‘กรี๊ดดดดดดด’
“พี่เตย์ โคตรเท่ห์เลยอ่าแก” รุ่นน้องสาวสวยปีหนึ่งกรี๊ดออกมาแล้วหันมาแตะมือกันด้วยความระริกระรี้เมื่อเห็นเตย์มีเตะบอลเข้าโกลทำประตูชัยให้กับคณะนิติศาสตร์ชนะคณะบริหารไป3ต่อ2 ประตู
ร่างสูงร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรกระโดดตัวลอยกอดเพื่อนรักอย่างคณินพรางหันไปขยิบตาให้สาวๆ ที่นั่งอยู่บนสแตนด์เชียร์ทำเอาชะนีน้อยใหญ่กรี๊ดคอแทบแตก ยกเว้นคนเดียวที่เอาแต่นั่งก้มหน้าจับใจความสำคัญของมาตรากฎหมายอาญา
“ช้องนาง! ช้องโว้ย” เสียงเรียกดังขึ้นหลังจากเสียงกรี๊ดสงบลงคนเจ้าเนื้อสะดุ้งโหยงดึงสติตัวเองกลับมาหันขวับไปมองว่าใครเรียกแล้วก็เห็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในชีวิตกวักมือเรียกไวๆ พรางเท้าสะเอว
“มีอะไรเหรอณา” หญิงสาวตะโกนถามกลับแล้วพับเก็บหนังสือในมือใส่กระเป๋าก่อนจะพาร่างอ้วน ๆของตัวเองลงมาจากสแตนด์เชียร์อย่างทุลักทุเล
เรียนชั้นปีสี่แล้วทว่ากิจกรรมในมหาวิทยาลัยยังคงแน่นตลอดทั้งเทอมทั้งที่ปีสุดท้ายแล้วควรต้องเน้นการเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ทว่าอาจารย์ก็ยังคงให้มาช่วยรุ่นน้องอยู่ดี
“น้ำนักฟุตบอลหมดมาช่วยยกถังน้ำไปให้หน่อยสิ ฉันยกคนเดียวไม่ไหว”
ช้องนางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันไปมองเต็นท์นักกีฬาฝั่งตรงข้ามซึ่งมีแต่ผู้ชายนั่งกัน บางคนก็นั่งร้องเชียร์เพื่อนส่วนบางคนก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม สมกับเป็นชายแท้กันเสียจริงปล่อยให้กลุ่มผู้หญิงทำงานกันเอง
“ช้อง มัวมองอะไรมาช่วยยกก่อน” ณาราร้องเรียกอีกครั้ง
“เออ รู้แล้ว” เลื่อนกระเป๋าสะพายข้างไปไว้ด้านหลังย่อตัวลงไปจับหูถังน้ำอีกฝั่งแล้วออกแรงยก
ช้องนาง จันธารัตน์ ผู้หญิงร่างหมีสูง165 หนักเกือบร้อยกิโลทว่าใบหน้ากลับสวย คิ้วโก่งรับกับจมูกเล็ก ริมฝีปากบางเป็นกระจับ ผิวกายเนียนใสจนผู้หญิงบางคนยังอิจฉาแม้ว่าในคณะเธอจะทำตัวเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่เพื่อน ๆ ก็ยังคงอยากเข้าหาด้วยเหตุผลเดียวก็คือเธอเรียนเก่งและเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์สอนทุกวิชา
“หนักไม่ใช่เล่นเลยแฮะ” ณาราบ่นออกมาขณะวางถังน้ำลงพร้อมยกมือปาดเหงื่อ
“ไม่หนักสิแปลก ถังน้ำนะไม่ใช่ปุยนุ่น”
“ตั้งใจกวนตีนฉันปะเนี่ย” กรอกตามองบนกับความกวนตีนหน้านิ่งของเพื่อนรัก ช้องนางไหวไหล่เล็กน้อยแล้วระบายยิ้มออกมา
“แกดูโน้นสิ”
ณาราเพยิดหน้าไปทางสนามหญ้าขณะที่หนุ่มฮอตประจำคณะ ไม่สิ ต้องเรียกว่าประจำมหาวิทยาลัยเลยดีกว่ากำลังถูกสาวๆ รุมล้อมหน้าหลัง บางคนก็รีบเช็ดเหงื่อบางคนก็ส่งน้ำดื่มให้เพื่อเอาอกเอาใจ
“ไม่แปลก” เธอพูดคำเดิมเหมือนเมื่อกี้แล้วขยับเท้าเดิน ณาราจึงรีบวิ่งตามหลัง
