“หน็อย...อาการแกมันฟ้องขนาดนี้ ยังจะกล้าปฏิเสธอีกเหรอนังลูกชั่ว บอกฉันมาเลยนะว่าแกไปนอนกับใครมา”
ราตรีพยายามระงับเสียง แต่โทสะทำให้อารมณ์ของเธอขุ่นมัวจนห้ามใจไม่อยู่ ดวงตาดุจ้องมองบุตรสาวอย่างคาดคั้นก่อนหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึง
“ผู้กองธามใช่ไหม”
เรืออากาศเอกธมกร หรือผู้กองธาม นายทหารหน่วยคอมมอนโด อากาศโยธิน รุ่นน้องที่มีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับนาวาอากาศเอกอาจหาญสามีของเธอ เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ไปมาหาสู่ เข้านอกออกในบ้านหลังนี้ได้บ่อย ๆ และสนิทสนมกับพราวรุ้งเป็นพิเศษ จนถูกมยุเรศเข้าใจผิดกระทั่งผิดใจกับพราวรุ้ง
มยุเรศเป็นบุตรสาวจ่าทิวกับนางมยุรา หรือพี่ติ๋มช่างเสริมสวยที่ใช้บ้านพักข้าราชการทหารลักษณะครึ่งตึกครึ่งไม้สองชั้นเปิดเป็นร้านเสริมสวย ใคร ๆ ต่างรู้จักแกในฐานะพี่ติ๋มฆ้องปากแตกเพราะถ้านางมยุรารู้เรื่องอะไรของใครเป็นอันรู้กันไปทั้งกองบิน มยุเรศมีใจให้ธมกรจึงริษยาพราวรุ้ง จนกลายเป็นฉนวนเหตุของความบาดหมางและเลิกคบกันไป
“ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้า พลางยกมือป้ายน้ำตาแล้วปฏิเสธเสียงสั่นเครือ “หนูไม่เคยมีอะไรกับอาธามจริง ๆ นะคะแม่”
“อย่ามาโกหกฉันนะยายรุ้ง แกสนิทสนมอยู่กับผู้กองธามคนเดียวจน นังนกยูงมันยังอิจฉา เอาแกไปโพทนาสามบ้านแปดบ้านว่าแย่งผู้ชายของมัน” ราตรีเอ่ยอย่างหมั่นไส้ ยกนิ้วชี้จิ้มหน้าผากลูกผลักแรง ๆ แล้วเอ่ยต่อ “ที่นังนกยูงมันประกาศตัดเพื่อนกับแกไม่ใช่เพราะผู้กองธามหรอกเหรอ อีกอย่างฉันก็ไม่เคยจะเห็นแกสนิทกับผู้ชายคนไหนเท่าเขามาก่อน ถ้าไม่ใช่ผู้กองแล้วแกจะไปท้อง กับใครได้อีกฮะ นังลูกเลว”
“ไม่ใช่อาธามค่ะแม่ ไม่ใช่เขาจริง ๆ ฮือ ๆ...”
