“คุณชายใหญ่ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
มู่เจิ้ง ผู้ช่วยคนสนิทเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ ตั้งแต่ขึ้นรถมา หยางเฟยอวี่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดผิดปกติ แถมยังหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบแทบไม่หยุด ควันสีเทาลอยคละคลุ้งจนเต็มรถ ราวกับสะท้อนอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน
ใบหน้าคมที่มักสงบนิ่งกลับขึ้นสีแดงจาง ๆ จนมู่เจิ้งอดสงสัยไม่ได้
“ไม่มีอะไร รีบไปบริษัทเถอะ” หยางเฟยอวี่ตอบสั้น ๆ เสียงเรียบนิ่ง แต่ในดวงตากลับแฝงความสับสน
มู่เจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเมื่อเจ้านายไม่อยากพูด สิ่งที่ควรทำคือเงียบและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
ภายในรถกลับคืนสู่ความเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และควันบุหรี่ที่ยังลอยวน แต่ในใจของหยางเฟยอวี่กลับไม่เงียบสงบเลย
ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด ดวงตากลมโตที่เปล่งประกายอ่อนโยน รอยยิ้มจาง ๆ ที่ตราตรึง และท่าทางเรียบง่ายที่ไม่ปรุงแต่งอะไรเลย ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอกระชากหัวใจของหยางเฟยอวี่จนอยู่หมัด
เขาสูดควันบุหรี่ลึก ๆ อีกครั้ง แต่รสขมของมันกลับไม่ช่วยให้ใจสงบได้แม้แต่น้อย ตั้งแต่เกิดมา หยางเฟยอวี่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ผู้หญิงในชีวิตของเขา... มักเป็นเพียงคนที่เข้ามาเพราะผลประโยชน์ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนบางสิ่งที่เขายินดีให้ ไม่เคยมีใครทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง หรือทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียการควบคุมเช่นนี้
แต่หญิงสาวในร้านดอกไม้กลับต่างออกไป เธอไม่เหมือนใครที่เขาเคยเจอ และนั่นทำให้หยางเฟยอวี่รู้สึกทั้งตื่นเต้นและไม่สบายใจในเวลาเดียวกัน
“ปราณปรียา...”
ชื่อที่เขาได้จำมาจากป้ายชื่อที่ติดอยู่บนเสื้อของเธอ หลุดออกมาจากริมฝีปากโดยไม่ตั้งใจ
มู่เจิ้งที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้ยินชื่อแปลก ๆ นี้ แต่เลือกที่จะไม่พูดอะไร ความเงียบในรถยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่หยางเฟยอวี่เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ความคิดของเขายังคงเต็มไปด้วยภาพของหญิงสาวที่ไม่อาจลบเลือนได้
“ปริมเห็นลูกค้าผู้ชายหน้าตาดี ใส่ชุดสูทไหมจ๊ะ?”
เจียวมี่ฮวาเอ่ยถามขึ้นทันทีที่กลับออกมาจากด้านหลังร้าน มือของเธอยังถือช่อดอกไม้ที่ห่อไว้อย่างประณีต แต่สายตากลับกวาดหาลูกค้าหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นอย่างเสียดาย
“เห็นค่ะ เขาเลือกดอกไม้เสร็จแล้วก็จ่ายเงินเดินออกไปแล้วค่ะ” ปราณปรียาตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ พลางวางตะกร้าดอกไม้ลงบนชั้นอย่างเป็นระเบียบ
