หยางเฟยอวี่ขมวดคิ้ว หงุดหงิดจนแทบระเบิด วันนี้เขามีนัดเจรจาธุรกิจสำคัญ แต่ต้องมาถูกลูกพี่ลูกน้องตัวดีลากมาสนามบินเพื่อรับเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย หากไม่ใช่เพราะอยู่ในสถานที่พลุกพล่านแบบนี้ เขาคงหยิบบุหรี่ขึ้นมาอัดควันลึกเข้าปอด เพื่อระบายความอึดอัดใจให้หายไปเสียที
"ถ้าเหมยเหมย... กลับมาคราวนี้ ผมจะสารภาพรัก ขอเธอเป็นแฟนให้ได้เลย!" หยางจื่อ ลูกพี่ลูกน้องของเขายังคงพูดเพ้อฝันถึงหญิงสาวในดวงใจไม่หยุด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
หยางเฟยอวี่ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือ การต้องเสียเวลารับฟังเรื่องรักใส ๆ แบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเวลาของตัวเองกำลังถูกสูญเปล่า
"หยางจื่อ นายจะบอกว่าให้ฉันยืนรอนางฟ้าของนายอีกนานแค่ไหน?" เขาเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความประชด "ขอเตือนก่อนนะ ถ้าอีกสิบนาทีเธอยังไม่มา ฉันไปแน่"
หยางจื่อหันมายิ้มแห้ง ๆ แล้วรีบปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น "แป๊บเดียวเองพี่ใหญ่ ผมมั่นใจว่าเหมยเหมยลงเครื่องแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็ถึงแน่!"
หยางเฟยอวี่ยกมือขึ้นกอดอก กวาดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมาในสนามบินอย่างเบื่อหน่าย ในใจได้แต่คิดว่าหญิงสาวที่ชื่อจ้าวเหมยคนนี้คงมีอะไรพิเศษมาก ถึงทำให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาหมกมุ่นถึงเพียงนี้
เวลาผ่านไปสิบห้านาที แต่ยังไม่มีวี่แววของหญิงสาวที่หยางจื่อพร่ำเพ้อถึง หยางเฟยอวี่เหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ก่อนเหยียดยิ้มบาง ๆ อย่างเย้ยหยัน
"หมดเวลา" หยางเฟยอวี่พูดเสียงเย็น แล้วหันหลังเดินออกจากโซนวีไอพีทันที ปล่อยให้หยางจื่อยืนหน้าซีดอยู่ข้างหลัง เพราะรับปากกับหญิงสาวว่าตนจะพาพี่ใหญ่คนนี้มาด้วย จ้าวเหมยที่คลั่งไคล้หยางเฟยอวี่จึงยอมกลับมาก่อนกำหนดการถึงครึ่งเดือน
เท้ายาวของเขาก้าวผ่านฝูงชนที่แน่นขนัดในสนามบิน ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนกันไปมา บางคนหยุดชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทพอดีตัวที่เผยให้เห็นรูปร่างสมส่วนราวกับนายแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบใต้สูททำให้เขาดูเรียบง่ายแต่แฝงความทรงอำนาจ
เบื้องหลังชายหนุ่มร่างสูง มีผู้ติดตามอีกสามคนที่เดินอย่างพร้อมเพรียง ท่าทางสุขุมแต่เคร่งขรึมเสริมให้ภาพลักษณ์ของเขาดูใหญ่โตน่าเกรงขาม เสียงรองเท้าหนังของหยางเฟยอวี่กระทบพื้นหินอ่อนดังก้องเบา ๆ ในจังหวะที่สม่ำเสมอ บ่งบอกถึงความมั่นใจในทุกก้าว
เขาไม่เสียเวลาหันกลับไปมองหยางจื่ออีกครั้ง แม้จะได้ยินเสียงเรียกอย่างร้อนรนจากด้านหลัง หยางเฟยอวี่ในตอนนี้มีจุดมุ่งหมายเดียว—การเจรจาธุรกิจที่เขาไม่อาจปล่อยให้ล้มเหลวเพราะความไร้สาระของลูกพี่ลูกน้องที่ยังไม่รู้จักโต