พราวรุ้งยืนยันปฏิเสธหนักแน่นทั้งสะอื้น หัวใจเจ็บแปลบทุกครั้งที่ได้ยินชื่อเพื่อนที่โตมาด้วยกัน เธอกับมยุเรศเรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมต้น อยู่ห้องเรียนเดียวกันจนจบมัธยมศึกษาปีที่สามจึงจะแยกย้ายกันไปเรียนตามความถนัด แต่เป็นเพราะพวกเธอทั้งคู่อยู่ในบ้านพักข้าราชการทหารในกองบิน บ้านบิดาของพราวรุ้งอยู่ซอยต้น เป็นบ้านพักโซนผู้บังคับบัญชา ในขณะที่ครอบครัวของมยุเรศอยู่โซนกลาง ๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นโซนเศรษฐกิจของคนในกองบิน เป็นศูนย์กลางการค้าการขาย แม้จะต่างซอยแต่ก็ยังได้เจอกันแทบทุกวัน
มยุเรศเริ่มผิดใจเธอเมื่อเรืออากาศเอกธมกร พลเทพย้ายมาประจำที่กองบิน และเข้าพักอยู่ที่บ้านพักโซนท้ายสุด ซึ่งถือว่าเป็นโซนคนโสด ถึงแม้บางคนจะมีภรรยาแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีภรรยาติดตามมาพักด้วย
“ถ้าอย่างนั้นแกก็บอกมาสิ ว่าแกไปนอนกับใครมา ฉันจะได้ให้พ่อแกไปลากคอมันมารับผิดชอบลูกในท้องของแกถูก” ราตรีฟาดแขนบุตรสาวแรง ๆ อีกครั้งด้วยความโมโห
“ฮือ ๆ...หนูไม่รู้จ้ะแม่ หนูไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” หญิงสาวตอบอย่างอับจน กลืนสะอื้นที่แล่นปรี่ขึ้นจุกลำคออย่างยากลำบาก น้ำตาที่อาบใบหน้า เกิดจากอารมณ์ที่ถูกบีบคั้น
“หมายความว่ายังไง นี่แกไปปล่อยตัวเป็นผู้หญิงใจง่ายนอนกับผู้ชายที่แกยังไม่รู้จักเขาได้ยังไงฮะนังลูกไม่รักดี ฉันควรจะตีแกให้ตายใช่ไหมฮะ” ความเสียใจ ผิดหวังในตัวบุตรสาวทำให้ราตรีถามอย่างเกรี้ยวกราด
“ฮือ ๆ หนูขอโทษค่ะ หนูขอโทษ”
พราวรุ้งโผเข้ากอดเอวมารดา คร่ำครวญเสียงสะอื้นด้วยความเสียใจ รู้สึกผิดที่ทำลายความภาคภูมิใจของมารดา แต่เธอก็ไม่สามารถอธิบายหรือบอกอะไรกับมารดาได้จริง ๆ เพราะผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เธอก็ใช่จะรู้จัก มีเพียงมยุเรศคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถตอบได้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่...เธอจะไม่มีวันถามหรือบอกให้มารดารู้เด็ดขาด ว่าคนที่ประกาศตัดขาดความเป็นเพื่อนกับเธอ คือคนที่กุมความลับของเธอไว้และเป็นคนที่ทำลายความภาคภูมิใจของเธอจนย่อยยับ
“แล้วทีนี้แกจะทำยังไงฮะยายรุ้ง แกทำเรื่องงามหน้าอย่างนี้ คิดบ้างไหมว่าพ่อแม่จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ถ้าใคร ๆ รู้ว่าลูกสาวผู้พันหาญท้องไม่มีพ่อ คราวนี้คงได้เป็นขี้ปากเขาไปทั่ว” ราตรีเอ่ยอย่างเสียใจและผิดหวังอย่างรุนแรง