ทั้งเตย์มีและคณินมีหน้าตาหล่อเหลาแถมยังสูงและหุ่นดีมาก โดยเฉพาะเตย์มีพ่วงด้วยตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัย
ช่วงสมัยเรียนปีหนึ่งเธอเคยได้ยินมาว่ามีโมเดลลิ่งมาติดต่อให้ไปเป็นนายแบบและพระเอกละครตั้งหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งกลับคว้าแห้วกลับไปเพราะชายหนุ่มปฏิเสธ
ช้องนางเองยังเคยคิดเลยว่าไม่น่าปฏิเสธเลย เพราะเขาเรียนที่นี่เกรดก็ใช่ว่าจะดี น่าจะหันไปเอาดีด้านดารามากกว่าอย่างน้อยก็มีเงินเลี้ยงตัวเอง แต่เธอลืมไปว่าหมอนั้นบ้านรวยพ่อเป็นถึงผู้พิพากษาสูงสุดศาลฎีกาแถมธุรกิจที่บ้านก็มีอีกตั้งมากมายต่อให้ไม่กระดิกตัวทำงานก็ยังมีกินมีใช้ตลอดทั้งชาติ ไม่เหมือนกับเธอถูกจำกัดเอาไว้กับคำว่ายากจน
ขนาดว่ายากจนนะเนี่ยตัวยังใหญ่ขนาดนี้ ช้องนางก้มลงมองร่างกายตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“เฮ้ออออ”
“เป็นอะไรคะ คุณเพื่อนถอนหายใจเสียงดังเชียว”
“เปล่า แค่...คิดอยู่ว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี” หยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วใช้ความคิด
“ว่าแล้วในหัวแกมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก ไม่เรื่องกิน เรียน ก็เรื่องเงิน” ณารายกมือขึ้นมานับนิ้วประกอบแล้วส่ายหน้าก่อนจะคล้องแขนใหญ่เดินกลับคณะเพื่อไปเอาขนมมาแจกรุ่นน้องปีหนึ่งตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเพื่อนร่วมรุ่น
“เตย์คะ” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแหวกกลุ่มนักศึกษาสาวที่กำลังรายล้อมเตย์มี
ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับสาวสวยหุ่นระหง นมเป็นนม ตูดเป็นตูดกลมกลึงน่าจับไปหมด เรียวขาสวยจนต้องมองเหลียวหลัง ซึ่งเธอเป็นคู่ควงคนล่าสุดและก็เป็นได้แค่นั้นเพราะเขาไม่เคยให้สถานภาพผู้หญิงคนไหนว่าแฟนเลยสักคน
“อ้าวพริ มาดูผมเตะบอลด้วยเหรอ” ขายาวก้าวเข้ามาหายิ่งทำให้พริมากระหยิ่มใจแล้วปรายตามองสาวๆ เหล่านั้นว่าเธอคือผู้ชนะ
“มาสิคะ ไม่งั้นจะเห็นสาว ๆ รุมทึ้งคุณเป็นเสือล่าเนื้อเหรอคะ”
“หึงผมเหรอ” เอื้อมมือแตะหน้าสวยแล้วเขี่ยไรผมให้
“พริหึงได้ด้วยเหรอคะ คุณไม่ชอบให้ใครมาเป็นเจ้าข้าว เจ้าของนี่”
น้ำเสียงปนน้อยใจแต่เธอทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้เพราะไม่อยากสูญเสียเขาไป ตอนแรกกะควงเล่น ๆเพื่อประดับบารมี ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เธอเผลอรู้สึกจริงขึ้นมา
“ดีจัง ที่คุณรู้สถานะตัวเองแบบนี้ ต้องมอบรางวัลให้สักยกแล้วล่ะ”
เตย์มีก้มลงกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันสองคน หญิงสาวยิ้มพรายออกมารู้ดีว่ารางวัลนั้นหมายถึงอะไร แล้วก็เป็นฝ่ายเดินตามหลังเขาไปทันที