“ท่านครับ เลขาคุณสวีโทรมาขอเลื่อนเวลานัดออกไปอีกสองชั่วโมงครับ” มู่เจิ้ง เลขาคนสนิทก้าวเข้ามากระซิบรายงาน หยางเฟยอวี่ที่นั่งอยู่ในรถพยักหน้ารับ ขณะที่คิ้วที่เคยขมวดแน่นคลายลงเล็กน้อย
รถคันหรูแล่นออกจากสนามบินอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เห็นร้านขายดอกไม้ริมทาง หยางเฟยอวี่สั่งให้คนขับหยุดรถ ร่างสูงก้าวลงจากรถอย่างสง่างาม ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมา
เขาเดินเข้าไปในร้านอย่างไม่เร่งรีบ กลิ่นหอมละมุนจากดอกไม้นานาชนิดลอยอบอวลไปทั่ว พนักงานสาวที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ยิ้มอย่างเขินอายเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปหล่อในชุดสูทเต็มยศเดินเข้ามา
“รอสักครู่นะคะ คุณลูกค้าสามารถเดินชมดอกไม้ได้ตามสบายเลยค่ะ” เสียงของเธอแจ่มใส ทว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก เธออดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้หล่อเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นของใคร
หยางเฟยอวี่พยักหน้าเพียงน้อย ๆ ก่อนเดินทอดน่องไปตามทางเดินในร้าน เขาไม่ได้สนใจดอกไม้สวยงามรอบตัวมากนัก ทว่าทันใดนั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แตกต่างจากกลิ่นดอกไม้อื่น ๆ ก็ลอยเข้ามาในจมูก
ชายหนุ่มหยุดชะงัก หันมองรอบตัวเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจก้าวตามหาต้นตอของกลิ่นนั้น เสียงฝีเท้าของเขาเงียบกริบ ท่ามกลางบรรยากาศสงบที่ผู้คนกำลังเลือกซื้อดอกไม้อย่างเพลิดเพลิน หยางเฟยอวี่กลับเดินลึกเข้าไปยังมุมด้านในสุด
หัวใจของเขาเริ่มเต้นในจังหวะที่ไม่ปกติ ตาคมกวาดมองจนกระทั่งหยุดที่แผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่ง
เธอมีผมยาวสีน้ำตาลอ่อนเรียบลื่นยาวจรดเอว เรือนร่างบอบบางอยู่ในชุดเดรสสีขาวสะอาดตาที่ตัดกับสีสันของดอกไม้รอบตัว นิ้วเรียวเล็กกำลังบรรจงจัดเรียงดอกไม้ในตะกร้าอย่างงดงาม
หยางเฟยอวี่ยืนนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาคมจ้องมองภาพเบื้องหน้า รู้สึกเหมือนเวลารอบตัวหยุดนิ่ง กลิ่นหอมประหลาดที่ลอยมาก่อนหน้านี้กลับชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใกล้หญิงสาวคนนี้
เขาไม่รู้ว่าทำไม หัวใจที่เย็นชาเสมอมากลับเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
“เมี้ยว”ลูกแมวตัวสีขาวเดินออกจากมุมห้องเข้ามาคลอเคลียข้อเท้าของหญิงสาว เสียงหัวเราะปนเอ็นดูดังขึ้น
“มิวมิวอย่าซนสิ ฉันกำลังทำงานอยู่นะ”ภาษาไม่คุ้นหูดังขึ้น ภาษาแปลกหูหลุดออกจากริมฝีปากบาง ปราณปรียาวางดอกไม้ในมือลงชั่วครู่ ก่อนก้มลงอุ้มลูกแมวตัวน้อยขึ้นมาแนบอก เธอเอ่ยเสียงนุ่มเบา พลางลูบขนนุ่มฟูของมันด้วยความรักใคร่ เมื่อเธอหันกลับมาเพื่อจัดดอกไม้ต่อ รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าจางหายไปทันที เมื่อพบว่ามีชายหนุ่มไม่คุ้นหน้าในชุดสูทยืนอยู่ด้านหลัง
“เอ่อ คุณลูกค้าต้องการดอกไม้ชนิดไหนคะ”ปราณปรียาเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาจีนอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มแต่งแต้มมุมปากตามารยาท หยางเฟยอวี่ที่กำลังเหม่อลอยพลันได้สติขึ้นมา นิ้วเรียวยาวชี้ไปทางหญิงสาว
“ผมอยากได้ดอกไม้ช่อนี้ครับ”
ดวงตาของปราณปรียาไหวเล็กน้อย เธอเอียงคออย่างสงสัย แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม หญิงสาวก้มลงวางลูกแมวตัวน้อยบนพื้นเบา ๆ ก่อนหมุนตัวไปเลือกดอกไม้จากชั้นด้านหลัง หยางเฟยอวี่มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของเธออย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคมสะท้อนแสงอ่อนจากหน้าต่างกระจก
แต่หยางเฟยอวี่ไม่ได้มีท่าทางคุกคามแต่อย่างใด จึงทำให้หญิงสาวปล่อยผ่านพฤติกรรมอันแสนประหลาดนี้ไปอย่างง่ายดาย
เมื่อช่อดอกไม้เสร็จเรียบร้อย ปราณปรียาเดินนำไปยังหน้าเคาน์เตอร์โดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม หยางเฟยอวี่เดินตามหลังเธอเป็นเงาตามตัว หญิงสาวรู้สึกงุนงงกับพฤติกรรมของชายหนุ่มเล็กน้อย แต่เมื่อมองดูเขาอีกครั้ง เธอพบว่าแววตานั้นไม่ได้แสดงความคุกคามหรือมีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใด ความสงสัยในใจจึงค่อย ๆ จางลง
“รับการ์ดไหมคะ?” ปราณปรียาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ขณะใช้ปลายนิ้วเรียวกดเครื่องคิดเงินเพื่อคำนวณราคาดอกไม้
หยางเฟยอวี่นิ่งไปชั่วอึดใจ ราวกับคำถามเรียบง่ายนั้นต้องใช้เวลาครุ่นคิด เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาคมจับจ้องไปที่ใบหน้าสวยหวาน
“ไม่ครับ”
ปราณปรียาไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม เธอเพียงยื่นช่อดอกไม้ให้เขา พร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ พร้อมกับพูดทิ้งท้ายตามมารยาท
“ขอบคุณค่ะ แล้วแวะมาอุดหนุนอีกนะคะ”
หยางเฟยอวี่รับช่อดอกไม้จากมือเธอ ปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสกับหลังมืออุ่นของปราณปรียาโดยบังเอิญ แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ หัวใจของเขากลับกระตุกวูบ ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทำให้เขาชะงักเล็กน้อย แต่ใบหน้าคมยังคงความเรียบนิ่ง
เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากร้านไป
เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นเบา ๆ ตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเขา ร่างสูงในชุดสูทสีเข้มเดินลับออกไปอย่างสง่างาม ปราณปรียายืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาของเธอมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ค่อย ๆ หายเข้าไปในรถคันหรู
หัวใจของเธอเต้นในจังหวะที่แปลกไป ไม่ใช่เพราะความหวั่นไหว แต่เป็นเพราะความรู้สึกไม่คุ้นเคยบางอย่างที่เกิดขึ้นในชั่ววินาทีนั้น
“เมี้ยว”
เสียงร้องแหลมเล็กของเจ้ามิวมิวดึงเธอกลับมาจากภวังค์ ลูกแมวตัวน้อยเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาใกล้ ก่อนกระโดดขึ้นมาบนเคาน์เตอร์อย่างคล่องแคล่ว
