น่าหลานเยี่ยพาเสวี่ยเอ๋อร์กลับมาที่จวน ก่อนจะอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้วตรงไปที่ห้องตำรา แม้จะเที่ยวเล่นสนุกแค่ไหนแต่อย่างไรเขาก็ยังมีงานที่จะต้องทำมากมาย
เสวี่ยเอ๋อร์เดินออกมารับลมที่ด้านนอกห้องนอน ยามนี้เป็นฤดูหนาว อากาศจึงค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย นางเองไม่ค่อยคุ้นชินกับสภาพอากาศหนาวเช่นนี้เท่าใดนัก โชคดีที่เสื้อผ้าที่สวมใส่ค่อนข้างหนาจึงพอบรรเทาอาการหนาวเย็นไปได้ไม่น้อย
เสวี่ยเอ๋อร์มองดูดวงจันทร์บนท้องฟ้าก่อนจะครุ่นคิดในใจ เคยอ่านเจอแต่ในนิยายว่าวังหลวงของจีนใหญ่โตและงดงาม แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตนเอง นางรู้สึกว่ามันวิเศษยิ่งนัก มันงดงามเสียยิ่งกว่าตอนที่นางจินตนาการเอาไว้เสียอีก
แต่ถึงแม้จะงดงามมากเพียงใด แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านเกิดของนาง อย่างไรเสียนางคงต้องปรับตัวเป็นอย่างมากกับการใช้ชีวิตที่นี่
"ฮัดชิ้ว!!!"
"ข้างนอกอากาศเย็นเจ้าจะออกมาทำไมกัน รีบกลับเข้าห้องเร็วเข้า"
"ท่านอ๋อง"
"ข้าเองสิ สามีที่เร่าร้อนของเจ้า"
เสวี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลงพยายามที่จะไม่หลุดหัวเราะ น่าหลานเยี่ยที่เห็นเช่นนั้นจึงเข้ามาจับมือนางเอาไว้ ก่อนจะพานางเดินกลับเข้ามาในห้องนอนที่แสนอบอุ่น
เมื่อเข้ามาในห้องน่าหลานเยี่ยก็รินชาร้อนใส่ถ้วยส่งให้นาง เสวี่ยเอ๋อร์รับถ้วยชามาถือเอาไว้ กลิ่นหอมของชาทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมาก
"นี่คือชาหลงจิ่ง เป็นชาชั้นดี เจ้าลองชิมดูว่ารสชาติเป็นเช่นไร?"
เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม รสชาติหวานปนฝาดทำให้นางเบ้หน้าเล็กน้อย น่าหลานเยี่ยที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยถามนางอย่างห่วงใย
"เจ้าไม่ชอบหรือ?"
"เอ่อ... ปกติข้าดื่มแต่น้ำเปล่าน่ะเพคะ แต่..."
"ไม่เป็นอันใด วันพรุ่งนี้ข้าจะให้บ่าวไพร่นำน้ำสะอาดมาให้เจ้าดื่ม หากเจ้าต้องการสิ่งใด ชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด เรียกใช้พวกนางได้ อ้อ พ่อบ้านไป๋เจ้าบอกเขาได้เลย หากบ่าวไพร่แข็งข้อไม่เชื่อฟังเจ้า เจ้าก็สั่งสอนพวกนางได้เลย"
เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้มให้น่าหลานเยี่ยเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเตาถ่านที่ตั้งอยู่ภายในห้อง
"เอ๋ ถ่านนั่นเหตุใดจึงเป็นสีขาวเล่าเพคะ"
น่าหลานเยี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองถ่านในเตา ก่อนจะเอ่ยตอบนาง
"นั่นคือถ่านไหมเงิน เป็นถ่านที่ไร้ควัน ถ่านชั้นดีที่นิยมใช้กันในวังหลวงและจวนตระกูลผู้ดี เป็นถ่านที่ติดไฟยาก แต่ว่ามอดช้า อีกทั้งยังให้ความอบอุ่นได้ดีด้วย"
"อ้อ"
เสวี่ยเอ๋อร์ร้องอ้อ พลางจ้องมองถ่านไหมเงินอย่างสนใจ นี่นับเป็นความรู้ใหม่เลย นางเพิ่งรู้ว่าในยุคโบราณจะมีถ่านดีดีเช่นนี้ใช้กันด้วย
น่าหลานเยี่ยจ้องมองเสวี่ยเอ๋อร์ก่อนจะเอ่ยกับนางด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
"แต่หากกอดข้าเจ้าจะได้ความอบอุ่นมากกว่านี้อีกนะ"
เสวี่ยเอ๋อร์หันขวับไปมองน่าหลานเยี่ย ก่อนจะแกล้งทำเป็นไอสองสามครั้งไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด
"ว่าอย่างไรเล่า ข้าน่ะอบอุ่นกว่าถ่านไหมเงินในเตานั่นเสียอีก"
"ท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้กับสตรีที่ชอบทุกคนเลยหรือเพคะ?"
