เช้าวันต่อมาหลังจากรับสำรับยามเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์จึงขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปที่ท่าเรือทันที
ไม่นานนักรถม้าก็มาจอดเทียบท่าเรือ น่าหลานเยี่ยประคองเสวี่ยเอ๋อร์ลงมาจากรถม้า เสวี่ยเอ๋อร์ส่งยิ้มให้น่าหลานเยี่ย ก่อนจะมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่ตื่นเต้น
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มาเห็นท่าเรือจริง ๆ เช่นนี้ เทียบท่าเรือที่นี่ค่อนข้างใหญ่โต มีเรือหลายลำจอดเรียงรายกันอยู่ ผู้คนมากมายมีทั้งพ่อค้าจากต่างแคว้น และผู้คนที่แวะเวียนมาทำการค้า ที่นี่จึงค่อนข้างคึกคักไม่น้อย
"มาสิ ข้าจะพาเจ้าไปล่องเรือชมเมืองเฟิ่งหวงของข้า"
"เพคะ"
เสวี่ยเอ๋อร์ยื่นมือของนางไปจับมือของน่าหลานเยี่ยเอาไว้ ก่อนจะก้าวเดินลงเรือไปพร้อมกัน ภายในเรือกว้างขวางเป็นอย่างมาก บนโต๊ะวางอาหารและสุราชั้นดีเอาไว้ อีกทั้งที่นั่งก็วางเบาะรองนั่งอย่างดีเอาไว้เพื่อความสะดวกสบาย
"ท่านอ๋อง ช่างงดงามเหลือเกินเพคะ"
"ข้าสั่งให้คนมาแจ้งที่ท่าเรือเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เจ้าชอบหรือไม่?"
"ชอบเพคะ"
เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้มตาหยีพลางมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่เป็นประกาย นางนั่งลงก่อนยื่นมือไปเปิดผ้าม่านสีขาวที่หน้าต่างออกเล็กน้อย ภาพตรงหน้าทำให้นางถึงกับตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
เมืองเฟิ่งหวงแห่งนี้ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาเขียวขจี ท้องฟ้าในยามนี้แจ่มใสแม้จะยังมีหิมะตกโปรยปรายลงมาบ้าง เบื้องหน้าของนางคือสะพานหงเฉียวที่แสนงดงาม แม่น้ำที่นี่เป็นสีเขียวมรกตชวนให้หลงใหล เรือแล่นไปตามทิศทางคดโค้งของแม่น้ำ ตลอดสองข้างทางมีบ้านเรือนของราษฎร โรงเตี๊ยม เหลาสุรา ช่างเป็นภาพที่สวยงามอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
น่าหลานเยี่ยจ้องมองนางอย่างอ่อนโยน มีบางคราที่เขารู้สึกขบขันกับท่าทีซุกซนของนาง ความไร้เดียงสาและเป็นธรรมชาติในกายนาง มันทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
"คุณหนูเจ้าคะ นั่นชินอ๋องน่าหลานเยี่ยมิใช่หรือเจ้าคะ"
เสียงของสาวใช้ที่เอ่ยถาม ทำให้สตรีนางหนึ่งที่ได้ยินรีบหันไปตามทิศทางมือของสาวใช้ที่ชี้ตรงไปยังเรือลำหนึ่งที่กำลังล่องลอยอยู่กลางแม่น้ำสีเขียวมรกต นางจ้องมองน่าหลานเยี่ยด้วยแววตาเป็นประกาย ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้พบกับเสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ในเรือด้วย
"สตรีที่ใดกัน ข้าไม่คุ้นหน้านางเลย"
"นั่นสิเจ้าคะ"
สวีหลันฮวา มองเสวี่ยเอ๋อร์อย่างไม่ลดละ รู้สึกขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก
นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเสนาบดีกรมโยธา บิดาของนางมีหน้าที่ควบคุมการสร้างพระราชนิเวศน์ของฮ่องเต้ การก่อสร้างเขื่อน เหมือง และกำแพงเมือง ล้วนเป็นบิดาของนางที่ควบคุมสั่งการ อีกทั้งฮ่องเต้ก็ยังโปรดปรานบิดาของนางเป็นอย่างมากอีกด้วย
ยามนี้นางเพิ่งเดินทางกลับจากขอพรวัดไป๋หม่า เนื่องจากมารดาของนางไม่ค่อยสบาย นางจึงเดินทางไปไหว้ขอพรพระโพธิสัตว์ให้ช่วยคุ้มครองมารดาของนางให้มีอายุยืนยาว
คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับน่าหลานเยี่ยที่กำลังเสพสำราญอยู่บนเรือกับสตรีแปลกหน้านางนั้น
สวีหลันฮวากำมือแน่น เดิมทีนางแอบหลงรักน่าหลานเยี่ยมานานแล้ว ได้ยินท่านพ่อบอกว่าฮ่องเต้ทรงเอ่ยปากอยู่บ่อยครั้งว่าอยากให้น่าหลานเยี่ยแต่งกับนาง แต่จนแล้วจนรอดน่าหลานเยี่ยก็ไม่มีท่าทีใดต่อนางเลยสักนิด
"คุณหนูเจ้าคะรีบกลับจวนก่อนเถิด ป่านนี้ฮูหยิน คงรอท่านนานแล้ว"
"อืม"
สวีหลันฮวาจำใจต้องกลับจวนก่อนทั้งที่ในใจของนางอยากจะอยู่รอน่าหลานเยี่ย เพื่อถามความกับเขาให้รู้เรื่องว่าสตรีนางนั้นเป็นผู้ใดกันแน่
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม น่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์ก็กลับขึ้นมาบนฝั่ง การที่ได้ล่องเรือชมความงามโดยรอบ ทำให้เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