“มิวมิว มาเล่นตรงนี้ไม่ได้นะ” ปราณปรียายิ้มพลางลูบหัวมันเบา ๆ
เธอหยิบมันขึ้นมาอุ้มแนบอก แล้วหันกลับไปที่ดอกไม้ในตะกร้าซึ่งยังจัดไม่เสร็จ ปล่อยให้เสียงหัวใจที่เคยเต้นแผ่วค่อย ๆ สงบลงไปทีละน้อย
นับแต่ค่ำคืนแสนหวานวันนั้น ดูเหมือนว่าหยางเฟยอวี่จะทำตัวติดปราณปรียามากขึ้นจนเกือบจะทุกที่ แม้แต่ในช่วงเวลาที่เธอทำงานอยู่ที่ร้านดอกไม้ฮวาฮวา ชายหนุ่มมักหาเหตุผลโดดงานแวะเวียนมาหาเธอเสมอ แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือความหึงหวงที่แสดงออกอย่างไร้เหตุผลครั้งนี้ก็เช่นกัน…ปราณปรียาที่กำลังง่วนกับการจัดดอกไม้ให้ลูกค้าชายหนุ่มคนหนึ่งสังเกตได้ถึงสายตาคมกริบของหยางเฟยอวี่ที่จ้องมองลูกค้าอย่างไม่วางตา แม้กระทั่งตอนที่เธอส่งเงินทอนให้ลูกค้า เขาก็ยังยืนกอดอกอยู่มุมร้าน ดวงตาวาวโรจน์ราวกับจะขุดประวัติของชายหนุ่มคนนั้นออกมาให้เมื่อส่งลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านได้สำเร็จ ปราณปรียาก็หันกลับมามองคนตัวสูงที่ยังคงยืนทำหน้าตาไม่พอใจอยู่ที่เดิม เธอเดินตรงเข้าไปหาเขา พลางถอนหายใจอย่างระอา“พี่เฟยอวี่คะ ถ้ายังทำแบบนี้อีก คืนนี้ปริมจะให้ไปนอนข้างนอก!” หญิงสาวพูดเสียงเขียว พลางจ้องเขาด้วยสายตาตำหนิหยางเฟยอวี่นิ่วหน้า มองคนรักอย่างไม่ยอมแพ้ “ปริมไม่เห็นเหรอครับ ว่าหมอนั่นมองปริมยังไง?”“เขาไม่ได้มองอะไรปริมเลยค่ะ เขาแค่มาซื้อดอกไม้เท่านั้นเอง!”ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่จริงครับ พี่เห็นชัด ๆ เขาแอบมองปริมตั้งแต่เดิ
ปราณปรียาที่ดื่มไวน์ไปสองแก้วตามคำชวนของคุณนายหยางเริ่มรู้สึกคอพับเล็กน้อย ถึงแม้จะพยายามตั้งสติ แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว หยางเฟยอวี่สังเกตเห็นอาการของเธอจึงรู้สึกว่าเป็นเวลาที่ควรจะพาเธอกลับคอนโด“วันนี้ค้างที่บ้านก็ได้นะ ไม่เห็นต้องรีบกลับคอนโดเลย” คุณนายหยางพูดขึ้นขณะที่เดินมาส่งลูกชายที่หน้าประตู ริมฝีปากของเธอยังคงบ่นน้อยใจเล็กน้อยเพราะเห็นลูกชายรีบพาหญิงสาวกลับหยางเฟยอวี่ที่กำลังช่วยปราณปรียาใส่เข็มขัดนิรภัยหันมาตอบผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล “พรุ่งนี้น้องปริมมีเรียนแต่เช้าครับ ที่นี่ห่างจากมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก ผมกลัวว่าน้องปริมจะไปไม่ทัน”คุณนายหยางพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ไม่วายหรี่ตามองลูกชาย “คิดว่าแม่ไม่รู้นิสัยแกเรอะ” เธอพูดก่อนจะหยิกไปที่ต้นแขนของลูกชายเบา ๆ รอยยิ้มอ่อน ๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าเธอ“ลานะครับ” หยางเฟยอวี่พูดพร้อมกับยิ้มยกมือขอโทษ ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยววันหยุดหน้าผมจะพาน้องปริมมาเยี่ยมใหม่”คุณนายหยางมองหน้าลูกชายอย่างมองผ่าน “เอาเถอะ วันหยุดหน้าค่อยมาเจอกันใหม่” เธอพูดไปพร้อมกับยิ้มและขยับตัวกลับเข้าไปในบ้าน แต่ยังไม่วายหันมาทางปราณปรียาและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดู
หลังจากที่หยางเฟยอวี่บอกว่าจะพาปราณปรียาไปยังที่แห่งหนึ่งในอีกสองวัน หญิงสาวก็รีบลางานล่วงหน้าที่ร้านดอกไม้ฮวาฮวา ร้านนี้เป็นที่ที่เธอทำงานเพราะหลงใหลในการดูแลดอกไม้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ "มิวมิว" แมวสีขาวที่นับวันก็ยิ่งอ้วนกลมจนเธออดหยิกแก้มมันไม่ได้ทุกครั้ง“ปริม คุณหยางมาถึงแล้วจ้ะ” เจียวมีฮวา เจ้าของร้านดอกไม้ตะโกนเรียกจากด้านหน้า เมื่อปราณปรียาเงยหน้าขึ้นจากช่อดอกไม้ที่เธอกำลังจัด ก็เห็นร่างสูงในชุดทำงานยืนพิงรถอยู่หน้าร้านหยางเฟยอวี่ถือโทรศัพท์ไว้ในมือ เขาแต่งตัวเรียบร้อยอย่างมีระดับ ทว่าท่าทางเย็นชาและใบหน้าคมคายที่นิ่งสงบของเขาทำให้คนที่เดินผ่านไปมาอดเว้นระยะออกห่างไม่ได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปทันทีที่เขาเหลือบเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวเดินออกมาจากร้าน ดวงตาคมอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และริมฝีปากที่เคยเรียบเฉยกลับยกยิ้มกว้างจนปิดไม่มิด“วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมครับ” หยางเฟยอวี่เอ่ยถามขณะเดินเข้ามาหาเขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว“ไม่ค่ะ พี่เฟยอวี่รอนานไหมคะ” หญิงสาวตอบพลางส่งยิ้มบาง“ไม่นานหรอกครับ คนดี” เขาตอบเสียงนุ่มก่อนจะจับมือของเธออย่างอ่อนโยนและพาเข้าไปในรถเมื่อท
หลังจากนั้นไม่นาน ปราณปรียาก็ได้รับรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ถังเหมยหลินมาเกาะติดเธอเหมือนเงาตามตัวเรื่องราวที่ถูกพูดถึงในกลุ่มเพื่อนเริ่มกระจายไปทั่ว หวังหย่วน หนุ่มเพื่อนร่วมคลาสที่เคยมีภาพลักษณ์ดี ทำผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มเดียวกับถังเหมยหลินท้องโดยไม่รับผิดชอบ เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้ถังเหมยหลินอย่างรุนแรง เพราะนอกจากจะรู้สึกโกรธแทนเพื่อนแล้ว ยังทำให้เธอเสียศูนย์ในความมั่นใจของตัวเองหญิงสาวที่เคยวางท่าโอหังและมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เธอเริ่มตั้งคำถามกับทุกความสัมพันธ์ในชีวิต ว่าใครกันแน่ที่จริงใจกับเธอ และใครที่อาจจะซ่อนมีดไว้ข้างหลังในสายตาของถังเหมยหลิน ปราณปรียาคือคนเดียวที่ดูแตกต่าง หญิงสาวที่มักวางตัวนิ่ง ๆ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือใส่ใจกับเรื่องวุ่นวายรอบตัว กลับดูเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด“ฉันแค่ต้องการเพื่อนที่จริงใจสักคน” ถังเหมยหลินพูดขึ้นในวันหนึ่งหลังจากเงียบอยู่นาน ปราณปรียาที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงเงยหน้าจากหนังสือและยิ้มเล็กน้อย“ฉันไม่ไล่เธอหรอก ถ้าเธออยากจะเล่าอะไร ฉันรับฟังได้เสมอ”คำพูดเรียบง่ายของปราณปรียาทำให้ถังเหมยหลินที่กำลัง
