“แล้วฉันควรจะทำยังไงดีฮะ ฉันจะปล่อยให้แกท้องไม่มีพ่อแบบนี้ได้ยังไง”
ผู้เป็นแม่เอ่ยพึมพำอย่างเป็นทุกข์ แลถอนหายใจยาว ระบายความหนักอึ้งในอก ควบคุมอารมณ์อยู่นาน กว่าที่จะทำใจวางฝ่ามือลงบนศีรษะบุตรสาวหลังระงับโทสะสำเร็จ ความรักตามประสาแม่ที่มีต่อลูกทำให้ราตรีอภัยให้กับความผิดพลาดของลูกได้ไม่ยากนัก แต่เพื่อความแน่ใจ ราตรีจึงออกไปซื้ออุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์มาให้บุตรสาวทดสอบ ซึ่งผลที่แน่ชัดยิ่งทำให้พราวรุ้งปวดร้าว รู้สึกผิดบาปต่อบิดามารดาจนเกิดความเครียดขึ้นอย่างรุนแรง
บิดาของพราวรุ้งเป็นนายทหารยศนาวาอากาศเอก หากข่าวของเธอรั่วไหลออกไป ผู้เป็นพ่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด เสียงซุบซิบของคนหลังบ้านเหล่าลูกน้อง ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะสร้างความขุ่นหมองให้บิดาของเธอมากแค่ไหน...ยิ่งคิดถึงหัวอกบิดา พราวรุ้งยิ่งเครียดจนตัดสินใจที่จะยุติปัญหาทั้งหมดอย่างคนสิ้นคิด
แสงจันทร์คืนข้างขึ้นสว่างจ้าจนนายทหารหนุ่มที่เดินผ่านมา มองเห็นหญิงสาวที่กำลังเดินเหม่อจากริมตลิ่งลงไปในคลองน้ำ ลึกลงไป เรื่อย ๆ ทุกขณะอย่างแจ่มชัด หัวใจผู้กองหนุ่มหล่นวูบ รีบร้องตะโกนเรียกชื่อเธอออกไปสุดเสียงพร้อมกับออกวิ่งตามลงไปคว้าตัวเธอเอาไว้ได้ทันท่วงที เขาพยายามจะเหนี่ยวรั้งเธอกลับขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล หัวใจเต้นโลดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดและใจหาย เมื่อนึกภาพใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของจรรย์อมล น้องสาวของตนที่ปลิดชีวิตตัวเองด้วยการสูดแก๊สพิษขณะหลับเพราะฤทธิ์ยานอนหลับที่รับประทานเข้าไป
“ฮือ ๆ ปล่อยรุ้งนะอาธาม รุ้งอยากตาย อาธามปล่อยรุ้งสิ” พราวรุ้งดิ้นพลางร้องพลางด้วยความรู้สึกอัดอั้น
“หยุดดิ้นนะรุ้ง กลับขึ้นไปคุยกันบนฝั่งดี ๆ เดี๋ยวนี้” นายทหารหนุ่มเอ่ยอย่างดุดัน
“รุ้งอยากตาย อาธามปล่อยรุ้งสิคะ” เธอร้องสะอื้นและพยายามจะดึงตัวออกจากวงแขนกว้างอย่างไม่ฟังเสียงห้ามปราม
“คิดอะไรโง่ ๆ อย่างนี้ฮะพราวรุ้ง” เขาตวาดเสียงกร้าว พลางจับเธอเขย่าตัวแรง ๆ ด้วยความโมโหพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน “การฆ่าตัวตายมันเป็นวิธีแก้ปัญหาของคนสิ้นคิดที่ไม่เคยคิดเลยว่า คนที่รักเราจะเสียใจและทุกข์ทรมานกับการตายจากไปแบบนี้ของเราแค่ไหน เธอจะปล่อยให้ทุกคนเจ็บปวดกับความคิดโง่ ๆ อย่างนี้ของเธอไปทั้งชีวิตได้จริง ๆ เหรอ คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นบ้างไหมฮะพราวรุ้ง”
ธมกรดุเสียงลั่นอย่างมีโทสะ ดวงตากร้าวจ้องมองร่างในอ้อมแขนอย่างตำหนิและใจหายกับความคิดที่ว่า หากเขาไม่บังเอิญผ่านมาพบเข้า ป่านนี้คนตรงหน้าจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่
“ฮือ ๆ แต่ถ้ารุ้งไม่ตาย รุ้งก็ต้องทำให้คนที่รุ้งรักเสียใจและอับอายไปจนชั่วชีวิตเหมือนกัน อาธามปล่อยให้รุ้งตาย ๆ ไปเหอะ รุ้งไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว” เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงสั่นเครือ เนื้อตัวสั่นเทาเริ่มหมดแรงในอ้อมแขนของชายหนุ่มที่กำลังตกอยู่ใต้อำนาจของโทสะ
“เลิกบ้าซะทีพราวรุ้ง! แล้วก็เลิกคิดแทน เป็นห่วงกังวลแทนคนอื่นเสียทีเถอะ” เขาจับบ่าเธอบีบพลางตวาดเตือนอย่างให้สติ “ปัญหาทุกอย่างมันมีทางแก้ไขเสมอ กลับขึ้นไปคุยกับอาข้างบนเดี๋ยวนี้”
เขาสรุปแล้วกึ่งลากกึ่งดึงตัวเธอขึ้นจากน้ำได้ในที่สุด
“เกิดอะไรขึ้น ไหนลองเล่าให้อาฟังสิว่ามีเรื่องอะไรทำให้รุ้งคิดที่จะฆ่าตัวตายหนีปัญหาอย่างนี้”
“ฮือ ๆๆ อาธามขา รุ้งไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว”
เธอคร่ำครวญแล้วยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ระบายออกไปทั้งน้ำตา เธอเล่าให้เขาฟังทุกเรื่องอย่างที่ไม่เคยคิดจะเปิดเผยกับใครให้เขาฟังอย่างละเอียด
“ทำไมฮะรุ้ง ทำไมรุ้งถึงไม่แจ้งความตั้งแต่ตอนนั้น ปล่อยให้นกยูงลอยนวลไปแบบนั้นทำไม...” เขาเอ่ยอย่างหัวเสีย นึกถึงมยุเรศที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างฉุนเฉียว
พราวรุ้งส่ายศีรษะพลางป้ายน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล แล้วเอ่ยอย่างอับจน “รุ้งอาย รุ้งไม่กล้าค่ะอาธาม และถ้ารุ้งทำแบบนั้น ข่าวคาว ๆ ของรุ้งก็คงจะทำให้พ่อกับแม่ขายหน้า รุ้งเลยไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น”
คำตอบของพราวรุ้งก่อให้เกิดอาการบีบคั้นในความรู้สึกของธมกร หัวใจดวงแกร่งปวดร้าวไปทั้งอก เมื่อหวนคิดถึงสาเหตุการเสียชีวิตของน้องสาว ในวันที่จรรย์อมลตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง น้องสาวของเขาคงตกอยู่ในสภาพอับจนหนทาง ไม่แตกต่างไปจากหญิงสาวที่นั่งสะอื้นอยู่ตรงหน้าเขาขณะนี้เช่นกัน และหากในคืนวันนั้นเขามีโอกาสได้อยู่ข้าง ๆ กับน้องเหมือนเช่นที่อยู่กับพราวรุ้งขณะนี้ จรรย์อมลคงจะไม่ต้องจากเขากับครอบครัวไปอย่างนั้นแน่
“ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว และเราก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ เราก็ควรจะอยู่กับปัจจุบัน ทำมันให้ดีที่สุดสิรุ้ง พี่หาญกับพี่ราตรีรู้หรือยังว่าเราท้อง”
เธอไม่ได้ตอบทันทีเพราะติดอาการสะอื้น แต่พอควบคุมได้ก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแผ่ว “คุณแม่ทราบค่ะ แต่เรายังไม่กล้าที่จะบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อ”
“คุณนะเหรอ อายุขนาดคุณนี่นะ...คิดฆ่าตัวตายมาแล้ว” เขาเลิกคิ้วมองเธออย่างรู้สึกประหลาดใจ “หรือว่าเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น เป็นเพราะผมอย่างนั้นรึ”พราวรุ้งเงยหน้าขึ้นมองเขานิ่ง ๆ แล้วก้มลงยิ้มหยันให้ตัวเอง “สำหรับคุณ ฉันมันก็แค่ผู้หญิงที่คุณซื้อมาด้วยเงิน คุณจะไปคิดอะไรกับสิ่งที่คุณได้ไปอย่างฉัน แต่สำหรับฉันมันคือตราบาปที่ฉันไม่มีวันลืม แม้จะอยากลืมแต่สวรรค์ก็ดูจะไม่เมตตาถึงกลั่นแกล้งให้ฉันต้องวนเวียนมาเจอกับคุณและบางทีอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่พร้อมกับคุณอีกต่างหาก”ประโยคที่ได้ยินทำให้เขาอึ้งและรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งต้องพินาศเพราะน้ำมือของเขา และเขาเข้าใจความรู้สึกของเธอได้ดีเพราะครั้งหนึ่งเขาก็เคยรู้สึกแบบนั้นเช่นกันเพราะน้ำมือผู้หญิงในอดีตที่เขาเกือบลืมเธอไปแล้วถ้าไม่ได้มาติดเกาะร้างแห่งนี้ เขาก็คงไม่คิดถึงเรื่องราวของเธอคนนั้นขึ้นมาอีก“ผม...เสียใจ ถ้าเราเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้ คุณต้องการให้ผมชดใช้ให้คุณยังไง ผมยินดีทำทุกอย่าง” เขาตอบอย่างสำนึกผิดจริง ๆเธอเงยหน้าขึ้นมองตาเขานิ่ง ๆ แล้วถอนใจยาว “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ฉันไม่อยากรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก แล
ในเวลาที่เพียงดาวตกเป็นเหยื่อความคิดร้ายกาจของแสงฉานอยู่นั้น พราวรุ้งซึ่งตกเป็นเหยื่อความริษยาของมยุเรศจนต้องมาผูกพันกับเพลิงเพชรกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง ทำให้พันแสงฉวยโอกาสใช้เรื่องระหว่างเธอกับเพลิงเพชรเป็นแผนการกำจัดพี่ชายต่างมารดาของตนอย่างแยบยล พราวรุ้งจึงตกกระไดพลอยโจนต้องมาตกระกำลำบากอยู่กับเพลิงเพชรกลางกระท่อมเก่าโทรมที่อาศัยได้แค่พักพิงหลบฝน หลบหนาวอยู่ขณะนี้“คุณมีแผนจะทำยังไงต่อไปไหมหรือว่าเราต้องรออยู่ที่นี่อย่างไม่รู้วันคืนว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาช่วยเราอย่างนั้นนะเหรอ”หญิงสาวที่นั่งกอดเข่าเกยคางวางบนหัวเข่าตนเอง เอ่ยถามขึ้นอย่าง ทดท้อ ความเงียบปกคลุมไปชั่วขณะจนได้ยินแต่เพียงเสียงไฟกินไม้อยู่ในกองแตกปะทุในบางครั้งกับเสียงอากาศแทรกผ่านแนวไม้ดังหวีดหวิว ดวงตาของทั้งสองจดจ้องอยู่กับเปลวไฟสีแดงวับแวมและประกายไฟสีส้มที่แตกกระเด็นพัดปลิวออกจากกองนั้นอย่างเหม่อลอย ขณะที่ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนไปชั่วขณะ“สถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ มันทำให้ผมคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าไม่ได้จริง ๆ แต่ผมอยากให้คุณเชื่อและไว้ใจในตัวผมว่าจะสามารถดูแลคุณจนกว่าเราจะออกจากเกาะร้างนี
“ก็น่าให้พี่ธามเขาคิดถึงหรอกวะ เมียพี่แกสวยหยาดฟ้ามาดินไม่เหมือนเมียฉัน อยู่ห่างมันได้อีกเป็นอาทิตย์ค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อยว่ะ ผู้หญิงอะไรวะยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งห่อเหี่ยวขึ้นทุกวัน ๆ เลยว่ะ” ป้องหล้าเพื่อนร่วมรุ่นยศเดียวกับเรืออากาศตรีคนแรกทำเสียงเหนื่อยหน่ายเมื่อเอ่ยถึงภรรยา“ไอ้ห่า...ก่อนแต่งกูไม่เห็นมึงพูดแบบนี้นี่หว่า ขนาดพ่อกับแม่มึงห้ามยังไง มึงก็ดันรั้นจะแต่งกับคุณแววเมียคนนี้ให้ได้ ตอนนี้จะมาบ่นหาพระแสงอะไรวะ” คนเป็นเพื่อนแซวอย่างหมั่นไส้ “ไอ้เวร...มึงก็พูดเกินไป คุณแววเขาแค่ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเพราะมัวแต่เอาเวลาไปดูแลลูก ๆ กับผัวปากหมาอย่างมึงนะสิ” คนเป็นเพื่อนกล่าวแก้แทนผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าภรรยาเพื่อนอย่างคนรู้จักสนิทกัน“เมียพี่ธามเขาก็เพิ่งคลอดไม่นาน กูไม่เห็นเธอจะปล่อยตัวทรุดโทรมเหมือนเมียกูเลย พูดแล้วอิจฉาพี่ธามว่ะ” ป้องหล้าพยักพเยิดมองนายทหารรุ่นพี่พร้อมกับเอ่ย“เมื่อไหร่พวกแกจะเลิกเถียงกันซะทีวะ ไหนว่าจะชวนฉันไปเที่ยวข้างนอกกันไง” ธมกรส่ายศีรษะเบา ๆ“ไปแถวรัชดากันไหมพี่ ไปบางรักกัน” เขาหมายถึงร้านแฮงเอ้าท์ที่เน้นความเรียบง่ายสบาย ๆ ย่านรัชดา “ก็ดีนะพี่ธาม ฉลองที่เราผ่าน
“พวกมันเป็นใครคะ ทำไมมันต้องทำแบบนี้กับเราสองคนด้วย แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปดี”หญิงสาวร้องถามเสียงสั่นอย่างหวาดกลัวที่สั่นคลอนหัวใจของเธอจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ความหวั่นไหวอ่อนแอตามประสาผู้หญิงทำให้เธอพิลาศร่ำไห้อย่างโอดครวญเหมือนเด็กเล็ก ๆ ไม่ใช่แค่หวาดเกรงความตายแต่เป็นความหวาดกลัวว่าจะไม่ได้พบหน้าบุตรชายกับทุกคนในครอบครัวอันเป็นที่รักอีก“ใจเย็น ๆ พราวรุ้ง มันต้องมีทางรอดสำหรับเราแน่ อย่างน้อยที่เกาะนี้ก็ยังมีลำธารน้ำจืดให้เราประทังชีวิตได้ แต่ตอนนี้เราต้องช่วยแก้มัดข้อมือให้กันก่อน”เขาปลอบคนข้าง ๆ อย่างสงสารพลางกวาดสายตาสำรวจจนมั่นใจว่าเกาะร้างแห่งนี้เป็นเกาะเดียวกันกับเกาะที่เขาเคยหลงมากับเรือขนสินค้าเมื่อสมัยที่เขาเพิ่งเรียนจบกลับมาทำงานใหม่ ๆ และบิดาส่งเขาให้มาฝึกงานกับคนเก่าคนแก่ของบริษัทฯ เรื่องการขนส่งสินค้าทางเรือทำให้เขามีโอกาสได้เดินทางไปกับเรือของบริษัทฯบ่อยครั้ง และในวันหนึ่งขณะล่องผ่านมาใกล้เกาะแห่งนี้บังเอิญเกิดพายุขึ้นและเกิดปัญหา จึงต้องจอดเรือฉุกเฉินที่นี่ทำให้ เขาได้รู้จักเกาะแห่งนี้เป็นครั้งแรก และสวรรค์ไม่โหดร้ายกับเขาและเธอนักพวกมันจึงไม่รู้ความลับของเกา