ช้องนางรีบจ่ายค่ารถสาวเท้ายาว ๆ ตรงไปยังห้องแจ้งความภาพที่เห็นคือคนเป็นป้าทุบหลังลูกชายพรางกร่นด่าไปด้วย ความเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาปกคลุมหัวใจอีกครั้ง เธออยากหนีความวุ่นวายไปให้ไกล ๆ ทว่าก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เหลือแค่ป้าระวีเป็นญาติเพียงคนเดียว“เลิกเสียงดัง หรือโวยวายได้แล้วค่ะป้า เกรงใจคนอื่นบ้าง” ช้องนางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ ดวงตากลมจ้องมองลูกพี่ลูกน้องด้วยสายตา คาดโทษที่มันมักสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน“ยัยช้อง”“พี่ช้อง”ทั้งคู่อุทานเรียกชื่อพร้อมกันเหมือนมองเห็นนางฟ้ามาโปรดแต่กับอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนบ่วงกรรมคล้องคอเสียมากกว่า เธอผ่อนลมหายใจออกมาแล้วเดินไปย่อตัวนั่งเก้าอี้ว่างด้านข้างพร้อมยกมือไหว้คุณตำรวจ“ฉันเป็นลูกพี่ ลูกน้องของคนนี้ค่ะ” น้ำเสียงเจือความเหนื่อยล้าถามโดยไม่หันไปมองหน้าสองแม่ลูกเสียด้วยซ้ำ“หนูขอทราบข้อกล่าวหาของนายรภัทรหน่อยได้ไหมคะ”เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยับปากจะแจ้งรายละเอียดแล้วก็ต้องเงียบลงเมื่อระวีพูดจาท้าทายอวดเก่งว่าหลานตัวเองเรียนกฎหมายมาจนช้องนางรู้สึกหมดความอดทน“พอได้แล้วป้าวี! ช้องเรียนกฎหมายมาก็จริงไม่ได้เอามาเบ่งใส่ใ
“พวกมึง ตำรวจมา!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นแล้วก็วิ่งแซงหน้าไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ตัวเองแล้วเร่งเครื่องออกไปตามด้วยขบวนเด็กแว๊นหลายคันขับตามกัน มีเพียงแค่รภัทรเท่านั้นที่ชักช้าเพราะรถสตาร์ทไม่ติดจนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวกลับไปยังโรงพักชาวบ้านย่านนั้นโทรเข้ามาร้องเรียนว่ามีกลุ่มวัยรุ่นมาตั้งแก๊งแข่งรถกันเกือบทุกวันสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านและผู้สัญจรไปมา จนบางครั้งเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บสาหัสก็มี วันนี้ทางการจึงได้วางแผนล้อมจับอย่างรัดกุมรภัทรถึงกับหน้าเสียเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าได้แต่นั่งซึมอยู่ต่อหน้าตำรวจเวรประจำวัน ขายาวสั่นพับๆแล้วบอกเบอร์โทรผู้ปกครองให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ตายด้วยมือแม่... ก็ตายด้วยมือพี่ช้องแน่ ๆ“หนุ่มหล่อกลุ่มนั้นมาอีกแล้วแก ฉันขอไปดูแลนะ” เด็กนั่งดริ้งสาวสวยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความระริกระรี้ส่วนคนอื่น ๆ ก็ขอติดตามไปด้วยเพราะถึงอย่างไรโต๊ะนั้นก็มีผู้ชายหลายคน“จะว่าไปก็เป็นเด็กเอ๊าะ ๆทั้งนั้นเลย” ยกมือลูบปากอยากกินเด็กแล้วต่างพากันหัวเราะคึกครื้นช้องนางเดินกลับมาได้ยินได้พอดีแต่ยิ้มอ่อน ๆแล้วส่ายหัว เธอเห็นกลุ่มของเตย์มีและคณินเดินเข้ามาตั้งแต่หน้าร้านแล้วแหละแต่แ