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง แต่สิ่งที่ปลุกปราณปรียาให้ตื่นไม่ได้มาจากแสงแดด หากแต่เป็นความรู้สึกหนัก ๆ ที่บริเวณบั้นเอว เธอเลิกผ้าห่มขึ้นดูและต้องตกใจกับสิ่งที่เห็นแขนแข็งแรงของหยางเฟยอวี่พาดอยู่บนตัวเธอ อีกทั้งยังมีลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดอยู่ข้างหู ใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมา“คนดี ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มสะลึมสะลือดังขึ้นเหนือหัว ราวกับรู้ว่าเธอกำลังทำตัวไม่ถูก ปราณปรียาทำได้เพียงพยักหน้าตอบเบา ๆหยางเฟยอวี่ลืมตาขึ้นมาครึ่งหนึ่งพร้อมกับยิ้มอ่อนในใจเมื่อเห็นท่าทางกระต่ายตื่นตูมของคนในอ้อมแขน เขาเอื้อมมืออีกข้างมาลูบหัวเธอเบา ๆ“ข้างนอกยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกนิดไหมครับ” เขาเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่คำพูดนั้นยิ่งทำให้ปราณปรียารู้สึกประหม่า“ปริมอยากเข้าห้องน้ำค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบา แม้ว่าในความเป็นจริงเธอไม่ได้ต้องการเข้าห้องน้ำเลยก็ตามหยางเฟยอวี่หัวเราะเบา ๆ สูดกลิ่นหอมจากต้นคอของเธอเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะยอมปล่อยมืออย่างไม่เร่งรีบเมื่อได้รับอิสระ ปราณปรียารีบลุกจากเตียงทันที ร่างบางแทบจะวิ่งไปที่ห้องน้ำโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งให้หยางเ
ปราณปรียาพักผ่อนจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อรู้สึกตัวตื่น เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย แสงแดดอ่อน ๆ สาดลอดผ่านผ้าม่านบาง ทำให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่น ในคราแรกเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ แต่เมื่อหญิงสาวมองไปรอบ ๆ ห้อง เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบร้อยและมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยช่วยให้เธอคลายความกังวลลงได้ พลันความทรงจำก็ผุดขึ้นในหัว หยางเฟยอวี่ต้องเป็นคนพาเธอมานอนที่นี่อย่างแน่นอนปราณปรียาลุกขึ้นจากเตียงและเปิดประตูออกไป เธอพบว่าชายหนุ่มยังคงง่วนอยู่กับเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงาน เสียงกุกกักเบา ๆ ของเธอทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคมมองเธออย่างอ่อนโยน“ตื่นแล้วเหรอครับ ยังง่วงอยู่หรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางลุกขึ้นเดินตรงมาหาเธอ เมื่อเห็นเธอยืนอยู่ที่ประตูด้วยท่าทีนิ่งขึง“ไม่ค่ะ ปริมนอนเต็มอิ่มแล้ว เลยไม่ง่วงอีก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมส่งยิ้มหวานให้เขาหยางเฟยอวี่ยิ้มบางก่อนจะจูงมือเธออย่างนุ่มนวลพาไปนั่งที่โซฟา เขาจัดหมอนรองหลังให้เธออย่างใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “นั่งพักตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่รีบเคลียร์งานให้เสร็จ”ปราณปรียามองเขาด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะหย