หากฉุดคร่าย่ำยีสตรีย่อมทำได้”ประกายตาของเว่ยซินหยูสว่างวาบดุจไฟอีกครา “แค่บอกว่าสตรีสมยอม แค่นี้ทางการก็ไม่ตามจับเข้าคุก ส่วนสตรีที่ถูกย่ำยี...หึหึ” ย่อมไม่มีทางกลับมาสู้หน้าผู้คนได้อีกตลอดชีวิต เรียกได้ว่าตายทั้งเป็น หากยังต้องกลับมาอยู่ต่อหน้าสามีมิสู้ฆ่าตัวตายหนีหน้าสามีไปเสียดีกว่า แบบนี้ไยมิใช่ดีกว่าส่งคนไปฆ่านังนั่นจนเสี่ยงถูกสืบสาวถึงสกุลเว่ยหญิงสาวหัวเราะเย็นเยียบอย่างชั่วร้าย“ไปจัดการตามนี้ นังนั่นอยู่ริมชายป่าตะวันตก”“ขอรับ”ชายป่าฝั่งตะวันตกของเมืองหลวงเป็นสถานที่ที่โจวเจินชอบมากที่สุดกลางป่าพนาไพรที่ร้างผู้คนแห่งนี้มีทะเลสาบมรกตเหมือนเกาะส่วนตัวซึ่งเจาจวิ้นเคยพานางมายลยามนี้หญิงสาวจึงกำลังนั่งเหม่ออยู่บนผาหินชันเหนือธาราสีครามจริงๆ เจาจวิ้นเบิกตากว้างเมื่อเห็นนางอยู่ในระยะสายตาที่ไกลลิบ ทำท่าวิ่งไปหาอย่างลิงโลด ทว่าจู่ๆ กลับมีกลุ่มชายฉกรรจ์ถึงสี่คนกรูเข้ามาล้อม
สองชั่วยามต่อมาเจาจวิ้นสะลึมสะลือฟื้นคืนสติ คนแรกที่มองหาคือโจวเจิน แต่ทว่ากลับเห็นเพียงใบหน้าจิ้มลิ้มของไป๋เล่อชิง“ท่านพี่อาหนิง ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”“อือ อาโยวเล่า?”ไป๋เล่อชิงชี้ไปทางประตูเรือน “นางเก็บข้าวของออกไปแล้วเจ้าค่ะ”“ห๊า” ไป๋เล่อชิงกล่าวอีกว่า “ข้าตามไปก็ถูกไล่กลับมา ท่าทางอาโยวโกรธมากทีเดียว ไม่เคยเห็นนางโมโหปานนี้” เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าพี่อาหนิงจะเป็นสามีเก่าผู้ชั่วช้าของอาโยว เจาจวิ้นปวดหัวจี๊ดขึ้นสมอง รีบผุดลุกขึ้น“อ๊ะ ท่านพี่อาหนิงจะไปไหนหรือเจ้าคะ”“ข้าจะออกไปตามอาโยว ชิงชิงน้อยอยู่รออู๋หมิงที่นี่ ห้ามออกไปที่ใดตามลำพังนะ”จบคำก็ถลันออกไปจากเรือนอย่างไม่เหลียวหลัง ทว่าสักพักพลันวิ่งกลับมา “ลืมถาม ชิงชิงน้อย อาโยวไปทางไหน”“ไปทางฝั่งตะวันตกของเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบใจมาก “เจาจวิ้นถลันตัววิ่งหายไปอีกคราครั้งนี้ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่เค่อเดียวจวนสกุลเว่ย เว่ยซินหยูผู้ไม่เคยลดละการเอาชนะหลิวหนิงด้วยวิธีการชั่วร้ายหมายให้อีกฝ่ายหายไปกำลังตบโต๊ะดังปังเอ่ยเสียงดังอย่างโมโห“นักฆ่าไม่รับงานของข้าแล้วเรอะ”บ่าวชายผู้ถึงตอบ “ขอรับ พวกมันบอกว่าคราก่อนเจ็บหนักหลายคนยังไม่พร้อมล
เรือนเยี่ยเฟิงไป๋เล่อชิงนิ่วหน้ามองอู๋หมิง ถามอย่างเป็นห่วง “ท่านพี่จะไปคนเดียวจริงๆ หรือเจ้าคะ?”ชายหนุ่มหันมา “เจ้าหยุดห่วงข้าได้แล้วกระมัง”“คนบ้า ให้ข้าหยุดห่วงท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นสามีของข้านะ”หญิงสาวถอนหายใจ นึกกังวลอย่างแท้จริง อู๋หมิงเห็นสีหน้านางก็ก้มลงจุมพิตหน้าผากมนก่อนหนึ่งที เมื่อกลีบปากร้อนผ่าวจรดลงมาที่ผิวเนียน มอบความอุ่นซ่านไปถึงหัวใจ ไป๋เล่อชิงจึงใจเย็นลงได้ในพริบตาอู๋หมิงก้มหน้ากระซิบเสียงพร่าแต่หนักแน่นว่า“เหตุการณ์คืนนั้นทำให้ข้าตัดสินใจแล้วว่าควรเร่งจัดการให้จบเสียที หาไม่ คนพวกนั้นคงหาทางทำไม่ดีอีก ขนาดให้เจ้าอุตส่าห์ปลอมตัวเป็นแค่สาวใช้ยังไม่รอดแผนร้ายของเว่ยซินหยูมิใช่หรือไร?”“อืม ก็ใช่” ไป๋เล่อชิงก้มหน้าเม้มปากเถียงไม่ได้จังหวะนั้น เจาจวิ้นพลันวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นลน “อาหมิง ช่วยข้าด้วย” เกาะหลังอู๋หมิงแน่นอู๋หมิงเอี้ยวตัวมอง “อะไรของเจ้าอาหนิง” เจาจวิ้นตอบเสียงอู้อี้ตรงแผ่นหลัง “อาโยวน่ะสิ นางรู้แล้วว่าข้าคือสามีเก่าตั้งแต่ชาติก่อน”ไม่น่าไปเผลอต่อกลอนนั้นกับนางเลย ให้ตาย!อู๋หมิงเลิกคิ้วถาม “แล้วอย่างไร?”“ท่านต้องช่วยพูดให้ข้า บอกนางว่าข้ากลับ
ทว่า...นอกจากไม่เห็นภรรยาผู้อื่นโกรธเคืองสามีของตน กลับเห็นอีกฝ่ายแย้มยิ้มเริงร่า ปากก็ว่า“โอ้! ท่านพี่ ที่แท้ท่านก็ชมชอบคนของข้าปานนี้ ไฉนไม่บอกกันดีๆ ข้าไหนเลยจะขัดใจ”อู๋หมิงเองก็เล็งเห็นผล จึงได้ทีรีบผสมโรงอย่างไว จะปล่อยผ่านได้อย่างไร “ข้ากำลังบอกน้องหญิงอยู่นี่ปะไร ขอนางให้ข้าเถอะ ข้าชอบนาง” ว่าพลางรั้งร่างของไป๋เล่อชิงเข้ากอดแนบอกแน่น ต่อหน้าต่อตาธารกำนัล ไป๋เล่อชิงเบิกตากลมโต มองอย่างตกใจ “อะไรกัน”เจาจวิ้นหัวเราะอารมณ์ดี “เช่นนั้น พวกเรากลับเรือนกันดีกว่า ข้าอยากจัดงานเลี้ยงต้อนรับน้องสาวแล้ว” เข้ามาจับมือไป๋เล่อชิงอย่างสนิทสนม “ข้าเองก็เอ็นดูนาง อยากยกฐานะอยู่พอดี”“เยี่ยมเลย เช่นนี้พวกเราไปกันเถอะ” อู๋หมิงยังคงกอดไป๋เล่อชิงไม่ปล่อย อีกมือหนึ่งก็จับเอวเจาจวิ้นพาเดินจากไปด้วยกันอย่างเปรมปรีเฉกบุรุษเจ้าสำราญ เกิดเป็นภาพสามคนสามีภรรยารักใคร่ปรองดองที่สุดในใต้หล้าอย่างไม่ใส่ใจสายตาใครทั้งนั้นและภาพนั้น ทำทุกคนถึงกับอึ้งเว่ยซินหยูยิ่งคาดไม่ถึงวันต่อมา ภาพนั้นก็ยิ่งชัดเจนและเป็นที่โจษจัน เมื่ออู๋หมิงพาสตรีอันเป็นที่รักสองคนไปด้วยกันทุกหนแห่ง สถานที่ที่เขาไปล้วนมีภรรยาทั้งสอ