“ตายจริง!” เจียวมี่ฮวาอุทานเสียงเบา พลางมองช่อดอกไม้ในมือตัวเองด้วยสีหน้าผิดหวัง “พี่อุตส่าห์ตั้งใจห่อซะสวยเชียว ดอกกุหลาบขาวช่อนี้น่าจะเหมาะกับเขามากกว่าที่เลือกไปเสียอีก”
เธอถอนหายใจยาว หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยราวกับเสียดายเวลาที่ใช้จัดดอกไม้อย่างบรรจง
“เขาคงรีบค่ะ เห็นเหมือนมีคนขับรถรออยู่ด้านนอก” ปราณปรียากล่าวเสียงเรียบพลางก้มลงหยิบดอกไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมาจัดใหม่
เจียวมี่ฮวายิ้มบาง ๆ พลางส่ายหัวเบา ๆ “พี่ไม่โทษเขาหรอกจ้ะ แต่คนอะไร หล่อขนาดนั้นยังใจร้อนไม่ยอมรอช่อดอกไม้ของพี่เสียก่อน”
“เมี้ยว~” เสียงเจ้ามิวมิวร้องขึ้นราวกับเห็นด้วย มันเดินเข้าไปคลอเคลียข้อเท้าของปราณปรียา ราวกับปลอบประโลม
ปราณปรียายิ้มขำ พลางอุ้มเจ้ามิวมิวขึ้นมา “ลูกค้าหล่อหรือไม่หล่อ ยังไงเขาก็อุดหนุนร้านเรา พี่ไม่ต้องเสียใจหรอกค่ะ”
เจียวมี่ฮวาหัวเราะเบา ๆ “ก็จริง เอาเถอะ ช่อนี้พี่จะเก็บไว้โชว์หน้าร้านก็แล้วกัน เผื่อจะดึงดูดลูกค้าหล่อ ๆ ได้อีก”
ทั้งสองหัวเราะเบา ๆ ก่อนแยกย้ายกลับไปทำงานต่อ ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศสบาย ๆ ในร้านที่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้
หลังจากปิดร้านดอกไม้ ปราณปรียาก็เดินกลับห้องพักที่อยู่ห่างออกไปสองบล็อก ถนนในยามเย็นเริ่มเงียบสงบลง มีเพียงแสงไฟจากร้านค้าและบ้านเรือนที่เปิดไว้เป็นจุด ๆ
ระหว่างทาง หญิงสาวแวะที่ร้านขนมปังเจ้าประจำ กลิ่นหอมอุ่น ๆ ของขนมปังอบใหม่โชยมาแต่ไกล ชวนให้อารมณ์ที่เหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันผ่อนคลายลง
ขนมปังหลากชนิดวางเรียงรายอยู่บนชั้นไม้ดูน่ารับประทานเหลือเกิน ปราณปรียาเลือกหยิบบาร์แกตสองชิ้นใส่ถุง ก่อนที่กลิ่นเนยหอมกรุ่นของครัวซองต์จะเรียกร้องความสนใจ สุดท้ายหญิงสาวก็ใจอ่อน เลือกครัวซองต์เพิ่มอีกสองชิ้น
“วันนี้คุณปริมทานอย่างอื่นนอกจากบาร์แกตด้วยเหรอครับ?”
เสียงทักทายที่คุ้นเคยดังขึ้น หมิงเจ๋อ เจ้าของร้านขนมปังยิ้มกว้างพลางมองลูกค้าประจำที่เขาจำได้แม่น หญิงสาวต่างชาติหน้าตาสะสวยคนนี้มักจะแวะมาซื้อบาร์แกตเป็นประจำ โดยไม่ค่อยสนใจขนมปังชนิดอื่นเท่าไร
“ครัวซองต์ของร้านหอมมากเลยค่ะ ฉันอยากซื้อไปฝากเพื่อนด้วย” ปราณปรียาตอบเสียงสุภาพ รอยยิ้มบาง ๆ ที่แต้มอยู่บนใบหน้าสวยคล้ายจะรักษาระยะห่างอย่างแนบเนียน
หมิงเจ๋อพยักหน้า ยิ้มอย่างเก้อเขิน แม้เขาจะพยายามเริ่มบทสนทนาเสมอ แต่หญิงสาวก็ไม่เคยพูดเกินกว่าที่จำเป็น หรือแสดงท่าทีสนิทสนมกลับมา
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะลดราคาให้นะครับ” เขาพูดพลางรีบจัดการตามคำสั่งซื้อ
เมื่อจ่ายเงินเสร็จ ปราณปรียาก็กล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกไปพร้อมถุงขนมปังในมือ หมิงเจ๋อยืนมองแผ่นหลังบอบบางที่ค่อย ๆ ลับหายไปจากหน้าร้าน เขาถอนหายใจเบา ๆ พลางพึมพำกับตัวเอง
“คนสวยเย็นชาชะมัด...”