“หนูขอโทษค่ะแม่ ฮือ ๆ...หนูขอโทษ” พราวรุ้งพร่ำเอ่ยเสียงสั่นเครือ ราตรีเมินหน้าหนี หลับตาระงับความผิดหวัง อำพรางความ พลุ่งพล่านและความปวดร้าวในหัวใจ บาปเวรใดกันหนอ ที่ทำให้ลูกสาวของเธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ มันทำให้เธอนึกย้อนไปถึงอดีตอันขมขื่นของตนขณะตั้งครรภ์บุตรสาวกระทั่งคลอด จากนั้นไม่กี่เดือนเธอก็หมดความอดทนจนตัดสินใจหอบหิ้วพราวรุ้งหนีมาตายเอาดาบหน้า เรื่องราวที่ผ่านมาอย่างเนิ่นนานจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของเธอเลย
“คุณนะเหรอ อายุขนาดคุณนี่นะ...คิดฆ่าตัวตายมาแล้ว” เขาเลิกคิ้วมองเธออย่างรู้สึกประหลาดใจ “หรือว่าเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น เป็นเพราะผมอย่างนั้นรึ”พราวรุ้งเงยหน้าขึ้นมองเขานิ่ง ๆ แล้วก้มลงยิ้มหยันให้ตัวเอง “สำหรับคุณ ฉันมันก็แค่ผู้หญิงที่คุณซื้อมาด้วยเงิน คุณจะไปคิดอะไรกับสิ่งที่คุณได้ไปอย่างฉัน แต่สำหรับฉันมันคือตราบาปที่ฉันไม่มีวันลืม แม้จะอยากลืมแต่สวรรค์ก็ดูจะไม่เมตตาถึงกลั่นแกล้งให้ฉันต้องวนเวียนมาเจอกับคุณและบางทีอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่พร้อมกับคุณอีกต่างหาก”ประโยคที่ได้ยินทำให้เขาอึ้งและรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งต้องพินาศเพราะน้ำมือของเขา และเขาเข้าใจความรู้สึกของเธอได้ดีเพราะครั้งหนึ่งเขาก็เคยรู้สึกแบบนั้นเช่นกันเพราะน้ำมือผู้หญิงในอดีตที่เขาเกือบลืมเธอไปแล้วถ้าไม่ได้มาติดเกาะร้างแห่งนี้ เขาก็คงไม่คิดถึงเรื่องราวของเธอคนนั้นขึ้นมาอีก“ผม...เสียใจ ถ้าเราเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้ คุณต้องการให้ผมชดใช้ให้คุณยังไง ผมยินดีทำทุกอย่าง” เขาตอบอย่างสำนึกผิดจริง ๆเธอเงยหน้าขึ้นมองตาเขานิ่ง ๆ แล้วถอนใจยาว “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ฉันไม่อยากรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก แล
ในเวลาที่เพียงดาวตกเป็นเหยื่อความคิดร้ายกาจของแสงฉานอยู่นั้น พราวรุ้งซึ่งตกเป็นเหยื่อความริษยาของมยุเรศจนต้องมาผูกพันกับเพลิงเพชรกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง ทำให้พันแสงฉวยโอกาสใช้เรื่องระหว่างเธอกับเพลิงเพชรเป็นแผนการกำจัดพี่ชายต่างมารดาของตนอย่างแยบยล พราวรุ้งจึงตกกระไดพลอยโจนต้องมาตกระกำลำบากอยู่กับเพลิงเพชรกลางกระท่อมเก่าโทรมที่อาศัยได้แค่พักพิงหลบฝน หลบหนาวอยู่ขณะนี้“คุณมีแผนจะทำยังไงต่อไปไหมหรือว่าเราต้องรออยู่ที่นี่อย่างไม่รู้วันคืนว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาช่วยเราอย่างนั้นนะเหรอ”หญิงสาวที่นั่งกอดเข่าเกยคางวางบนหัวเข่าตนเอง เอ่ยถามขึ้นอย่าง ทดท้อ ความเงียบปกคลุมไปชั่วขณะจนได้ยินแต่เพียงเสียงไฟกินไม้อยู่ในกองแตกปะทุในบางครั้งกับเสียงอากาศแทรกผ่านแนวไม้ดังหวีดหวิว ดวงตาของทั้งสองจดจ้องอยู่กับเปลวไฟสีแดงวับแวมและประกายไฟสีส้มที่แตกกระเด็นพัดปลิวออกจากกองนั้นอย่างเหม่อลอย ขณะที่ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนไปชั่วขณะ“สถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ มันทำให้ผมคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าไม่ได้จริง ๆ แต่ผมอยากให้คุณเชื่อและไว้ใจในตัวผมว่าจะสามารถดูแลคุณจนกว่าเราจะออกจากเกาะร้างนี
“ก็น่าให้พี่ธามเขาคิดถึงหรอกวะ เมียพี่แกสวยหยาดฟ้ามาดินไม่เหมือนเมียฉัน อยู่ห่างมันได้อีกเป็นอาทิตย์ค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อยว่ะ ผู้หญิงอะไรวะยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งห่อเหี่ยวขึ้นทุกวัน ๆ เลยว่ะ” ป้องหล้าเพื่อนร่วมรุ่นยศเดียวกับเรืออากาศตรีคนแรกทำเสียงเหนื่อยหน่ายเมื่อเอ่ยถึงภรรยา“ไอ้ห่า...ก่อนแต่งกูไม่เห็นมึงพูดแบบนี้นี่หว่า ขนาดพ่อกับแม่มึงห้ามยังไง มึงก็ดันรั้นจะแต่งกับคุณแววเมียคนนี้ให้ได้ ตอนนี้จะมาบ่นหาพระแสงอะไรวะ” คนเป็นเพื่อนแซวอย่างหมั่นไส้ “ไอ้เวร...มึงก็พูดเกินไป คุณแววเขาแค่ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเพราะมัวแต่เอาเวลาไปดูแลลูก ๆ กับผัวปากหมาอย่างมึงนะสิ” คนเป็นเพื่อนกล่าวแก้แทนผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าภรรยาเพื่อนอย่างคนรู้จักสนิทกัน“เมียพี่ธามเขาก็เพิ่งคลอดไม่นาน กูไม่เห็นเธอจะปล่อยตัวทรุดโทรมเหมือนเมียกูเลย พูดแล้วอิจฉาพี่ธามว่ะ” ป้องหล้าพยักพเยิดมองนายทหารรุ่นพี่พร้อมกับเอ่ย“เมื่อไหร่พวกแกจะเลิกเถียงกันซะทีวะ ไหนว่าจะชวนฉันไปเที่ยวข้างนอกกันไง” ธมกรส่ายศีรษะเบา ๆ“ไปแถวรัชดากันไหมพี่ ไปบางรักกัน” เขาหมายถึงร้านแฮงเอ้าท์ที่เน้นความเรียบง่ายสบาย ๆ ย่านรัชดา “ก็ดีนะพี่ธาม ฉลองที่เราผ่าน
“พวกมันเป็นใครคะ ทำไมมันต้องทำแบบนี้กับเราสองคนด้วย แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปดี”หญิงสาวร้องถามเสียงสั่นอย่างหวาดกลัวที่สั่นคลอนหัวใจของเธอจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ความหวั่นไหวอ่อนแอตามประสาผู้หญิงทำให้เธอพิลาศร่ำไห้อย่างโอดครวญเหมือนเด็กเล็ก ๆ ไม่ใช่แค่หวาดเกรงความตายแต่เป็นความหวาดกลัวว่าจะไม่ได้พบหน้าบุตรชายกับทุกคนในครอบครัวอันเป็นที่รักอีก“ใจเย็น ๆ พราวรุ้ง มันต้องมีทางรอดสำหรับเราแน่ อย่างน้อยที่เกาะนี้ก็ยังมีลำธารน้ำจืดให้เราประทังชีวิตได้ แต่ตอนนี้เราต้องช่วยแก้มัดข้อมือให้กันก่อน”เขาปลอบคนข้าง ๆ อย่างสงสารพลางกวาดสายตาสำรวจจนมั่นใจว่าเกาะร้างแห่งนี้เป็นเกาะเดียวกันกับเกาะที่เขาเคยหลงมากับเรือขนสินค้าเมื่อสมัยที่เขาเพิ่งเรียนจบกลับมาทำงานใหม่ ๆ และบิดาส่งเขาให้มาฝึกงานกับคนเก่าคนแก่ของบริษัทฯ เรื่องการขนส่งสินค้าทางเรือทำให้เขามีโอกาสได้เดินทางไปกับเรือของบริษัทฯบ่อยครั้ง และในวันหนึ่งขณะล่องผ่านมาใกล้เกาะแห่งนี้บังเอิญเกิดพายุขึ้นและเกิดปัญหา จึงต้องจอดเรือฉุกเฉินที่นี่ทำให้ เขาได้รู้จักเกาะแห่งนี้เป็นครั้งแรก และสวรรค์ไม่โหดร้ายกับเขาและเธอนักพวกมันจึงไม่รู้ความลับของเกา
