น่าหลานเยี่ยสั่งให้คนนำรถม้ากลับจวนชินอ๋องอย่างไม่รอช้า ทันทีที่ถึงจวนเขาตั้งใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะต้องบำเรอสวาทให้นางอย่างถึงใจอีกสักสองสามครา แต่ทว่าราชเลขาในวังหลวงกลับมาแจ้งแก่เขาว่าเสด็จพี่มีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วน
น่าหลานเยี่ยลอบสบถด่าทอน่าหลานหลิงหวางเป็นพันครั้ง เวลาแห่งความสุขสมยังคิดจะมาขัดจังหวะเขาเสียนี่
ราชเลขาผู้โชคร้ายถูกน่าหลานเยี่ยถีบเข้าให้จนกระเด็นกองลงไปนอนกับพื้น ทำให้เขารู้สึกคลายโทสะลงไปได้ไม่น้อย เขาหันไปมองเสวี่ยเอ๋อร์ยอดรักก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้ามุ่งหน้าไปวังหลวงทันที
น่าหลานหลิงหวางที่ได้เห็นผู้เป็นน้องชายก็ขมวดคิ้วมุ่น เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่อย่างหลุดลุ่ย เขามัดผมรวบ ๆ สบาย ๆ ไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งใดแม้แต่น้อย
"นี่ชินอ๋องหรือขอทานข้างถนนกันแน่ เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้!!!"
น่าหลานเยี่ยถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปรินสุราใส่จอกแล้วยกขึ้นดื่มด้วยความหิวกระหาย น่าหลานหลิงหวางเองก็ไม่ได้ติดใจอันใด แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้มากพิธีกับน้องชายผู้นี้อยู่แล้ว
"อาเยี่ย พี่ได้ยินว่าเจ้าสั่งคนขี่รถม้าวิ่งวนรอบตลาดเป็นสิบรอบ เจ้ามีเวลาว่างมากนักหรือ?"
"คนในวังของเสด็จพี่ช่างส่งข่าวรวดเร็วเสียจริง น่าควักตาตัดลิ้นมาดองเหล้าคงจะรสชาติดีไม่น้อย"
"อาเยี่ย เจ้าทำการไร้แก่นสารเช่นนี้ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ?"
"ไม่พ่ะย่ะค่ะ ข้าชอบ"
น่าหลานหลิงหวางหมดคำจะด่าน่าหลานเยี่ยเสียแล้ว เขาจึงเอ่ยปากสอบถามเรื่องอื่นแทน
"เจ้าควรอภิเษกชายาเอกเสียที พี่ได้รับหนังสือเจรจาสงบศึกจากแคว้นม่อเป่ย ทางนั้นจะส่งองค์หญิงของแคว้นมาที่นี่ พี่ตั้งใจว่าจะให้นางอภิเษกกับเจ้า เจ้าเห็นเป็นเช่นไร?"
น่าหลานเยี่ยส่งเสียงเฮอะในลำคอ เขายกจอกสุราขึ้นดื่มอีกครา ก่อนจะเอ่ยกับน่าหลานหลิงหวางอย่างไม่รีบไม่ร้อน
"แคว้นม่อเป่ยน่ะหรือคิดจะสงบศึก"
"เจ้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?"
"ฮ่องเต้มู่ไป่หรงแห่งแคว้นม่อเป่ยเป็นพวกกระหายเลือดชอบทำสงคราม เสด็จพี่ไม่ทรงคิดบ้างหรือ ว่าการที่พวกมันส่งองค์หญิงผู้เป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวมาที่เฟิ่งหวง อาจเพราะต้องการสืบความจากเรา"
น่าหลานหลิงหวางขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องมองน่าหลานเยี่ยด้วยแววตาที่ครุ่นคิด
"แต่ถึงอย่างไรพระธิดาของมู่ไป่หรงก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงของเรา เฟิ่งหวงของเรายิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า หากมันกล้าพี่ก็จะฆ่าพวกมันทิ้งเสียให้สิ้น"
"อย่าทรงประมาทศัตรูก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ"
"คนของเจ้าสืบได้ความอันใดมาบ้าง?"
"ระยะนี้มู่ไป่หรงเก็บตัวเงียบ คาดไม่ถึงว่าจะส่งหนังสือเจรจาสงบศึกมารวดเร็วเช่นนี้ คนของกระหม่อมบอกว่าเห็นเขาเดินทางขึ้นไปบนเขาทางเหนือของม่อเป่ย คาดว่าอาจจะซ่องสุมกำลังทหารเอาไว้ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ"
"เช่นนั้นเจ้าจงรีบอภิเษกกับบุตรสาวของมู่ไป่หรงโดยไวเถิด"
"ไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"อาเยี่ย"
"ข้าลืมทูลต่อเสด็จพี่ไป ตอนนี้ข้ามีชายาเอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
น่าหลานหลิงหวางหันขวับไปมองน้องชายของตนเองทันทีด้วยความสงสัย
"นางเป็นสตรีตระกูลใดกัน มิใช่เจ้าไปคว้าสตรีไร้หัวนอนมาเป็นชายาหรอกนะ!!!"
"ข้าไม่ใช่เสด็จพี่นะพ่ะย่ะค่ะที่จะไม่เลือกถึงเพียงนั้น"
พรวด
น่าหลานหลิงหวางพ่นสุราออกมาจากปากแทบจะทันที น้องชั่ว!!! มันหลอกด่าเขา
"อาเยี่ย!!! เจ้านี่มัน พานางมาพบข้า"
"ไม่พ่ะย่ะค่ะ เรื่องของข้าเสด็จพี่อย่าทรงยุ่งเกี่ยวจะดีกว่า ข้าโตแล้ว ส่วนเรื่ององค์หญิงม่อเป่ย เสด็จพี่ก็ทรงรับนางเป็นสนมเสีย อย่ามาโยนให้ข้า ข้าไม่ต้องการ เพียงแค่ชายาของข้าคนเดียวข้าก็ปวดสะโพกจะแย่แล้ว"
"อาเยี่ย ข้าแก่แล้ว จะรับสนมเพิ่มอีกทำไมกัน!!!"
"แก่แล้วอย่างไรเล่า เสด็จพี่ทำไม่ไหวก็สอนนางทำสิพ่ะย่ะค่ะ!"
พรวด
สุราในปากของน่าหลานหลิงหวางพ่นกระจายออกมาอีกครา
"อ้อ ที่ข้าสั่งให้คนบังคับรถม้าวิ่งวนรอบตลาดเมื่อครู่ เพราะข้ากับชายาเอกกำลังร่วมรักกันอยู่พ่ะย่ะค่ะ บรรยากาศช่างดีไม่น้อย หากองค์หญิงม่อเป่ยมาถึงแล้ว เสด็จพี่ก็พานางทำเช่นนี้บ้าง เสด็จพี่อยู่ล่างนางอยู่บน หากนางเคลื่อนไหวมิคล่องก็เร่งให้องครักษ์บังคับรถม้าให้เร็วอีกนิด สั่นไหวให้รุนแรง เพลินดีนะพ่ะย่ะค่ะ"
พรวด
สุราหมดเสียแล้ว เขาพ่นมันออกมาหมดแล้ว!!!
"เจ้าไสหัวกลับตำหนักไปเถิดอาเยี่ย อยู่นานกว่านี้ข้าเกรงว่าจะกระอักเลือดเอาได้"
"พ่ะย่ะค่ะ อย่าหาชายาให้ข้าอีก หากเตือนแล้วไม่ฟัง ข้าจะฆ่านางทิ้งเสีย!"
น่าหลานเยี่ยเอ่ยด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะเดินออกไป น่าหลานหลิงหวางย่อมรู้จักนิสัยของน้องชายตนเองเป็นอย่างดี น่าหลานเยี่ยภายนอกแม้จะดูไร้แก่นสาร แต่แท้จริงเขาคือกำลังสำคัญที่วางแผนการรบจนเฟิ่งหวงยิ่งใหญ่อย่างเช่นทุกวันนี้ เขาจึงรักน่าหลานเยี่ยเป็นอย่างยิ่ง น้องชายผู้นี้เป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุด ไม่เคยคิดแย่งชิงบัลลังก์จากเขาเลยสักครั้ง เห็นทีเขาคงต้องรับองค์หญิงแคว้นม่อเป่ยเป็นสนมเองเสียแล้ว
จากนั้นก็ทำตามที่อาเยี่ยแนะนำพานางร่วมรักบนรถม้าดีหรือไม่?
น่าจะดี!
น่าหลานเยี่ยกลับมาหาเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยความเบิกบานใจ แต่กลับพบว่านางกำลังนอนพักผ่อน คงจะเหนื่อยล้า เขาจึงไม่อยากกวนใจนาง
หลายวันต่อมาขบวนเสด็จขององค์หญิงแห่งแคว้นม่อเป่ยนามว่า มู่หรงฮวาก็เดินทางมาถึง พร้อมกับ มู่หรงฟัง พี่ชายของนางซึ่งก็คือพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้มู่ไป่หรง น่าหลานหลิงหวางจ้องมองสตรีที่มีใบหน้างดงามด้วยแววตาที่เรียบเฉย เขาอยู่ในวังหลวงมานานได้พบเจอสาวงามมากมายเสียจนชินชา เขาเองยังไม่ได้รับนางเป็นสนม เพียงอยากให้นางใช้ชีวิตให้คุ้นเคยกับเฟิ่งหวงไปสักระยะหนึ่งเสียก่อน
น่าหลานหลิงหวางจัดงานเลี้ยงต้อนรับองค์หญิงม่อเป่ยอย่างสมเกียรติ น่าหลานเยี่ยเองก็พาเสวี่ยเอ๋อร์มาร่วมงานด้วย และนั่นเป็นครั้งแรกที่น่าหลานหลิงหวางได้พบกับเสวี่ยเอ๋อร์ชายาของน่าหลานเยี่ย
นับว่าน้องชายของเขายังสายตาดีไม่เบา สตรีนางนั้นช่างงดงามและสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งนัก
เสวี่ยเอ๋อร์นั่งเคียงข้างอยู่กับน่าหลานเยี่ย เขามิยอมให้นางห่างกายเลยแม้แต่น้อย
มู่หรงฮวาจ้องมองน่าหลานเยี่ยด้วยแววตาเป็นประกาย ชินอ๋องแห่งเฟิ่งหวงที่ผู้คนพากันเล่าลือช่างรูปงามราวเซียนสวรรค์ ถูกใจนางไม่น้อย นั่นคือสตรีที่ชินอ๋องพึงใจอยู่หรือ นางให้คนมาสืบเรื่องราวล่วงหน้าก่อนแล้ว แม้จะยังไม่รู้ฐานะของนางแน่ชัด แต่ได้ยินว่ายังมิได้อภิเษกสมรส หึ!!! ก็คงจะเป็นเพียงนางบำเรออุ่นเตียงเพียงเท่านั้น นางต่างหากคือชายาเอกที่แท้จริงของชินอ๋อง
มู่หรงฟังเองก็จ้องมองเสวี่ยเอ๋อร์อย่างไม่ละสายตาเช่นกัน ได้ยินมาว่านางเป็นชายาของชินอ๋องที่ยังมิได้อภิเษก เช่นนั้นเขาหาทางแย่งนางกลับไปแคว้นม่อเป่ยดีหรือไม่
มู่หรงฮวาและมู่หรงฟังลอบสบตากันก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นอันว่ารู้กันถึงแผนชั่วช้าที่ทั้งสองคิดเอาไว้ในใจ
การกระทำของคนทั้งสองอยู่ในสายตาของน่าหลานเยี่ยทั้งหมด เขาส่งเสียงเฮอะในลำคอ
เพิ่งจะเหยียบเข้ามาบนแผ่นดินเฟิ่งหวงวันแรก ก็คิดวางแผนบางอย่างเสียแล้ว! หึ! วางแผนไปเถิด หากคิดว่าจะหลบพ้นจากสายตาของข้าไปได้
น่าหลานเยี่ยมองไปที่น่าหลานหลิงหวาง ก่อนจะเหลือบมองฮองเฮาเพียงเล็กน้อย เห็นนางกำนัลมาช่วยพยุงนางกลับตำหนักเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างวิตกกังวล
อวิ๋นฮองเฮาเป็นฮองเฮาข้างกายของเสด็จพี่ นางเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นสตรีที่มีจิตใจเมตตาต่อทุกคน แต่น่าเสียดายที่พักหลังมานี้นางล้มป่วยกะทันหัน จึงไม่สามารถมีทายาทสืบราชบัลลังก์ได้ เหล่าขุนนางก็ส่งฎีกายื่นปลดนางไม่เว้นวัน เสด็จพี่เองก็รักนางไม่น้อย ถึงกับประกาศราชโองการออกไปว่าให้นางสนมทั้งหมดดื่มน้ำแกงคุมกำเนิดเสีย ห้ามสนมนางในคนใดตั้งครรภ์ก่อนอวิ๋นฮองเฮาเป็นอันขาด
หลังจากที่งานเลี้ยงเลิกรา น่าหลานเยี่ยกับเสวี่ยเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาหาน่าหลานหลิงหวางเพื่อเอ่ยร่ำลาขอตัวกลับตำหนัก เป็นมู่หรงฮวาที่เอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน
"นางบำเรอของชินอ๋องช่างงดงามไม่น้อย"
น่าหลานเยี่ยหันขวับไปมองมู่หรงฮวาทันที ก่อนจะจ้องมองนางด้วยสายตาที่ล้ำลึก
"นางมิใช่นางบำเรอ แต่นางเป็นชายาเอกของข้า"
"ยังมิได้อภิเษกมิใช่หรือเพคะ?"
"จะอภิเษกหรือไม่ มิใช่สิ่งที่เจ้าจะต้องสอดปากเข้ามาถาม หากเจ้ายังถามมากข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย ใบหน้าของเจ้างดงามไม่ได้ถึงครึ่งของชายาเอกข้าเลยแม้แต่น้อย หากจะเทียบกันแล้ว เจ้าก็งามเพียงเศษปลายเท้าของนางเพียงเท่านั้น"
"ชินอ๋องเอ่ยวาจาเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ"
มู่หรงฟังหันไปมองน่าหลานเยี่ยด้วยแววตาไม่พอใจเป็นอย่างมาก น่าหลานเยี่ยเองก็จ้องมองเขากลับอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน
"เจ้าก็ด้วย อย่าคิดเรื่องชั่ว ๆ ให้มันมากนัก หากไม่ฟังคำเตือนของข้า ข้าจะตัดหัวเจ้าส่งกลับไปแคว้นม่อเป่ยเสีย"
"ท่านกล้า โอ๊ย!!!"
"เจ้าคิดว่าข้ากล้าหรือไม่เล่า!!!"
น่าหลานเยี่ยคว้าดาบยาวที่เขาพกติดตัวเอาไว้ขึ้นไปพาดที่ลำคอของมู่หรงฟัง พร้อมกับกดคมมีดให้บาดลึกลงไปบนผิวหนังของมู่หรงฟัง แววตาของเขาเย็นชาจนมู่หรงฟังหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง เลือดสีแดงสดค่อย ๆ ไหลย้อมคมดาบจนแดงฉาน น่าหลานหลิงหวางที่เห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่เสียแล้วจึงรีบเอ่ยห้ามปรามน่าหลานเยี่ยทันที
"อาเยี่ยพอเถิด!"
"ดูแลแขกพิเศษของเสด็จพี่ให้ดีเถิด อย่าให้มายุ่งกับคนของข้า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน!!!"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะจับมือเสวี่ยเอ๋อร์เดินออกมา ใครที่มันกล้าคิดไม่ซื่อกับภรรยาของเขา เขาไม่มีทางปล่อยมันไปแน่
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น