ปราณปรียาเดินออกจากร้านขนมปังโดยไม่ได้แวะร้านไหนอีก เส้นทางกลับห้องพักของเธอเริ่มเงียบสงบลงเรื่อย ๆ มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องทางให้บ้างประปราย
เมื่อมาถึงหอพักที่ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่ หญิงสาวเงยหน้ามองบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปยังชั้นห้า ห้องพักของเธออยู่บนชั้นสูงสุดของอาคารแห่งนี้ และหอพักเองก็ไม่มีลิฟต์
ปราณปรียาไม่ได้บ่นอุบอิบอะไร เพราะเธอคุ้นชินกับการเดินขึ้นบันไดเหล่านี้ทุกวัน แม้จะเหนื่อยบ้างหลังจากทำงานมาทั้งวัน แต่เธอก็ถือเสียว่าเป็นการออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ
ปราณปรียาก้าวขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ เสียงรองเท้ากระทบบันไดไม้ดังเป็นจังหวะ ก่อนที่เธอจะมาถึงประตูห้องพักในที่สุด หญิงสาวหยุดพักหายใจชั่วครู่ ก่อนเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เรียบง่ายแต่น่าอยู่
เธอวางถุงขนมปังลงบนโต๊ะในครัวเล็ก ๆ และจัดการเตรียมจานเพื่อวางครัวซองต์สำหรับมื้อเช้าของพรุ่งนี้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ปราณปรียาก็เอนตัวลงบนเก้าอี้ใกล้หน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงดาว
สำหรับปราณปรียา ห้องพักเล็ก ๆ นี้อาจไม่ได้สะดวกสบายเหมือนอพาร์ตเมนต์หรูที่เคยพักอยู่ในบ้านเกิด แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างประหลาด
ผนังสีครีมที่เริ่มซีดและหน้าต่างบานเล็กที่มองเห็นวิวตึกเก่าแก่รอบ ๆ ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่สำหรับเธอ ทุกอย่างในห้องนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความหมาย ห้องครัวเล็ก ๆ ที่มีกลิ่นหอมของกาแฟอุ่น ๆ ทุกเช้า โต๊ะไม้ตัวเล็กที่มุมห้องถูกใช้เป็นทั้งที่นั่งอ่านหนังสือและทำงาน ชั้นวางหนังสือที่มีทั้งตำราเรียนและนิยายเล่มโปรด ทุกสิ่งล้วนเติมเต็มชีวิตประจำวันของเธออย่างเรียบง่ายแต่สุขใจ
บนเตียงเล็ก ๆ ใกล้หน้าต่าง มุมโปรดของเธอสำหรับการอ่านหนังสือหรือเหม่อมองท้องฟ้า มีหมอนนุ่ม ๆ และผ้าห่มลายดอกไม้ที่แม่เคยซื้อให้เมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัย แม้เวลาจะผ่านไป แต่ความอบอุ่นจากของชิ้นนี้ยังคงอยู่เหมือนเดิม
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอมักเห็นแสงไฟจากตึกใกล้เคียงที่ส่องกระทบหิมะในหน้าหนาวหรือสายฝนที่โปรยปรายในฤดูใบไม้ร่วง ทั้งหมดนี้หลอมรวมเป็นความเรียบง่ายที่เธอรักและคุ้นเคย ราวกับบ้านที่เธอจากมาแต่ไม่เคยลืม...
นับแต่ค่ำคืนแสนหวานวันนั้น ดูเหมือนว่าหยางเฟยอวี่จะทำตัวติดปราณปรียามากขึ้นจนเกือบจะทุกที่ แม้แต่ในช่วงเวลาที่เธอทำงานอยู่ที่ร้านดอกไม้ฮวาฮวา ชายหนุ่มมักหาเหตุผลโดดงานแวะเวียนมาหาเธอเสมอ แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือความหึงหวงที่แสดงออกอย่างไร้เหตุผลครั้งนี้ก็เช่นกัน…ปราณปรียาที่กำลังง่วนกับการจัดดอกไม้ให้ลูกค้าชายหนุ่มคนหนึ่งสังเกตได้ถึงสายตาคมกริบของหยางเฟยอวี่ที่จ้องมองลูกค้าอย่างไม่วางตา แม้กระทั่งตอนที่เธอส่งเงินทอนให้ลูกค้า เขาก็ยังยืนกอดอกอยู่มุมร้าน ดวงตาวาวโรจน์ราวกับจะขุดประวัติของชายหนุ่มคนนั้นออกมาให้เมื่อส่งลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านได้สำเร็จ ปราณปรียาก็หันกลับมามองคนตัวสูงที่ยังคงยืนทำหน้าตาไม่พอใจอยู่ที่เดิม เธอเดินตรงเข้าไปหาเขา พลางถอนหายใจอย่างระอา“พี่เฟยอวี่คะ ถ้ายังทำแบบนี้อีก คืนนี้ปริมจะให้ไปนอนข้างนอก!” หญิงสาวพูดเสียงเขียว พลางจ้องเขาด้วยสายตาตำหนิหยางเฟยอวี่นิ่วหน้า มองคนรักอย่างไม่ยอมแพ้ “ปริมไม่เห็นเหรอครับ ว่าหมอนั่นมองปริมยังไง?”“เขาไม่ได้มองอะไรปริมเลยค่ะ เขาแค่มาซื้อดอกไม้เท่านั้นเอง!”ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่จริงครับ พี่เห็นชัด ๆ เขาแอบมองปริมตั้งแต่เดิ
