น่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์กลับมาถึงบ้าน ก่อนจะกินอาหารรองท้องเพราะนางหิวเหลือเกิน น่าหลานเยี่ยดูจะสนใจอาหารที่นางซื้อมาเป็นอย่างมาก เขากิน ๆ คาย ๆอยู่เช่นนั้นจนนางอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าพูดกับหญิงชราผู้นั้นเรื่องใดกันหรือข้าฟังไม่เข้าใจ"
อยู่ ๆ น่าหลานเยี่ยก็เอ่ยถามเสวี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา นางที่กำลังตักอาหารกินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พลางครุ่นคิดในใจ
นางจะบอกเขาดีหรือไม่นะ?
"ว่าอย่างไรเล่า?"
"อ้อ ไม่มีสิ่งใดเพคะ นางบอกเพียงว่าให้หม่อมฉันระวังภัย อาจจะมีเคราะห์เล็กน้อย"
"เท่านั้นเองหรือ"
"เพคะ"
เสวี่ยเอ๋อร์หลีกเลี่ยงที่จะไม่บอกว่าหญิงชรานางนั้นเอ่ยเช่นใดบ้าง นางไม่อยากให้เขาคิดมากเพราะนาง น่าหลานเยี่ยเองก็พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยถามเอาความใดกับนางอีกแม้เพียงครึ่งคำ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่เจ็ด ในขณะที่น่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอน พลางสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย อยู่ดีดีน่าหลานเยี่ยก็หันมาเอ่ยกับเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยความดีใจ
"เสวี่ยเอ๋อร์!!! เจ้าได้ยินเสียงระฆังกระดิ่งหรือไม่?"
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน นางพยายามเงี่ยหูฟัง ก่อนจะยิ้มออกมา
"จริงด้วยเพคะ"
"เราลองหาทางกลับกันอีกสักคราเถิด"
"เพคะ ข้าจะไปเก็บของเดี๋ยวนี้"
"ข้าช่วยเจ้าเอง"
เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะรีบช่วยกันกับน่าหลานเยี่ยเก็บของทุกอย่างใส่ลงไปในกระเป๋าให้เรียบร้อย ในใจของนางอดที่คิดถึงหญิงชราผู้นั้นไม่ได้ เป็นอย่างที่หญิงชราหมอดูบอกไว้ไม่มีผิด พอครบเจ็ดวันประตูมิติเวลาก็เปิดออกอีกครา
นางเองก็ลืมถามไปเสียสนิทใจว่า หากเลยเวลากำหนดกลับจะเป็นเช่นไร
แต่ช่างมันเถิด ขอเพียงนางกลับให้ตรงเวลาทุกคราที่มีเสียงระฆังกระดิ่งดังมาจากในภาพวาดก็เพียงพอแล้ว
"เราไปกันเถิด"
"เพคะ"
น่าหลานเยี่ยจับมือเสวี่ยเอ๋อร์เอาไว้แน่น ก่อนจะยื่นมืออีกข้างแตะไปที่ภาพวาดภาพนั้น ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล ดึงร่างของคนทั้งสองให้หายเข้าไปในภาพวาดอย่างน่าอัศจรรย์
ซ่า!
"ท่านอ๋อง ฝนตกเพคะ"
"รีบเข้าจวนเถิด อากาศหนาวเจ้าจะไม่สบายเอาได้"
เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้ามาในจวนทันที นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ยามนี้เป็นฤดูหนาวแท้ ๆ แต่กลับมีพายุฝนมืดครึ้มขึ้นได้
"ท่านอ๋อง!!! ทรงหายไปที่ใดมาหรือพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมตามหากันแทบแย่ หากท่านอ๋องยังไม่กลับมากระหม่อมจะเข้าวังไปกราบทูลฝ่าบาทแล้ว โอ๊ะ! เหตุใดอาภรณ์จึงเปียกชุ่มเช่นนี้"
"อย่าถามให้มากความ เตรียมน้ำร้อนให้ข้ากับพระชายา เร็วเข้า"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
เมื่อได้แช่น้ำร้อนแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้สึกอบอุ่นคลายหนาวลงไปได้บ้าง ยามนี้นางกำลังนั่งหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่หญิงชราเอ่ย
เมื่อหิมะแรกของฤดูหนาวมาเยือนอีกครา นางห้ามข้ามเวลากลับไปยังโลกอนาคตเป็นอันขาด!!!
หากนางจำไม่ผิด เท่าที่นางอ่านเจอในบันทึกต่าง ๆ ของเมืองจีน ส่วนใหญ่หิมะแรกจะตกโปรยปรายลงมาในวันลี่ตง วันแรกของฤดูหนาว
เสวี่ยเอ๋อร์พยายามท่องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ หากฤดูหนาวเวียนมาถึงอีกครา วันลี่ตงนางจะไม่ออกไปที่ใดจะเก็บตัวเงียบไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีก
"คิดสิ่งใดอยู่หรือ?"
เสวี่ยเอ๋อร์ถูกดึงออกจากภวังค์ของความคิดเพราะถูกน่าหลานเยี่ยโอบกอดจากทางด้านหลัง เขาเอาคางมาเกยที่หัวไหล่ขาวเนียนของนาง พลางกระซิบเอ่ยถามนางด้วยความห่วงใย เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
"คิดเรื่องใดไปเรื่อยเปื่อยน่ะเพคะ"
"ข้าคิดว่าเจ้าคิดถึงข้าเสียอีก"
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างเขินอายคราหนึ่ง น่าหลานเยี่ยดึงนางมานั่งบนเตียง ก่อนจะเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"เมื่อครู่ข้าเรียกบ่าวไพร่มาสั่งการ"
"สั่งการเรื่องใดหรือเพคะ"
"ข้าจะทำห้องอุ่นให้เจ้า"
"ห้องอุ่น คือสิ่งใดกันเพคะ"
"เป็นห้องที่ใช้สำหรับฤดูหนาว เดิมทีข้าเคยชินกับอากาศเช่นนี้จึงไม่ได้คิดทำมันเอาไว้ แต่ยามนี้ข้าพาเจ้ามาอยู่ด้วยแล้ว ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขที่สุด ยามที่อากาศหนาวมาก ๆ เจ้าก็ไปพักอยู่ในห้องนั้น เจ้าจะได้ไม่ล้มป่วย"
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองน่าหลานเยี่ยด้วยแววตาที่ปลื้มใจเป็นอย่างมาก
"เหตุใดท่านจึงดีต่อข้ายิ่งนัก"
น่าหลานเยี่ยยื่นมือมาลูบแก้มของนางก่อนจะเอ่ยตอบ
"เพราะว่าข้ารักเจ้า รัก อย่างที่ไม่เคยรักสตรีใดในแผ่นดินนี้มาก่อน ข้าไม่มีทางยอมให้สตรีที่ข้ารักต้องทุกข์ใจหรือลำบากกายเป็นอันขาด"
เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้มให้เขา ก่อนจะโผเข้าไปกอดน่าหลานเยี่ย นางซบใบหน้าสวยลงไปบนแผงอกของเขา ความอบอุ่นจากกายของเขามันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
นี่นางมิได้ฝันไปใช่หรือไม่?
หรือหากว่านี่เป็นความฝัน นางเองก็ไม่อยากจะตื่นเลย!
"เสวี่ยเอ๋อร์"
"เพคะ"
"อย่ากอดนาน ข้าแข็ง"
เสวี่ยเอ๋อร์ "..."
หลายวันต่อมา
หลายวันมานี้เสวี่ยเอ๋อร์เริ่มคุ้นชินกับขนบธรรมเนียมของเฟิ่งหวงมากขึ้นไม่น้อย น่าหลานเยี่ยสั่งให้จ้าวหมัวหมัวที่เคยเป็นแม่นมของตนมาช่วยดูแลและชี้แนะนางในหลาย ๆ เรื่อง เหล่าสาวใช้และบ่าวไพร่ที่เคยมองนางด้วยสายตาที่แปลกประหลาด ต่างก็ไม่กล้าแสดงท่าทีอันใดต่อนางอีก
วันนี้นางสวมใส่ชุดสีชมพูปักลวดลายดอกกุ้ยฮวา เสวี่ยเอ๋อร์กำลังนั่งมองจ้าวหมัวหมัวที่สอนนางเย็บปักผ้าเช็ดหน้าอย่างละเอียดลออ เสวี่ยเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาคราหนึ่งก่อนจะครุ่นคิดในใจ
นางไม่มีความรู้เรื่องงานบ้านงานเรือนพวกนี้เลย ช่วงชีวิตสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หากไม่เล่นเกม ออกกำลังกาย ดูซีรีส์ นางก็ไปเรียนศิลปะการต่อสู้ แม้นางจะเป็นคนที่ตัวเล็กไปเสียหน่อย แต่นางก็เคยต่อยตีกับผู้ชายสมัยเรียนอยู่บ่อยครั้ง
"พระชายา ทรงตั้งใจหน่อยสิเพคะ"
จ้าวหมัวหมัวเอ่ยกับเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงที่ตำหนิ เดิมทีนางพอรู้เรื่องของสตรีนางนี้มาบ้าง ได้ยินว่าเป็นสตรีที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน มาจากเมืองใดก็ไม่อาจทราบได้ สำเนียงการพูดการจาก็ฟังดูแปลกประหลาด ทั้งที่ยังไม่เข้าพิธีแต่งงาน แต่ท่านอ๋องกลับยกย่องเป็นพระชายาเอกอย่างออกนอกหน้า นางเองเป็นเพียงบ่าวย่อมมิอาจเอ่ยปากทัดทานเรื่องใดได้ ทำได้เพียงรับใช้สตรีนางนี้ตามคำสั่งของท่านอ๋อง
"ข้าไม่ถนัดงานพวกนี้"
"ไม่ได้นะเพคะ เป็นสตรีต้องทำสิ่งเหล่านี้ได้ดี มิเช่นนั้นจะปรนนิบัติท่านอ๋องได้เช่นไร"
เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางถอนหายใจออกมาอีกคราหนึ่ง จ้าวหมัวหมัวคิดจะตำหนิเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา แต่กลับได้ยินเสียงของน่าหลานเยี่ยเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"หากเจ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ พระชายาของข้าไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งพวกนี้ จวนเรามีบ่าวไพร่มากมาย ใช้พวกนางเสียก็สิ้นเรื่อง แม่นมท่านออกไปก่อนเถิด"
"เพคะท่านอ๋อง"
เมื่อจ้าวหมัวหมัวออกไปแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงเดินเข้ามาหาเสวี่ยเอ๋อร์ ก่อนจะกอดนางเอาไว้อย่างทะนุถนอม
"พระชายาของข้ามิชอบงานเย็บปักเฉกเช่นสตรีทั่วไป เช่นนั้นเจ้าชอบสิ่งใดกัน"
เสวี่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้น่าหลานเยี่ย ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ข้าได้ยินสาวใช้พูดคุยกัน ว่าเฟิ่งหวงมีการเปิดให้เช่าเรือเพื่อชมทิวทัศน์และเมืองโดยรอบ ข้าอยากไปเพคะ ท่านอ๋องพาข้าไปได้หรือไม่?"
น่าหลานเยี่ยที่ได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นก็ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนคราหนึ่ง ก่อนจะโน้มใบหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของนางด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์
"ย่อมได้ แต่ก่อนจะไป เจ้าต้องจ่ายค่าเหนื่อยมาให้ข้าเสียก่อน"
"ค่าเหนื่อยหรือเพคะ?"
ไม่รอให้เสวี่ยเอ๋อร์ได้เอ่ยถามสิ่งใดต่ออีก น่าหลานเยี่ยก็โน้มใบหน้าเข้ามาหานางก่อนจะทาบทับริมฝีปากหนาใหญ่ของตนลงไปบนริมฝีปากบางสวยของนางอย่างรวดเร็ว
เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ตกใจไม่น้อย เมื่อตั้งสติได้ นางจึงยื่นมือไปโอบรอบลำคอของเขา ริมฝีปากแดงสดเผยอตอบรับรสจูบที่แสนเร่าร้อนของเขาอย่างรู้งาน
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมามากขึ้นจนพื้นดินทุกหย่อมหญ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวสะอาดตา ความเย็นแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ แต่ทว่าภายในห้องนอนของน่าหลานเยี่ยและเสวี่ยเอ๋อร์กลับอบอุ่นไปด้วยไฟแห่งความรักและความปรารถนา
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น