น่าหลานเยี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
"ข้าเอ่ยวาจาเช่นนี้เพียงแค่กับเจ้า ส่วนสตรีนางอื่นข้าลากพวกนางขึ้นเตียงเลย"
เสวี่ยเอ๋อร์ "..."
"หรือว่าเจ้าอยากได้เช่นนั้น บอกข้าได้นะ ข้าจะทำให้"
"ไม่ ๆ ๆ ๆ เพคะ"
เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้าไปมาจนน่าหลานเยี่ยยิ้มตาหยี เมื่อได้เห็นรอยยิ้มสว่างเจิดจ้าของเขา นางก็เผลอยิ้มตามไปด้วย
"ท่านอ๋องเพคะ ท่านทุบหน้าต่างบานนั้นไปแล้วหรือ?"
น่าหลานเยี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยตอบนางทันที
"ยัง พอดีว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องจัดการจึงให้บ่าวไพร่ยั้งมือไว้ก่อน ไม่ได้ทุบทิ้ง ทำไมหรือ? หรือว่าเจ้าคิดจะกลับไป เจ้าจะหนีข้าหรือ!!!"
"ไม่ใช่นะเพคะ!!!"
"เช่นนั้นเจ้าถามทำไม?"
"เอ่อ พอดีว่าข้ามีของที่ต้องใช้น่ะเพคะ อยากจะกลับไปเอาเสียหน่อย"
"เจ้าไม่กลัวมีคนตามฆ่าหรือ?"
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์ที่แม่ถูกฆ่าตายไปพร้อมกับพ่อเลี้ยง ใจนางก็หวาดหวั่นไม่น้อย
"พวกมันคงคิดว่าไม่มีใครอยู่แล้วเพคะ ไม่น่าจะมีอันตรายใด"
น่าหลานเยี่ยครุ่นคิดคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย"
"จะดีหรือเพคะ"
"ย่อมดีแน่นอน แต่ตอนนี้มาให้ข้ากอดสักครา ข้าจะบรรเลงเพลงรักสามพันกระบวนท่าให้เจ้าจำไม่ลืมเลย"
"ว้ายย!!!"
"ร้องเลย ร้องอีก ร้องดัง ๆ ข้าชอบ!!!"
เช้าวันต่อมาเสวี่ยเอ๋อร์ให้สาวใช้นำชุดเดิมที่นางใส่ตอนข้ามมาที่นี่มาให้ ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ในทันที น่าหลานเยี่ยยืนรอนางอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นว่านางจัดเตรียมทุกสิ่งพร้อมสรรพ เขากับนางจึงรีบเดินไปที่หน้าต่างบานนั้นทันที
หน้าต่างอยู่ด้านหลังห้องนอนของน่าหลานเยี่ย ยามนี้สายมากแล้ว เหล่าบ่าวไพร่ก็แยกย้ายกันไปทำงานของตน เสวี่ยเอ๋อร์วางใจได้ไม่น้อย นางไม่อยากให้ผู้ใดมาเห็นยามที่นางข้ามเวลากลับไปกลับมาเช่นนี้
"รีบไปเถิด"
"เพคะ"
เสวี่ยเอ๋อร์จับมือน่าหลานเยี่ยเอาไว้แน่น ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือไปทางหน้าต่างบานนั้นที่เปิดกว้างอยู่ แต่แล้วนางก็ต้องชะงัก
เหตุใดจึงข้ามไปไม่ได้เล่า?
"เกิดสิ่งใดขึ้น"
"นั่นสิเพคะ เหตุใดจึงข้ามไปไม่ได้ คราแรกที่มา ข้ายังข้ามไปข้ามกลับได้อยู่เลย"
"ไหนให้ข้าลองดู"
"เพคะ"
ครานี้น่าหลานเยี่ยลองเป็นฝ่ายยื่นมือไปบ้าง แต่ก็เหมือนเช่นเดิม เขาและนางไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ น่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์สบตากันครู่หนึ่ง ด้วยความไม่เข้าใจ
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ดวงอาทิตย์ก็หม่นแสงลง สายลมพัดพาความเย็นยะเยือกเข้ามาปะทะใบหน้าของเสวี่ยเอ๋อร์จนนางขนลุกขนชัน เสียงลมหวีดหวิวมาพร้อมกับความมืดครึ้มบนท้องฟ้าราวกับว่ากำลังจะเกิดพายุฝนห่าใหญ่ เสวี่ยเอ๋อร์ยกมือขึ้นมาบังหน้าเพราะเกรงว่าเศษฝุ่นจะเข้าตา แต่แล้วคล้ายกับมีแรงดึงดูดบางอย่างดึงร่างของนางและน่าหลานเยี่ยเข้าไปในหน้าต่างบานนั้น
"ท่านอ๋อง!!!"
"โอ๊ะ!!!"
สายลมพัดพากระดิ่งระฆังดังขึ้นเป็นจังหวะไม่หยุดนิ่ง เมื่อสายลมสงบลงกระดิ่งระฆังใบนั้นก็หยุดนิ่งไปในทันที ราวกับว่าไม่เคยขยับเคลื่อนไหวมาก่อน
น่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์ข้ามกลับมายังบ้านเกิดของเสวี่ยเอ๋อร์ ทั้งคู่ทะลุภาพวาดก่อนจะพบว่ายามนี้ตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนเดิม เสวี่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นมามองโดยรอบ ยามนี้แสงอาทิตย์จากด้านนอกสาดส่องเข้ามา เผยให้เห็นว่าภายในห้องมีฝุ่นจับหนาเตอะ เนื่องจากไม่มีคนมาเก็บกวาด ประตูห้องนอนถูกเปิดออก เมื่อเสวี่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปดูก็พบว่ามันมีร่องรอยของการทุบบานประตูให้เปิดออก หากเดาไม่ผิดคงจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงมือเปิดประตูห้องนอนของนางเพื่อตรวจค้นหาผู้รอดชีวิต
ภายในบ้านมืดสนิท เสวี่ยเอ๋อร์เดินไปเปิดไฟรอบบ้านให้สว่าง ภายในบ้านยังหลงเหลือร่องรอยของภาพวันวานที่แม่ถูกฆ่าตาย เสวี่ยเอ๋อร์พยายามไม่คิดถึงมัน นางมาที่นี่เพื่อเก็บของบางอย่างและตั้งใจจะกลับไปโดยเร็วที่สุด
"ท่านอ๋อง รอข้าอยู่ที่นี่นะเพคะ ข้าจะรีบกลับมา"
"เจ้าจะไปที่ใด"
"ไปซื้อของเพคะ ข้าจะรีบกลับมา"
"เช่นนั้นอย่าชักช้าเล่า ข้าจะต้องพาเจ้ากลับไปพร้อมกับข้า"
เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า ก่อนจะรีบเดินลงไปที่ชั้นล่าง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยที่เห็นว่าประตูบ้านชั้นล่างถูกเปิดโล่งเอาไว้ ภายนอกบ้านมีเศษใบไม้แห้งหล่นเกลื่อนกลาดเพราะไม่มีคนดูแล เสวี่ยเอ๋อร์หันมองซ้ายขวา ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาจากรั้วบ้านโดยที่ไม่ให้ผู้คนสังเกตเห็น นางเองไม่ต้องการให้ใครรับรู้อีก เพียงให้พวกเขาจดจำว่านางหายสาบสูญไปก็พอ
โชคดีที่สร้อยทองซึ่งนางเก็บซ่อนไว้ใต้เตียงนอนไม่ได้หายไป นางจึงนำมันติดมือมาด้วย ก่อนจะเข้าร้านทองนำมันไปขาย ได้เงินมาราวสองหมื่น เสวี่ยเอ๋อร์ไม่รอช้า นางรีบไปที่ร้านยาทันที ก่อนจะจัดการซื้อยาที่จำเป็นติดมาด้วย แล้วรีบกลับมาที่บ้านทันที น่าหลานเยี่ยเดินวนไปวนมารอนางอย่างกระวนกระวาย เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัยเขาก็ดีใจ
"ชักช้านัก ข้าเป็นห่วงเจ้านะรู้หรือไม่?"
"มาแล้วเพคะ ข้าได้ของที่ต้องการแล้ว"
น่าหลานเยี่ยมองดูของในถุงที่เสวี่ยเอ๋อร์ถือกลับมาก็ขมวดคิ้วมุ่น
"สิ่งใดกัน"
"ยาเพคะ"
"ยา"
เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า นางเป็นภูมิแพ้จึงต้องกลับมากว้านซื้อยาไปตุนไว้เป็นร้อยกระปุก อีกทั้งยังมีพารา และยาทาภายนอกอีกนับไม่ถ้วน เฟิ่งหวงไม่มียาพวกนี้ นางนำมันติดไปด้วยอาจจะเป็นประโยชน์ก็ได้
"เรารีบกลับกันเถิดเพคะ"
"อืม"
น่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์เก็บสิ่งของที่ต้องใช้ใส่กระเป๋าที่วางไว้ตรงตู้เสื้อผ้า ก่อนจะยื่นมือไปจับภาพวาดนั้น แต่ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อันใดกัน!!! กลับไม่ได้เช่นนั้นหรือ?
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น