LOGINข้าวสวยร้อนๆ ถูกตักใส่กล่องข้าวพอดีกินในมื้อกลางวัน ก่อนหันมาตักแกงส้มผักรวมใส่ปลานิลหั่นเป็นชิ้นใส่ถุงร้อน จันทร์สุดาเลือกตักหัวปลากับหางปลา ส่วนชิ้นเนื้อแน่นๆ เอาไว้ให้คนในบ้านกิน และไข่เค็มอีกหนึ่งฟองวางลงอีกช่องในกล่องข้าว ก่อนปิดฝานำทั้งหมดที่เตรียมไว้ใส่กระเป๋าใส่กล่องอาหาร เสร็จจากงานในครัวจันทร์สุดาเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน
“แม่จ๋า วันนี้หนูกลับบ้านดึกหน่อยนะ มีนัดกับหมวยจ้ะ” จันทร์สุดาในชุดทำงานเอ่ยบอกรุ่งรัตน์ที่เพิ่งตื่นนอน
“มีเงินไหม ขอสักห้าร้อยสิ” คนเป็นแม่ไม่ถามว่า ที่ว่ากลับดึกจะกลับกี่ทุ่ม ตามประสาแม่ห่วงลูก กลับแบมือขอเงิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับจันทร์สุดาที่ควักเงินให้ง่ายๆ ไม่ถามว่ามารดานำเงินไปใช้จ่ายอะไร “มะรืนนี้ต้องจ่ายค่าบ้านนะ เตรียมไว้ด้วยล่ะ พี่เอ็งคงไม่เงินจ่าย”
“รู้แล้วจ้ะ สุดาเอาไปให้ป้าพลอยเอง” จันทร์สุดารู้หน้าที่
“รู้หน้าที่ก็ดี ฉันไปกินข้าวก่อน หิวจนไส้จะขาดแล้ว”
รุ่งรัตน์เดินไปยังห้องครัว หาอาหารกินบรรเทาความหิว ขณะนั้นสร้อยทิพย์เดินลงมาจากชั้นบน เธอยิ้มให้น้องสาว
“พี่สร้อยไปทำงานไหวแน่นะ ถ้าไม่ไหวพักก่อนก็ได้พี่ เจ๊หงส์ไม่ได้ว่าอะไร เจ๊อยากให้พี่พักให้หายดีก่อน”
จันทร์สุดาถามสร้อยทิพย์เพื่อความมั่นใจ หลังจากเมื่อคืนนี้พี่สาวบอกว่า เย็นนี้จะไปเริ่มงานหลังจากหยุดมานานหนึ่งสัปดาห์
“พี่ทำไหว แต่คงไม่รับงานนอก” สร้อยทิพย์บอกน้องสาว
“พี่ไม่ต้องรับงานนอกก็ได้นะ สิ้นเดือนนี้หนูไปร้องเพลงที่คลับ มีรายได้เพิ่มพอใช้หนี้คิดๆ ดูแล้วสามสี่เดือนก็ใช้หนี้หมด หนูไม่อยากให้พี่สร้อยเสี่ยง กลัวจะเจอคนแบบนั้นอีก”
เหตุผลที่จันทร์สุดาขยันทำงานเป็นเพราะต้องการช่วยสร้อยทิพย์ ดึงพี่สาวออกมาจากอาชีพที่คนในสังคมไม่ยอมรับ ทว่าหนี้สินของครอบครัวไม่ใช่น้อยๆ อีกทั้งยังมีเจ้าหนี้รายใหม่ผุดขึ้นแทบทุกอาทิตย์ สร้อยทิพย์กับจันทร์สุดาตามเช็ดแทบไม่ไหว แต่ตัวต้นเหตุกลับไม่สนใจสักนิดเดียว อาจเป็นเพราะมีรุ่งรัตน์ให้ท้าย ผิดจึงกลายเป็นถูกเสมอ
ตอนนี้จันทร์สุดามีงานพิเศษเพิ่มอีกหนึ่งงาน ทำงานวันพฤหัส วันเสาร์และวันอาทิตย์ ร้องเพลงวันละห้าเพลง ได้ค่าตอบแทนวันละหนึ่งพันห้าร้อยบาท หนึ่งเดือนได้ค่าจ้างหนึ่งหมื่นแปดพันบาท ทิปต่างหาก ถือว่าเป็นรายได้ที่มากทีเดียว ช่วยเหลือครอบครัวเธอได้มากด้วย มีโอกาสสูงที่จะหมดหนี้หมดสินเสียที
“ต้องขอบคุณเจ๊ที่ให้โอกาสสุดา สุดาต้องทำให้เต็มที่นะ ให้สมกับที่เจ๊มอบงานนี้ให้”