แสงแดดจ้าสาดผ่านกระจกใสเข้ามากระทบใบหน้าเนียนใส ทว่าคนหลับลึกกลับไม่รู้ตัว เตย์มีเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้มือยกป้องแดดร่างอ้วนเอนหลังพงกับแท่นบัลลังก์จำลอง มือข้างหนึ่งยังคงถือชีตสรุปย่อของมาตรากฎหมาย สองขาป้อมเหยียดตรงในท่านั่ง กระโปรงทรงพีชเลิกขึ้นเหนือเข่าเล็กน้อยชายหนุ่มจึงถือวิสาสะดึงลงให้เมื่อช่วงกลางวันเผอิญเดินผ่านณาราแล้วไม่เห็นเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันยิ่งกว่าปลาท่องโก๋จึงเอ่ยถามว่าไปไหน เขาจึงรู้ว่าเธอมาแอบหลับอยู่ที่นี่เองลมหายใจของคนหลับผ่อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่นานศีรษะก็เอนมาพิงไหล่ ชายหนุ่มจึงขยับท่านั่งให้สมดุลเพื่อที่เธอจะได้หนุนหัวไหล่ได้อย่างสะดวก...ไม่นานเตย์มีก็หลับตามไปอีกคนติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดเสียงนาฬิกาปลุกจากสมาร์ตโฟนเครื่องสวยดังเข้ามาในโซนประสาท ช้องนางอยากจะหยุดเวลาพักผ่อนเอาไว้สักสองวันเสียจริงทว่าก็ทำไม่ได้ใบหน้าซุกเข้ากับอะไรบางอย่างจะว่าแข็งก็ไม่แข็งจะว่านุ่มก็ไม่นุ่มแต่ที่แน่ ๆ มันทำให้เธอหลับสบายตลอดสามชั่วโมงที่ผ่านมา ดวงตากลมค่อยๆ ลืมขึ้นแล้วปรับโฟกัสสายตาตัวเองให้เข้ากับแสดงที่ส่องเข้ามาคราแรกเมื่อลืมตาตื่นมือของเธอถูกกุมไว้จากเรียวนิ้วของมือใครก็ไม
เช้าของวันใหม่เตย์มีตื่นตั้งแต่ไก่โห่โดยที่ป้าอุ่นไม่ได้เข้ามาปลุกเลย ทำเอาแม่บ้านสูงวัยประจำบ้านถึงกับงงงวยว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนเดินไปหยิกแขนคุณหนูที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก“โอ้ย...เจ็บ” สะดุ้งโหยงสะบัดแขนเราๆ “หยิกผมทำไมป้าอุ่น”“คุณหนูเจ็บ?”“อ้าว ก็เจ็บนะสิโดนหยิกแรงขนาดนี้”“แสดงว่าป้าไม่ได้ฝันไปค่ะ” ป้าอุ่นยกมือตบแก้มตัวเองเบาๆ เพื่อยืนยันอีกครั้ง“ฝันอะไรครับ ผมงงไปหมดแล้ว”“เอ้า ก็วันนี้คุณหนูตื่นเอง ป้าไม่ได้ขึ้นไปปลุกแถมยังตื่นเช้าผิดปกติ ลงมาพร้อมชุดนักศึกษา” หล่อนส่ายหน้าอย่างไม่น่าเชื่อว่าลูกชายไม่เอาถ่านของบ้านท่านผู้พิพากษาจะตื่นเช้าได้“โธ่ ป้าอุ่น คนเรามันก็ต้องมีเปลี่ยนไปบ้าง ไม่คุยด้วยล่ะ ไปดีกว่า”“ไม่กินข้าวก่อนเหรอคะ” ร้องถามตามหลังคนที่วิ่งเหยาะๆ ไปยังรถคู่ใจ “ไม่ครับ กลัวไม่ทัน”คาบเรียนเช้าวันศุกร์เริ่มเก้าโมงทว่าเตย์มีขับรถมาจอดก่อนถึงป้ายรถเมล์ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อดักรอใครบางคน มือจับคันเกียร์รถเขยิบไปยังตัว P เพื่อตั้งท่ารอพอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเขาเห็นหลังของคนตัวกลมขึ้นรถเมล์ไปแล้ว อุตส่าห์มาดักรอเพื่อจะรับไปด้วยกันแค่พริบตาเดียวคาดกันเสียอย่างนั้นไ
อาจารย์ผู้หญิงวัยสามสิบกว่าปีเริ่มอธิบายวิชากฎหมายแรงงานซึ่งเป็นวิชาหลักของช่วงชั้นสุดท้ายของนักศึกษาปีสี่“สิทธิของลูกจ้างกรณีถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด สามารถเรียกร้องอะไรได้บ้างคะ”อาจารย์สาวกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง ซึ่งนักศึกษาแทบทุกคนเลือกหลบสายตายกเว้นช้องนางซึ่งเธอตั้งใจฟังมาตั้งแต่เริ่มสอนแต่อาจารย์ก็ไม่เลือกถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอตอบได้จึงมองเลยไปด้านหลังสุดซึ่งเห็นเตย์มีนอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะเรียวขาสวยก้าวไปด้านหลังสุดแล้วใช้ปากกาเมจิกเคาะไปยังโต๊ะสองสามครั้งจนนักศึกษาหน้าหล่องัวเงียเงยหน้าขึ้น“มีอะไรครับเหรอครับอาจารย์”“ที่ฉันสอนไปเมื่อครู่ไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม” อาจารย์สาวเริ่มเสียงดังขึ้นเพื่อนทั้งห้องจึงหันหลังไปมอง คำถามของอาจารย์เมื่อครู่เขาหูแว่วได้ยินเหมือนในฝัน“ก็คงงั้นครับ สอนน่าเบื่อขนาดนี้ผมเลยง่วงนอน” เขาไหว่ไหล่ยกมือป้องปากหาว อาจารย์ประจำวิชาได้แต่ถอนหายใจออกมาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะเป็นถึงลูกชายผู้พิพากษาสูงสุดศาลฎีกา“ไม่แปลกใจหรอกที่ท่านกมลหนักใจและเป็นกังวลกับลูกชายคนเดียว”เตย์มีเห็นแววตาดูถูกของอาจารย์แล้วเธอก็ผละออกจากตรงนั้นเดินไปถึงกลางห้องฝีจึง
“คุณหนู คุณหนูตื่นเถอะค่ะ” ป้าอุ่นหญิงมีอายุวัยห้าสิบกว่าปีรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาปลุกลูกชายคนเดียวของบ้านด้วยความร้อนใจ เมื่อยังเห็นเตย์มีนอนนิ่งจึงเปลี่ยนเป็นดึงผ้าห่มออกแล้วเขย่าตัวอย่างแรงให้ตื่นขึ้นมาก่อนจะเกิดสงคราม“มีอะไรป้าอุ่น ทำไมถึงปลุกผมแต่เช้า” ร่างกำยำลุกขึ้นแบบงัวเงยดวงตายังไม่ทันลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“เช้าอะไรคะ มันจะบ่ายแล้วค่ะ ตอนนี้คุณท่านกลับมาจากขึ้นบัลลังก์ศาลแล้วค่ะ ถามใหญ่เลยว่าคุณหนูไปเรียนหรือยัง” ตาสว่างโร่ขึ้นมาทันที บ่ายนี้มีเรียนอีกต่างหาก ไปสายมีหวังท่านได้ยึดบัตรเครดิตเหมือนครั้งที่แล้วแน่นอน อาจารย์ในคณะก็มักจะโทรมาฟ้องพ่ออยู่บ่อยครั้งร่างสูงกระโดดลงจากเตียงวิ่งไปคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำไม่นานก็กลับออกมาด้วยชุดนักศึกษาเตรียมพร้อมสำหรับไปเรียน ความโชคดีของคุณหนูประจำตระกูล ‘เชาวกรกุล’ คือไม่ต้องซักผ้า รีดผ้าเองแค่เปิดตู้เสื้อผ้าทุกอย่างก็ถูกจัดเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว“ทำไมยังไม่ไปเรียนอีก มันกี่โมงแล้ว” เสียงทุ้มกังวาลดังขึ้นเมื่อเห็นเจ้าลูกชายไม่เอาถ่านเดินย่องลงบันไดมา คิดหรือว่าเขาจะไม่เห็นเตย์มีสะดุ้งเล็กน้อยหันมายิ้มฟันขาวให้กับคนเป็นพ่อ “