เสียงหวีดร้องอย่างตกใจของพราวรุ้งดังประสานกับเสียงห้ามล้อจนยางเสียดสีถนนเกิดเสียงดังกับเสียงรถจักรยานยนต์ล้มไถลแล่นไปตามพื้นถนนขณะที่คนขับรถเล็กคันดังกล่าวกระเด็นแล้วกลิ้งไปอยู่ข้างทาง“ให้ตายห่าสิ!”เพลิงเพชรสบถลั่นหลังควบคุมรถและนำเข้าจอดข้างทางได้โดยสวัสดิภาพ สีหน้าบึ้งตึงขณะตวัดสายตาดุดันมองผ่านกระจกรถไปที่ฝั่งตรงข้ามที่คู่กรณีนอนนิ่งอยู่ข้างทางใกล้กับรถจักรยานยนต์ที่แล่นไถลไปหยุดไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก“เขาจะเป็นอะไรไหม เรารีบลงไปดูเขากันเถอะค่ะ”พราวรุ้งยังไม่คลายอาการตกใจแต่ความเป็นห่วงคู่กรณีมีมากกว่าทำให้เธอรีบละล่ำละลักบอกเพลิงเพชรที่ยังคงนั่งเฉยอยู่หลังพวงมาลัยรถด้วยสีหน้าเครียดขึง“เดี๋ยวผมจะลงไปดูเอง คุณรออยู่ในรถนี่แหละ ที่สำคัญอย่าลืมล็อกประตูจนกว่าผมจะกลับมา”เขาปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อจะลงจากรถไปดูคู่กรณีโดยไม่ลืมสั่งหญิงสาว และเพื่อความไม่ประมาทเขาเอื้อมมือหยิบปืนสั้นที่พกติดไว้ในรถเสมอ เหน็บเอวลงไปด้วย ท่ามกลางสายตาวิตกของพราวรุ้งที่มองอีกฝ่ายลงจากรถและเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อดูอาการคู่กรณีที่ยังนอนเหยียดยาวลักษณะเหมือนไม่มีสติอยู่ริมถนนแต่ในจังหวะที่เพลิงเพชรย่อตัวลงไ
พราวรุ้งเม้มปากพร้อมกับชักสีหน้าก่อนตอบอย่างกระแทกกระทั้น “ฉันจะคุยกับใคร จะยิ้มยังไงมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”“ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ผมจ้างมาเป็นเลขาส่วนตัว และนี่ไม่ใช่เวลาทำงาน คุณจะคุยกับใครจะยิ้มยังไงมันก็คงจะไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอกนะพราวรุ้ง” เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิดเพราะรอยยิ้มสดใสกับดวงตาเป็นประกายของเธอ“แต่ฉันใช้ช่วงเวลาในตอนพักกลางวันของฉันนะคะ คุณมีสิทธิ์อะไรจะมาก้าวก่ายในเมื่อฉันไม่ได้เบียดเบียนเวลางานมาคุยธุระส่วนตัว” เธอเชิดหน้าสูงตอบโต้เขาอย่างไม่พอใจเช่นกัน“ฮึ...” เขาทำเสียงในลำคอ ตวัดหางตามองผ่านใบหน้าเธอเหมือนจะค้อนก่อนเดินเลยโต๊ะทำงานของเธอไปที่โต๊ะตัวเองแล้วเอ่ย “ผมกำลังจะไปท่าเรือ และคุณก็ต้องไปกับผมด้วย วันนี้เราคงไม่เข้ามาที่นี่แล้วเพราะฉะนั้นคุณเตรียมสัมภาระติดตัวออกไปด้วยเลย ส่วนรถคุณจอดไว้ที่นี่ก็ได้เสร็จงานเดี๋ยวผมมาส่ง”“ทำไมต้องให้ฉันไปด้วยล่ะ” เธอเม้มปาก“เพราะคุณเป็นเลขาส่วนตัวของผมยังไงล่ะ” เขาตอบช้าแต่ชัดเจน “ผมให้เวลาคุณ 5 นาที เดี๋ยวผมจะไปรอคุณอยู่ที่รถ”พราวรุ้งถอนหายใจแรงพลางแบะริมฝีปากใส่แผ่นหลังกว้างของคนบ้าอำนาจที่เอาแต่ออกคำสั่งและบังคับเธออย่างพร่ำเ