สร้อยทิพย์รู้ดีว่า มีนักร้องหลายคนอยากมาร้องเพลงในคลับฟรอร่า คนในไม่อยากออก คนนอกอยากเข้ามาทำงาน อีกทั้งมณีรัตน์ไม่ได้รับนักร้องง่ายๆ ต้องดูหลายอย่าง ไม่ว่าหน้าตา รูปร่างและน้ำเสียงซึ่งถือว่าสำคัญมาก การที่มณีรัตน์ชักชวนจันทร์สุดาไปเป็นนักร้องประจำคลับ ทั้งที่จันทร์สุดาไม่ใช่นักร้องมืออาชีพ ห่างการร้องเพลงมานาน ถือว่าเป็นโชคดีมาก
“ค่ะพี่สร้อย หนูจะทำให้เต็มที่ค่ะ แต่ตอนนี้ขอไปทำงานก่อนนะคะ เดี๋ยวสาย”
คนพูดยิ้ม เดินมาหอมแก้มพี่สาว เอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าใส่กล่องอาหาร จากนั้นจึงเดินออกจากบ้าน สร้อยทิพย์มองตามร่างน้องสาวด้วยรอยยิ้ม ในบ้านหลังนี้มีเพียงจันทร์สุดาคนเดียวที่เห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือแบ่งเบาภาระตน ส่วนอีกสามคนอาจพูดได้ว่า คือภาระอันเหนื่อยใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด เธอมีคความหวังสูงว่า หมดหนี้สักวันหนึ่ง แล้ววันนั้นเธอจะใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง
จันทร์สุดาก้าวเร็วๆ เข้าไปในอาคารสำนักงานสูงสี่สิบสามชั้น เดินแกมวิ่งไปมองดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นเพราะอีกไม่ถึงสามนาทีจะถึงเวลาเข้างาน กฎของบริษัทมีอยู่ว่า พนักงานสายได้ไม่เกินเดือนละห้าครั้ง ครั้งที่หกจะถูกปรับเงินครั้งละห้าสิบบาท แม้ว่าเงินค่าปรับดูน้อย แต่สำหรับจันทร์สุดาเป็นเงินที่มีค่ามาก เธอจึงไม่อยากสาย มาก่อนเวลาทุกวัน และไม่อยากสาย
“ตายแล้ว จะทันไหมเนี่ย” จันทร์สุดาพูดกับตัวเอง มองไปยังลิฟต์โดยสารที่เวลานี้มีคนกำลังเดินเข้าไปในตัวลิฟต์ เธอรีบก้าววิ่งเพื่อให้ทัน “ไปด้วยค่ะ”
เสียงเรียกทำให้คนในลิฟต์กดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ค้างไว้ จันทร์สุดาเดินเข้าในลิฟต์ เธอชะงักเมื่อรู้ว่าคนใจดีที่กดปุ่มรอตนคือใคร ส่วนคนยืนอยู่ด้านในมองร่างสมส่วนด้วยความรู้สึกเดิมคือ นึกไม่ออกว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน
“ขอบคุณค่ะท่านรอง” จันทร์สุดาพนมมือไหว้ศุภกฤษณ์ รองประธานบริษัทที่ตนทำงานอยู่ ก่อนยิ้มให้
หัวใจศุภกฤษ์เกิดอาการผิดแปลกขึ้นมาทันใด เต้นผิดจังหวะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อเห็นรอยยิ้มหวานของสาวตรงหน้า เธอมีเสน่ห์ล้นเหลือ รู้สึกว่า ไม่มีรอยยิ้มใครสวยเท่าเธอ แล้วถึงบางอ้อเรื่องที่ตนคุ้นหน้าเธอ แต่นึกไม่ออก ที่แท้นักร้องเสียงดีคือพนักงานในบริษัทตนนั่นเอง
“ไม่เป็นไรครับ” ศุภกฤษณ์ตอบกลับ สายตายังไม่ละจากดวงหน้าหวานไร้เครื่องสำอาง มีเพียงลิปสติกสีชมพูอ่อนเคลือบบนริมฝีปากเท่านั้น ทว่าเพียงแค่นี้แต่เธอกลับมีความสวยและน่ารักในเวลาเดียวกัน
“ทำไมท่านรองใช้ลิฟต์ตัวนี้ล่ะคะ ลิฟต์ส่วนตัวท่านรองเสียหรือคะ” ศุภกฤษณ์ยิ้ม นึกเอ็นดูความไม่รู้ของจันทร์สุดา
“ลิฟต์ที่ผมยืนอยู่ คือลิฟต์ที่คุณบอกว่ามันเสียครับ” จันทร์สุดาอ้าปากค้าง นี่เธอกลัวสายจนลืมมองว่า ลิฟต์ตัวนี้เป็นลิฟต์ตัวพิเศษที่มีเพียงเจ้าของตึกและบุคคลที่มาติดต่อเรื่องงานโดยตรงกับเจ้านายตน จันทร์สุดายิ้มแห้ง ใบหน้าระบายความเขิน
Chapter 10พูดแค่นี้จันทร์สุดาเข้าใจแล้วว่า เขาต้องการส่งเธอถึงหน้าบ้าน เธอไม่พูดอะไรต่อ จนกระทั่งเขากำลังเลี้ยวรถเข้าซอยย่อย “คุณเติร์ดจอดตรงต้นก้ามปูนะคะ” “นี่มันกี่ทุ่มแล้วแม่คุณ แถมไฟทางก็ห่างกันมองไม่ค่อยเห็น ฉันจะเห็นต้นก้ามปูได้ยังไง” ดูเหมือนว่า จันทร์สุดาพูดอะไรก็ไม่เข้าหูเตมินทร์เลย เวลานี้เธอเศร้าหนักมาก “แล้วไอ้ต้นก้ามปูที่ว่ามันอยู่ทางซ้ายหรือขวามือ” “ซ้ายมือค่ะ จอดตรงตีนสะพานก็ได้ค่ะ”จันทร์สุดาบอกแบบนี้เขาน่าเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจอีกก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว เตมินทร์ขับรถไปอีกยี่สิบเมตร รถยนต์หรูก็จอดนิ่ง “บ้านเธอหลังไหนล่ะ” เตมินทร์ถาม “ต้องเดินเข้าไปในซอยนี้ค่ะ รถเข้าไปไม่ได้ เข้าได้แค่จักรยานกับมอไซร์ค่ะ” เธอบอกขณะปลดเข็มขัดนิรภัย “ขอบคุณคุณเติร์ดมากค่ะที่มาส่งสุดา” “เดินเข้าไปลึกไหม” “ประมาณสามร้อยเมตรค่ะ” “เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง” “ไม่เป็นไรค่ะ สุดาเดินเข้าบ้านเองได้ค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจคุณเติร์ดมากแล้วค่ะ” จันทร์สุดารีบพูด “เธอนี่ยังไงนะ ฉันบอกว่าจะเดินไปส่งก็ตามนั้นสิ พูดมากอยู
Chapter 9 หัวใจเต้นระรัว... ไม่ได้...จันทร์สุดาไม่มีอะไรคู่ควรกับความรู้สึกนี้ และไม่คู่ควรกับศุภกฤษณ์ ทว่าเตมินทร์คงห้ามเพื่อนสนิทไม่ได้ หัวใจใครหัวใจมัน “ดีใจจังที่สุดาไปด้วย วันงานเลิกงานปุ๊บเราไปพร้อมกันเลยนะ” เสียงศุภกฤษณ์เสมือนเชือกดึงสติเตมินทร์ที่กำลังไหลไปกับรอยยิ้มแสนสวยของจันทร์สุดาให้หวนกลับมา “ค่ะ” จันทร์สุดาตอบรับ ยิ้มให้ศุภกฤษณ์ก่อนลงมือกินอาหาร โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ใครบางคนกำลังไม่พอใจที่เธอส่งยิ้มเมื่อครู่ เพราะเตมินทร์เกิดหวงรอยยิ้มเธอขึ้นมาอย่างอธิบายยากยิ่ง ทำไมรู้สึกอย่างนี้วะ...เป็นคำถามที่เตมินทร์หาคำตอบไม่ได้อีกตามเคย การกินอาหารของทั้งสี่ดำเนินต่อไปราวยี่สิบนาที พวกเขาและเธอออกจากร้าน มุ่งตรงกลับห้างนั้นเพื่อเดินทางกลับบ้าน 21.05 น. อึดอัด... เป็นความรู้สึกของจันทร์สุดาขณะนั่งในรถของเตมินทร์ การนั่งรถมากับคนที่ไม่ชอบหน้าตนไม่ใช่เรื่องง่ายในการรับมือ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขากล่าวชวนไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดก็ตาม ซึ่งเธอก็รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาว่า การชวนนั้นเพื่อให้ตนอ
Chapter 8 แม้สองหนุ่มเป็นลูกคนรวยมีเงินเหลือใช้ จะกินอาหารราคาแพงมื้อละหมื่นหรือหลักแสนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ กลับทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ทว่าเตมินทร์กับศุภกฤษณ์กลับกินอาหารร้านริมทาง ร้านที่อยู่ในตึกแถว ตามซอกหลืบที่ต้องเดินลัดเลาะไปกินได้ อาจเป็นเพราะช่วงเรียนปริญญาตรี มหาวิทยาลัยที่ร่ำเรียนติดกับโซนอาหารขึ้นชื่อ ทั้งสองพร้อมเพื่อนสนิทอีกหลายคนเดินไปกินบ่อยๆ การมากินก๋วยเตี๋ยวไก่ครั้งนี้ถือว่า สบายมาก “โห...ไก่นุ่มมาก ตีนไก่เปื่อยสุดๆ อร่อยมากๆ เลย” ศุภกฤษณ์ไม่พูดเกินจริง รสชาติก๋วยเตี๋ยวไก่อร่อยสมชื่อเสียงสะสมมากกว่าสามสิบปี ร้านนี้ยังมีข้าวมันไก่สูตรเด็ดที่อร่อยไม่แพ้กันอีกด้วย “บอกแล้วว่าอร่อยค่ะ อร่อยจนอยากเบิ้ล” วัชรีพรพูดต่อ “คนที่เจอร้านนี้คือสุดาค่ะ สุดาพาหมวยมากิน หมวยติดใจเลยค่ะ มาแถวนี้ต้องมากินค่ะ ซื้อไปฝากคุณแม่และคุณยาย ท่านยังติดใจเลยนะคะ นี่ก็กะว่าจะซื้อไปฝากท่านคนละถุง และไม่ลืมสั่งตีนไก่เปล่าไปนั่งกินเพลินๆ ด้วยค่ะ” “อร่อยใช่ไหมเติร์ด แกสั่งเพิ่มอีกจานแล้วนี่” ศุภกฤษณ์ถามเตมินทร์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม “แล้วสุดาอิ่มหรือยัง จะสั่งเพิ่มอี
Chapter 7 จันทร์สุดาก้าวเท้าเข้ามาในห้างหรูย่านสี่แยกราช-ประสงค์ ห้างที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหรา มีสินค้าแบรนด์เนมแทบทุกแบรนด์ให้เลือกจับจ่าย เธอตรงดิ่งไปยังร้านกาแฟที่นัดหมายไว้กับวัชรีพร “เฮ้อ มาทันเวลานัดเป๊ะ” จันทร์สุดาพูดขณะหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ “แกนี่รักษาเวลาดีเหมือนเดิม” “ก็ต้องรักษาเวลาสิ มีนัดกับแกทีไร แกมาก่อนฉันทุกที แล้วนี่รอนานไหม” “มาก่อนแค่สิบนาทีเอง แกจะสั่งอะไรดื่มก่อนไหม ฉันสั่งให้” “ไม่ล่ะ ไปซื้อของกันเลยดีกว่า เผื่อแกเลือกนาน” คนพูดรู้นิสัยวัชรีพรดีว่าช่างเลือกมากแค่ไหน หากไม่ถูกใจจริงๆ ไม่มีทางซื้อ “ว่าแต่แกจะซื้ออะไร ฉันจะได้เล็งร้านให้แกถูก ขืนปล่อยให้แกเดินทุกร้าน ขาลากพอดี” เมื่อคืนนี้วัชรีพรโทรมาชวนไปซื้อของ จันทร์สุดาไม่ได้ถามรายละเอียดว่าไปซื้ออะไร เพื่อนชวนและเธอว่างพอดีจึงตกปากรับคำ “ฉันจะซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่เติร์ดน่ะ วันเกิดพี่เติร์ดวันมะรืน ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะซื้ออะไรให้ เพราะพี่เติร์ดคงมีหมดแล้ว ฉันก็เลยชวนแกมาช่วยคิด ช่วยเลือกไง” วัชรีพรบอกจุดประสงค์ให้จันทร์สุดารู้
Chapter 6 “สุดาขอโทษค่ะ สุดารีบเลยไม่ทันมองค่ะ” จันทร์สุดาพูด ขณะกำลังใช้ปลายนิ้วกดไปยังปุ่มเปิดประตู ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ศุภกฤกษณ์กดปุ่มตัวเลข 43 เสียก่อน “ผมไม่ซี ไปด้วยกันนี่แหละ ดีซะอีกที่มีคุณขึ้นลิฟต์เป็นเพื่อน ขึ้นคนเดียวมาหลายปีแล้ว เหงา” เขายิ้มให้จันทร์สุดา ที่ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาจากความอาย “คุณร้องเพลงเพราะมากเลยนะ คุณไปร้องประจำที่ฟรอร่าเมื่อไหร่ ผมคงต้องไปนั่งฟังคุณร้องทุกคืนแน่” จันทร์สุดาเงยหน้ามองคนพูด ไม่คิดว่า ในคืนนั้นศุภกฤษณ์จะอยู่ในคลับนั้นด้วย “คุณหงส์บอกว่า คุณเริ่มมาร้องเพลงต้นเดือนใช่ไหม” “ใช่ค่ะ เริ่มวันพฤหัสหน้าค่ะ” “ว่าแต่คุณทำงานแผนกอะไร ตอนที่เห็นคุณขึ้นร้องเพลง ผมคุ้นหน้าคุณนะ แต่นึกไม่ออก” “ท่านรองคงจำสุดาไม่ได้ สุดาเคยเข้าประชุมผลประกอบการประจำปีเมื่อต้นเดือนไงคะ วันนั้นพนักงานมีหลายฝ่ายในหลายแผนก ท่านรองโฟกัสเรื่องงาน เลยไม่ได้สนใจอย่างอื่นค่ะ” จันทร์สุดาตอบเจ้านาย “อ๋อ จำได้แล้ว วันนั้นพนักงานเป็นสิบคน ผมยอมรับว่าจำไม่หมด จำได้เฉพาะคนที่เคยคุยกันเป็นประจำเท่านั้น ผมขอโทษน
Chapter 5ข้าวสวยร้อนๆ ถูกตักใส่กล่องข้าวพอดีกินในมื้อกลางวัน ก่อนหันมาตักแกงส้มผักรวมใส่ปลานิลหั่นเป็นชิ้นใส่ถุงร้อน จันทร์สุดาเลือกตักหัวปลากับหางปลา ส่วนชิ้นเนื้อแน่นๆ เอาไว้ให้คนในบ้านกิน และไข่เค็มอีกหนึ่งฟองวางลงอีกช่องในกล่องข้าว ก่อนปิดฝานำทั้งหมดที่เตรียมไว้ใส่กระเป๋าใส่กล่องอาหาร เสร็จจากงานในครัวจันทร์สุดาเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน “แม่จ๋า วันนี้หนูกลับบ้านดึกหน่อยนะ มีนัดกับหมวยจ้ะ” จันทร์สุดาในชุดทำงานเอ่ยบอกรุ่งรัตน์ที่เพิ่งตื่นนอน “มีเงินไหม ขอสักห้าร้อยสิ” คนเป็นแม่ไม่ถามว่า ที่ว่ากลับดึกจะกลับกี่ทุ่ม ตามประสาแม่ห่วงลูก กลับแบมือขอเงิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับจันทร์สุดาที่ควักเงินให้ง่ายๆ ไม่ถามว่ามารดานำเงินไปใช้จ่ายอะไร “มะรืนนี้ต้องจ่ายค่าบ้านนะ เตรียมไว้ด้วยล่ะ พี่เอ็งคงไม่เงินจ่าย” “รู้แล้วจ้ะ สุดาเอาไปให้ป้าพลอยเอง” จันทร์สุดารู้หน้าที่ “รู้หน้าที่ก็ดี ฉันไปกินข้าวก่อน หิวจนไส้จะขาดแล้ว”รุ่งรัตน์เดินไปยังห้องครัว หาอาหารกินบรรเทาความหิว ขณะนั้นสร้อยทิพย์เดินลงมาจากชั้นบน เธอยิ้มให้น้องสาว “พี่สร้อยไปท







![นางบำเรอ [5P]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)