เสียงหวีดร้องอย่างตกใจของพราวรุ้งดังประสานกับเสียงห้ามล้อจนยางเสียดสีถนนเกิดเสียงดังกับเสียงรถจักรยานยนต์ล้มไถลแล่นไปตามพื้นถนนขณะที่คนขับรถเล็กคันดังกล่าวกระเด็นแล้วกลิ้งไปอยู่ข้างทาง“ให้ตายห่าสิ!”เพลิงเพชรสบถลั่นหลังควบคุมรถและนำเข้าจอดข้างทางได้โดยสวัสดิภาพ สีหน้าบึ้งตึงขณะตวัดสายตาดุดันมองผ่านกระจกรถไปที่ฝั่งตรงข้ามที่คู่กรณีนอนนิ่งอยู่ข้างทางใกล้กับรถจักรยานยนต์ที่แล่นไถลไปหยุดไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก“เขาจะเป็นอะไรไหม เรารีบลงไปดูเขากันเถอะค่ะ”พราวรุ้งยังไม่คลายอาการตกใจแต่ความเป็นห่วงคู่กรณีมีมากกว่าทำให้เธอรีบละล่ำละลักบอกเพลิงเพชรที่ยังคงนั่งเฉยอยู่หลังพวงมาลัยรถด้วยสีหน้าเครียดขึง“เดี๋ยวผมจะลงไปดูเอง คุณรออยู่ในรถนี่แหละ ที่สำคัญอย่าลืมล็อกประตูจนกว่าผมจะกลับมา”เขาปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อจะลงจากรถไปดูคู่กรณีโดยไม่ลืมสั่งหญิงสาว และเพื่อความไม่ประมาทเขาเอื้อมมือหยิบปืนสั้นที่พกติดไว้ในรถเสมอ เหน็บเอวลงไปด้วย ท่ามกลางสายตาวิตกของพราวรุ้งที่มองอีกฝ่ายลงจากรถและเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อดูอาการคู่กรณีที่ยังนอนเหยียดยาวลักษณะเหมือนไม่มีสติอยู่ริมถนนแต่ในจังหวะที่เพลิงเพชรย่อตัวลงไ
พราวรุ้งเม้มปากพร้อมกับชักสีหน้าก่อนตอบอย่างกระแทกกระทั้น “ฉันจะคุยกับใคร จะยิ้มยังไงมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”“ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ผมจ้างมาเป็นเลขาส่วนตัว และนี่ไม่ใช่เวลาทำงาน คุณจะคุยกับใครจะยิ้มยังไงมันก็คงจะไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอกนะพราวรุ้ง” เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิดเพราะรอยยิ้มสดใสกับดวงตาเป็นประกายของเธอ“แต่ฉันใช้ช่วงเวลาในตอนพักกลางวันของฉันนะคะ คุณมีสิทธิ์อะไรจะมาก้าวก่ายในเมื่อฉันไม่ได้เบียดเบียนเวลางานมาคุยธุระส่วนตัว” เธอเชิดหน้าสูงตอบโต้เขาอย่างไม่พอใจเช่นกัน“ฮึ...” เขาทำเสียงในลำคอ ตวัดหางตามองผ่านใบหน้าเธอเหมือนจะค้อนก่อนเดินเลยโต๊ะทำงานของเธอไปที่โต๊ะตัวเองแล้วเอ่ย “ผมกำลังจะไปท่าเรือ และคุณก็ต้องไปกับผมด้วย วันนี้เราคงไม่เข้ามาที่นี่แล้วเพราะฉะนั้นคุณเตรียมสัมภาระติดตัวออกไปด้วยเลย ส่วนรถคุณจอดไว้ที่นี่ก็ได้เสร็จงานเดี๋ยวผมมาส่ง”“ทำไมต้องให้ฉันไปด้วยล่ะ” เธอเม้มปาก“เพราะคุณเป็นเลขาส่วนตัวของผมยังไงล่ะ” เขาตอบช้าแต่ชัดเจน “ผมให้เวลาคุณ 5 นาที เดี๋ยวผมจะไปรอคุณอยู่ที่รถ”พราวรุ้งถอนหายใจแรงพลางแบะริมฝีปากใส่แผ่นหลังกว้างของคนบ้าอำนาจที่เอาแต่ออกคำสั่งและบังคับเธออย่างพร่ำเ