น่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์หันมองหน้ากันไปมาด้วยความตื่นตระหนก จนแล้วจนรอดทั้งสองก็ไม่อาจทะลุมิติกลับไปยังเมืองหลวงเฟิ่งหวงได้
"เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?"
"นั่นสิเพคะ"
"อย่างนั้นเราจะกลับไปได้หรือไม่?"
เสวี่ยเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น นางเองก็ตอบไม่ได้เช่นเดียวกันว่ามันเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด คล้ายกับว่ามิติเวลาคู่ขนานจะเกิดปัญหา
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องนอนพลางครุ่นคิดไปต่าง ๆนานา จู่ ๆ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากท้องของน่าหลานเยี่ย เมื่อถูกสายตาของเสวี่ยเอ๋อร์จ้องมอง น่าหลานเยี่ยก็ส่งยิ้มให้นางคราหนึ่งด้วยความขัดเขิน เขาหิวนี่ ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินสิ่งใดเข้าไปเลย
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยกับเขาทันที
"ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้มีตลาดอยู่ ข้าจะไปตลาด"
"ข้าไปด้วย"
เสวี่ยเอ๋อร์จ้องมองน่าหลานเยี่ยตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ให้ตายเถิด หากพาไปด้วยในสภาพนี้คนต้องมองแปลก ๆ เป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเสวี่ยเอ๋อร์จึงจัดการแปลงโฉมน่าหลานเยี่ยใหม่ในทันที
น่าหลานเยี่ยมองดูตนเองผ่านกระจกด้วยความสงสัย ยามนี้เสวี่ยเอ๋อร์จัดการรวบเก็บผมของเขาขึ้นไปมัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ แรกเริ่มเขาขัดขืนนางอย่างสุดกำลัง แต่เมื่อนางจับหน้าเขากดกับหน้าอกจนหายใจไม่ออก เขาจึงไม่กล้าขัดขืนนางอีก
ยอม ๆ ไปเถิด!!! เกือบตายคาร่องนมแล้วไหมล่ะ!!!
"หล่อเท่มากเพคะ"
"เจ้าเอ่ยว่าอันใดนะ?"
"รูปงามมากเพคะ"
"โอ้ววว แน่นอนอยู่แล้ว"
"นี่คือเสื้อผ้าของพ่อเลี้ยงข้าเพคะ ท่านอ๋องนำไปสวมใส่ก่อน ไว้เรากลับจวนแล้วค่อยเปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิมนะเพคะ"
น่าหลานเยี่ยมองดูเสื้อผ้าบนโต๊ะก่อนจะส่ายหน้าไปมา
"ข้าไม่ชอบใส่เสื้อผ้าคนตาย"
"ใส่ไปก่อนเถอะเพคะ นี่ข้าหาชุดที่เข้ากับท่านอ๋องแล้วนะเพคะ นะ ๆ"
"ก็ได้"
น่าหลานเยี่ยรีบหยิบชุดนั้นเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำตามคำสั่งของเสวี่ยเอ๋อร์ ก่อนจะจ้องมองเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยความมึนงง
นี่มันคือสิ่งใดกัน ใส่เช่นไร?
อ้อ!!! ข้านึกออกแล้ว
เสวี่ยเอ๋อร์กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเนื่องจากนางกระหายน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับที่น่าหลานเยี่ยเปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางถึงกับสำลักน้ำ!!!
ตายแล้ว!!!
เขาเอากางเกงยีนไปใส่ที่แขนทั้งสองข้าง!!!
"เสวี่ยเอ๋อร์ชุดนี้ใส่ยากยิ่งนัก ดูสิ!!! ข้าสวมแล้วมันใส่ได้ถึงหัวไหล่ ชุดของพวกเจ้าแปลกประหลาดยิ่งนัก!!!"
"ไม่ใช่เพคะ!!! นี่คือกางเกง ใส่ที่ขา?"
"ที่ขา? มิใช่สวมที่แขนหรือ?"
เสวี่ยเอ๋อร์ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความจนใจ หากทำได้นางอยากยกเท้าก่ายหน้าผากตนเองแล้ว
หลังจากพยายามอธิบายให้น่าหลานเยี่ยเข้าใจ ไม่นานเขาก็พยักหน้า ก่อนจะเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดดังเดิม เสวี่ยเอ๋อร์จึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกรอบ
"ใส่แบบนี้หรือ?"
พรวด!!!
"อันใดกัน ข้าก็ใส่ตามที่เจ้าบอก"
เสวี่ยเอ๋อร์ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาสวมใส่อย่างนางแนะนำจริง ๆ เพียงแต่ว่าเขากลับไม่รูดซิปขึ้น แต่เอาลำแท่งสวรรค์โผล่ออกมาที่นอกกางเกงแทน
"ขบขันอันใดกัน คนยุคสมัยเจ้านี่ก็แปลกประหลาดดี ชอบอวดของลับกันหรือ จึงต้องใส่เสื้อผ้าที่อวดแท่งเนื้อยาว ๆ เช่นนี้"
"ไม่ใช่เพคะ!!! เอามันกลับเข้าไป๊!!!"
ท้ายที่สุดเสวี่ยเอ๋อร์ก็จัดการแต่งกายให้เขาแทน รู้อย่างนี้นางทำเองแต่แรกก็จบไปแล้ว
น่าหลานเยี่ยถูกจับแต่งตัวราวกับหุ่นลองเสื้อ เขาพยายามเดินหุบขาอย่างที่นางบอกแต่เพราะกางเกงมันคับแน่นมาก และเขาไม่คุ้นชิน ท่าเดินจึงดูแปลกประหลาดไม่น้อย
"ท่านอ๋องเดินดีดีสิเพคะ!!!"
"ก็มันแน่นนี่!!! ของข้าใหญ่อย่างกับท่อนแขน แต่เจ้าเอากางเกงแน่น ๆ มาให้ข้าสวมใส่ ข้าจึงต้องเดินถ่างขาเช่นนี้"
ให้ตายเถอะ!!! น่าขายหน้าชะมัด!!!
"รีบ ๆ ไปกันเถอะเพคะ จะได้รีบกลับ"
"อืม"
เสวี่ยเอ๋อร์จับมือของน่าหลานเยี่ยเอาไว้ ก่อนจะพาเขาเดินมาขึ้นรถที่หน้าบ้าน ในขณะที่รถแท็กซี่จอดเทียบข้างฟุตบาท น่าหลานเยี่ยก็หน้าซีดเผือดจนเสวี่ยเอ๋อร์ตกใจ
"เป็นอันใดหรือเพคะ?"
"ประหลาดเกินไปแล้ว น่ากลัวยิ่งนัก มันคือสิ่งใดกัน ดูสิมันมีตาด้วย ตาของมันสองข้างมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา"
เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว
"ไม่น่ากลัวหรอกเพคะ มากับข้า"
"เจ้าแน่ใจนะ มิใช่ว่ามันจะกินข้านะ"
"ไม่แน่นอนเพคะ"
น่าหลานเยี่ยยอมทำตามอย่างว่าง่าย เขาขึ้นไปนั่งในรถแท็กซี่ พลางจ้องมองเสวี่ยเอ๋อร์อย่างระแวดระวัง
"ไปไหนครับน้อง"
"ตลาดริมน้ำค่ะพี่"
คนขับรถแท็กซี่ปรายตามองน่าหลานเยี่ยคราหนึ่ง ก่อนจะขับรถออกไปทันที ไม่นานนักน่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์ก็มาถึงตลาดน้ำ
ระหว่างที่เดินซื้อของ เสวี่ยเอ๋อร์อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเพราะวีรกรรมของน่าหลานเยี่ย
นางจะไปซื้ออาหารตามสั่ง แต่เพราะน่าหลานเยี่ยเห็นว่ามีไฟลุกท่วมกระทะเขาจึงยกเท้าเตะกระทะจนกระเด็นลอยขึ้นฟ้า เด็กเสิร์ฟรีบถือจานวิ่งมารับผักบุ้งลอยฟ้า ก่อนจะหันมายกนิ้วโป้งให้น่าหลานเยี่ย
'ข้ากลัวไฟไหม้หน้าเจ้าจึงชิงเตะมันก่อน'
ผ่านไปไม่นานนางรู้สึกหิวน้ำจึงแวะร้านน้ำปั่น นางเกรงว่าเขาจะหิวน้ำจึงแบ่งให้เขากิน ผลก็คือเขาพ่นน้ำในปากใส่หน้าพ่อค้าขายน้ำ
'รสชาติบรรลัยเช่นนี้เจ้าก็ยังกินไปได้'
ร้านสุดท้ายนางแวะร้านลูกชิ้นปิ้ง น่าหลานเยี่ยเห็นว่ามันแปลกดีน่าลิ้มลองเขาจึงหยิบขึ้นมาไม้หนึ่งเข้าปากก่อนจะตาเหลือกค้าง คายลูกชิ้นออกมาต่อหน้านาง
'ร้อน ๆ ๆ ๆ!!!'
การเดินตลาดกับน่าหลานเยี่ยช่างบันเทิงเสียจริง!!!
"เกือบโดนพ่อค้าแม่ค้าไล่ตีแล้วรู้หรือไม่เพคะ"
"ขออภัยด้วย ก็ข้าไม่รู้นี่นา!!!"
เสวี่ยเอ๋อร์ค้อนควักใส่เขาก่อนจะหันไปมองหารถแท็กซี่เพื่อจะกลับบ้าน แต่แล้วสายตาของนางก็ไปพบกับหมอดูชราผู้นั้นที่นางเคยพบ!!!
"เสวี่ยเอ๋อร์!!!"
"ท่านอ๋องทางนี้เพคะ!!!"
เสวี่ยเอ๋อร์ดึงแขนน่าหลานเยี่ยให้เดินตามนางไปที่หมอดูชรานางนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"คุณป้าคะ"
หญิงชราเงยหน้ามามองเสวี่ยเอ๋อร์คราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้นางและสลับไปมองน่าหลานเยี่ย
"กลับไปไม่ได้เหรอแม่หนู"
"คุณป้ารู้เหรอคะว่าหนูไปที่ไหนมา!!!"
หญิงชราไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะหยิบกระดาษและปากกามาเขียนบางสิ่งบางอย่างแล้วส่งให้เสวี่ยเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์รับมันมาเปิดอ่าน ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
หิมะแรก!
"นี่คือ..."
"เมื่อถึงฤดูหนาวอีกครา ยามที่หิมะแรกโปรยปรายลงมาประตูมิติกาลเวลาจะเปิดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดลง หากไม่ทันระวังพลาดพลั้งกลับมาจะไม่สามารถกลับไปได้อีก"
"เอ๋?"
"นอกจากจะเป็นวันที่ประตูปิดลงแล้ว ยังจะเป็นวันที่หนูต้องเผชิญกับเคราะห์ใหญ่"
"เคราะห์ใหญ่?"
"ป้าบอกไม่ได้หรอก"
"แล้วทำไมตอนนี้หนูถึงกลับไปไม่ได้คะป้า"
"ประตูคู่ขนานมีห้วงเวลาของมัน ยิ่งใกล้ครบหนึ่งปี มิติเวลาจะเปิดช้าลง หนูข้ามไปกี่ครั้งแล้ว"
"เอ่อ จำไม่ได้ค่ะป้า ครั้งแรกหนูสงสัยเลยข้ามไปมาอยู่สองสามครั้ง รวมครั้งล่าสุดก็สี่ครั้งค่ะ"
"เหลืออีกสามครั้ง"
"สามครั้งเหรอคะ?"
หญิงชรายิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยต่อ
"ครั้งนี้ต้องรออีกเจ็ดวัน ประตูมิติจะเปิดออกอีกครา หากแม่หนูข้ามมาครั้งที่ห้าต้องรอถึงหนึ่งเดือนจึงจะกลับไปได้ ครั้งที่หกต้องรอสองเดือนประตูมิติจึงจะเปิด และครั้งสุดท้ายจงระวัง หิมะแรกของฤดูหนาว อย่าข้ามมาในวันนั้นเป็นอันขาด มิเช่นนี้เจ้าจะพลัดพรากจากคนที่รักไปตลอดกาล"
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือดทันที
"ขอถามอีกอย่างค่ะป้า ก่อนที่จะข้ามมาหนูรู้สึกว่าข้ามมาไม่ได้ แต่พอเกิดอาทิตย์ทรงกลดหนูกลับถูกดึงมาที่นี่"
หญิงชราจ้องมองเสวี่ยเอ๋อร์ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
"การจะข้ามมาได้แต่ละครั้ง ไม่อาจบอกได้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ใดขึ้น หนูต้องสังเกตมันด้วยตนเอง เมื่อมีวาสนาย่อมได้ครองคู่ หากไร้วาสนาก็คงแคล้วคลาดจากกัน ป้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวหรือบอกหนูได้มากกว่านี้อีกแล้ว"
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้หญิงชราเล็กน้อย ก่อนจะพาน่าหลานเยี่ยเดินจากไป
หญิงชรามองตามแผ่นหลังของคนทั้งคู่ก่อนจะเอ่ยออกมา
มีวาสนาได้เป็นเนื้อคู่ แต่ต้องผ่านเคราะห์กรรมร่วมกันจึงจะได้กลับไปเคียงคู่กันอีกครา
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น