"ไว้คราวหน้าข้าจะพาเจ้ามาอีก"
"เพคะ"
"เจ้าหิวหรือไม่ ที่ด้านหน้าไม่ไกลมีภัตตาคารหงอี้ เป็นภัตตาคารที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารรสเลิศ ข้าจะพาเจ้าไปลองชิมดู เผื่อว่าเจ้าจะชอบ"
เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้มให้น่าหลานเยี่ยเล็กน้อย ก่อนจะเดินเคียงคู่ไปกับน่าหลานเยี่ย ผ่านร้านค้าสองข้างทางที่มีสินค้าและอาหารมากมายวางขายละลานตา
"นี่พระชายาข้าเอง"
น่าหลานเยี่ยหันไปเอ่ยกับพ่อค้าแม่ค้าที่มองมาด้วยความสงสัย เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ใบหน้าสวยหวานของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ เพราะตลอดทาง น่าหลานเยี่ยเอาแต่เอ่ยปากว่านางเป็นพระชายาของเขา
ภัตตาคารหงอี้
น่าหลานเยี่ยมองดูเสวี่ยเอ๋อร์ที่ใช้ตะเกียบคีบอาหารจานนั้นจานนี้เข้าปากอย่างมีความสุข เขารู้สึกสบายใจไม่น้อยที่นางปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมของเขาได้
"เฮ้อ อิ่มจังเลยเพคะ"
"ข้าดีใจที่เจ้าชอบ"
น่าหลานเยี่ยยิ้มให้เสวี่ยเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินออกมาจากภัตตาคารหงอี้ น่าหลานเยี่ยหันไปมองโดยรอบก่อนจะเอ่ยกับนาง
"รอข้าตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปรับสินค้าที่ร้านฝั่งตรงข้ามอีกเดี๋ยวจะกลับ"
"เพคะ"
เสวี่ยเอ๋อร์มองดูน่าหลานเยี่ยที่เดินเข้าไปยังร้านเครื่องประดับฝั่งตรงข้าม ก่อนจะหันไปมองโดยรอบ ยามนี้นางกำลังยืนอยู่ที่หน้าภัตตาคารหงอี้ ผู้คนขวักไขว่ไปมาจนนางตาลาย
"แม่นาง มากินอาหารที่นี่ด้วยหรือ?"
เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันนิ่งชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยทักทาย นางหันไปมองก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่น
มู่หรงฟัง!
องค์ชายจากต่างแคว้นที่นางเคยพบยามที่ไปวังหลวงกับน่าหลานเยี่ยนางจำเขาได้
"ถวายพระพรองค์ชายเพคะ"
"แม่นางไม่ต้องมากพิธี"
มู่หรงฟังจ้องมองเสวี่ยเอ๋อร์ขึ้นลงอย่างพิจารณา ก่อนจะลอบยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ เขาเองรู้สึกชอบนางตั้งแต่พบกันในวังหลวงครานั้น น่าเสียดายที่นางตกเป็นของน่าหลานเยี่ยบุรุษบัดซบผู้นั้นไปเสียแล้ว
แต่ก็เป็นเพียงนางบำเรอไม่ได้แต่งงานเป็นพระชายาเสียหน่อย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น มู่หรงฟังจึงยื่นมือเข้าไปหาเสวี่ยเอ๋อร์ หวังจะสัมผัสแก้มขาวเนียนของนางเสียหน่อย
พลั่ก!!!
"โอ๊ะ!!!"
แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะได้สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวนาง ปลายเท้าของน่าหลานเยี่ยก็เตะเสยเข้าที่ปลายคางของเขาอย่างเต็มแรง จนเขามึนงงไปชั่วขณะ กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ก็พบว่ามีโลหิตสด ๆ ไหลออกมาจากจมูกของเขาเสียแล้ว
"ชินอ๋อง!!!"
"คิดจะทำสิ่งใด กล้ามาแตะต้องพระชายาของข้า อยากตายหรือ!!!"
"พระชายา"
"ใช่!!! นางเป็นพระชายาของข้า"
"พระชายาที่ยังไม่ได้ถูกยอมรับตามธรรมเนียมของราชวงศ์น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ"
พลั่ก!!!
น่าหลานเยี่ยโมโหสุดขีดแล้ว เขาจึงเตะเสยปลายคางมู่หรงฟังเข้าไปอีกหนึ่งคำรบ จนมู่หรงฟังตาลอยล้มพับลงไปกองกับพื้นหมดสติอย่างน่าเวทนา
"ท่านอ๋อง!!!"
"ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่ ใครที่มันกล้ามาทำร้ายเจ้า ข้าจะฆ่ามัน กลับจวนกันเถิด"
น่าหลานเยี่ยจับมือของเสวี่ยเอ๋อร์เดินตรงไปที่รถม้าซึ่งจอดรออยู่ไม่ไกล ก่อนจากเขายังหันไปเตะแผ่นหลังของมู่หรงฟังให้คลายโทสะอีกครา
จวนตระกูลสวี
"ว่าอย่างไรนะ พระชายา!!! เจ้าบอกว่านางเป็นพระชายาของชินอ๋องอย่างนั้นหรือ!!!"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
สวีหลันฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะขว้างปาข้าวของในเรือนจนตกแตกเสียหาย นางให้คนไปตามสืบมาจนได้ความเช่นนี้ มันน่าเจ็บใจนัก นางจะต้องรู้ให้ได้ว่าสตรีแพศยานางนั้นมันเป็นบุตรีจวนตระกูลใด!
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น