ปราณปรียาที่ดื่มไวน์ไปสองแก้วตามคำชวนของคุณนายหยางเริ่มรู้สึกคอพับเล็กน้อย ถึงแม้จะพยายามตั้งสติ แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว หยางเฟยอวี่สังเกตเห็นอาการของเธอจึงรู้สึกว่าเป็นเวลาที่ควรจะพาเธอกลับคอนโด“วันนี้ค้างที่บ้านก็ได้นะ ไม่เห็นต้องรีบกลับคอนโดเลย” คุณนายหยางพูดขึ้นขณะที่เดินมาส่งลูกชายที่หน้าประตู ริมฝีปากของเธอยังคงบ่นน้อยใจเล็กน้อยเพราะเห็นลูกชายรีบพาหญิงสาวกลับหยางเฟยอวี่ที่กำลังช่วยปราณปรียาใส่เข็มขัดนิรภัยหันมาตอบผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล “พรุ่งนี้น้องปริมมีเรียนแต่เช้าครับ ที่นี่ห่างจากมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก ผมกลัวว่าน้องปริมจะไปไม่ทัน”คุณนายหยางพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ไม่วายหรี่ตามองลูกชาย “คิดว่าแม่ไม่รู้นิสัยแกเรอะ” เธอพูดก่อนจะหยิกไปที่ต้นแขนของลูกชายเบา ๆ รอยยิ้มอ่อน ๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าเธอ“ลานะครับ” หยางเฟยอวี่พูดพร้อมกับยิ้มยกมือขอโทษ ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยววันหยุดหน้าผมจะพาน้องปริมมาเยี่ยมใหม่”คุณนายหยางมองหน้าลูกชายอย่างมองผ่าน “เอาเถอะ วันหยุดหน้าค่อยมาเจอกันใหม่” เธอพูดไปพร้อมกับยิ้มและขยับตัวกลับเข้าไปในบ้าน แต่ยังไม่วายหันมาทางปราณปรียาและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดู
หลังจากที่หยางเฟยอวี่บอกว่าจะพาปราณปรียาไปยังที่แห่งหนึ่งในอีกสองวัน หญิงสาวก็รีบลางานล่วงหน้าที่ร้านดอกไม้ฮวาฮวา ร้านนี้เป็นที่ที่เธอทำงานเพราะหลงใหลในการดูแลดอกไม้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ "มิวมิว" แมวสีขาวที่นับวันก็ยิ่งอ้วนกลมจนเธออดหยิกแก้มมันไม่ได้ทุกครั้ง“ปริม คุณหยางมาถึงแล้วจ้ะ” เจียวมีฮวา เจ้าของร้านดอกไม้ตะโกนเรียกจากด้านหน้า เมื่อปราณปรียาเงยหน้าขึ้นจากช่อดอกไม้ที่เธอกำลังจัด ก็เห็นร่างสูงในชุดทำงานยืนพิงรถอยู่หน้าร้านหยางเฟยอวี่ถือโทรศัพท์ไว้ในมือ เขาแต่งตัวเรียบร้อยอย่างมีระดับ ทว่าท่าทางเย็นชาและใบหน้าคมคายที่นิ่งสงบของเขาทำให้คนที่เดินผ่านไปมาอดเว้นระยะออกห่างไม่ได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปทันทีที่เขาเหลือบเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวเดินออกมาจากร้าน ดวงตาคมอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และริมฝีปากที่เคยเรียบเฉยกลับยกยิ้มกว้างจนปิดไม่มิด“วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมครับ” หยางเฟยอวี่เอ่ยถามขณะเดินเข้ามาหาเขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว“ไม่ค่ะ พี่เฟยอวี่รอนานไหมคะ” หญิงสาวตอบพลางส่งยิ้มบาง“ไม่นานหรอกครับ คนดี” เขาตอบเสียงนุ่มก่อนจะจับมือของเธออย่างอ่อนโยนและพาเข้าไปในรถเมื่อท
หลังจากนั้นไม่นาน ปราณปรียาก็ได้รับรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ถังเหมยหลินมาเกาะติดเธอเหมือนเงาตามตัวเรื่องราวที่ถูกพูดถึงในกลุ่มเพื่อนเริ่มกระจายไปทั่ว หวังหย่วน หนุ่มเพื่อนร่วมคลาสที่เคยมีภาพลักษณ์ดี ทำผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มเดียวกับถังเหมยหลินท้องโดยไม่รับผิดชอบ เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้ถังเหมยหลินอย่างรุนแรง เพราะนอกจากจะรู้สึกโกรธแทนเพื่อนแล้ว ยังทำให้เธอเสียศูนย์ในความมั่นใจของตัวเองหญิงสาวที่เคยวางท่าโอหังและมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เธอเริ่มตั้งคำถามกับทุกความสัมพันธ์ในชีวิต ว่าใครกันแน่ที่จริงใจกับเธอ และใครที่อาจจะซ่อนมีดไว้ข้างหลังในสายตาของถังเหมยหลิน ปราณปรียาคือคนเดียวที่ดูแตกต่าง หญิงสาวที่มักวางตัวนิ่ง ๆ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือใส่ใจกับเรื่องวุ่นวายรอบตัว กลับดูเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด“ฉันแค่ต้องการเพื่อนที่จริงใจสักคน” ถังเหมยหลินพูดขึ้นในวันหนึ่งหลังจากเงียบอยู่นาน ปราณปรียาที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงเงยหน้าจากหนังสือและยิ้มเล็กน้อย“ฉันไม่ไล่เธอหรอก ถ้าเธออยากจะเล่าอะไร ฉันรับฟังได้เสมอ”คำพูดเรียบง่ายของปราณปรียาทำให้ถังเหมยหลินที่กำลัง
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง แต่สิ่งที่ปลุกปราณปรียาให้ตื่นไม่ได้มาจากแสงแดด หากแต่เป็นความรู้สึกหนัก ๆ ที่บริเวณบั้นเอว เธอเลิกผ้าห่มขึ้นดูและต้องตกใจกับสิ่งที่เห็นแขนแข็งแรงของหยางเฟยอวี่พาดอยู่บนตัวเธอ อีกทั้งยังมีลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดอยู่ข้างหู ใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมา“คนดี ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มสะลึมสะลือดังขึ้นเหนือหัว ราวกับรู้ว่าเธอกำลังทำตัวไม่ถูก ปราณปรียาทำได้เพียงพยักหน้าตอบเบา ๆหยางเฟยอวี่ลืมตาขึ้นมาครึ่งหนึ่งพร้อมกับยิ้มอ่อนในใจเมื่อเห็นท่าทางกระต่ายตื่นตูมของคนในอ้อมแขน เขาเอื้อมมืออีกข้างมาลูบหัวเธอเบา ๆ“ข้างนอกยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกนิดไหมครับ” เขาเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่คำพูดนั้นยิ่งทำให้ปราณปรียารู้สึกประหม่า“ปริมอยากเข้าห้องน้ำค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบา แม้ว่าในความเป็นจริงเธอไม่ได้ต้องการเข้าห้องน้ำเลยก็ตามหยางเฟยอวี่หัวเราะเบา ๆ สูดกลิ่นหอมจากต้นคอของเธอเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะยอมปล่อยมืออย่างไม่เร่งรีบเมื่อได้รับอิสระ ปราณปรียารีบลุกจากเตียงทันที ร่างบางแทบจะวิ่งไปที่ห้องน้ำโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งให้หยางเ
ปราณปรียาพักผ่อนจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อรู้สึกตัวตื่น เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย แสงแดดอ่อน ๆ สาดลอดผ่านผ้าม่านบาง ทำให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่น ในคราแรกเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ แต่เมื่อหญิงสาวมองไปรอบ ๆ ห้อง เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบร้อยและมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยช่วยให้เธอคลายความกังวลลงได้ พลันความทรงจำก็ผุดขึ้นในหัว หยางเฟยอวี่ต้องเป็นคนพาเธอมานอนที่นี่อย่างแน่นอนปราณปรียาลุกขึ้นจากเตียงและเปิดประตูออกไป เธอพบว่าชายหนุ่มยังคงง่วนอยู่กับเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงาน เสียงกุกกักเบา ๆ ของเธอทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคมมองเธออย่างอ่อนโยน“ตื่นแล้วเหรอครับ ยังง่วงอยู่หรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางลุกขึ้นเดินตรงมาหาเธอ เมื่อเห็นเธอยืนอยู่ที่ประตูด้วยท่าทีนิ่งขึง“ไม่ค่ะ ปริมนอนเต็มอิ่มแล้ว เลยไม่ง่วงอีก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมส่งยิ้มหวานให้เขาหยางเฟยอวี่ยิ้มบางก่อนจะจูงมือเธออย่างนุ่มนวลพาไปนั่งที่โซฟา เขาจัดหมอนรองหลังให้เธออย่างใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “นั่งพักตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่รีบเคลียร์งานให้เสร็จ”ปราณปรียามองเขาด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะหย