ช้องนางรีบจ่ายค่ารถสาวเท้ายาว ๆ ตรงไปยังห้องแจ้งความภาพที่เห็นคือคนเป็นป้าทุบหลังลูกชายพรางกร่นด่าไปด้วย ความเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาปกคลุมหัวใจอีกครั้ง เธออยากหนีความวุ่นวายไปให้ไกล ๆ ทว่าก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เหลือแค่ป้าระวีเป็นญาติเพียงคนเดียว
“เลิกเสียงดัง หรือโวยวายได้แล้วค่ะป้า เกรงใจคนอื่นบ้าง” ช้องนางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ ดวงตากลมจ้องมองลูกพี่ลูกน้องด้วยสายตา คาดโทษที่มันมักสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน
“ยัยช้อง”
“พี่ช้อง”
ทั้งคู่อุทานเรียกชื่อพร้อมกันเหมือนมองเห็นนางฟ้ามาโปรดแต่กับอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนบ่วงกรรมคล้องคอเสียมากกว่า เธอผ่อนลมหายใจออกมาแล้วเดินไปย่อตัวนั่งเก้าอี้ว่างด้านข้างพร้อมยกมือไหว้คุณตำรวจ
“ฉันเป็นลูกพี่ ลูกน้องของคนนี้ค่ะ” น้ำเสียงเจือความเหนื่อยล้าถามโดยไม่หันไปมองหน้าสองแม่ลูกเสียด้วยซ้ำ
“หนูขอทราบข้อกล่าวหาของนายรภัทรหน่อยได้ไหมคะ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยับปากจะแจ้งรายละเอียดแล้วก็ต้องเงียบลงเมื่อระวีพูดจาท้าทายอวดเก่งว่าหลานตัวเองเรียนกฎหมายมาจนช้องนางรู้สึกหมดความอดทน
“พอได้แล้วป้าวี! ช้องเรียนกฎหมายมาก็จริงไม่ได้เอามาเบ่งใส่ใคร”
ระวีหน้าเจื่อนลงทันทีอยากจะโต้กลับแต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะต้องอาศัยความรู้และเงินช่วยเหลือลูกชายตัวเอง
ตำรวจเวรประจำวันถึงกับส่ายหน้าในความพ่อแม่รังแกฉันและรู้สึกเวทนาหญิงสาวตรงหน้าแทนเพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กคนนั้นสร้างปัญหาจนต้องขึ้นโรงพัก
“มีไม่กี่กระทงหรอก หนึ่งขับรถโดยไม่สวมหมวกนิรภัย เปรียบเทียบปรับสองพันบาท สองไม่มีใบอนุญาตขับขี่ปรับหนึ่งพันบาท สามท่อดังเกินกว่ากฎหมายกำหนดปรับหนึ่งพันบาท ข้อสุดท้ายหนักหน่อยขับรถโดยไม่มีคำนึงถึงความปลอยภัย ปรับหนึ่งหมื่นบาท ดีนะโดนจับเรื่องพวกนี้ครั้งแรกสารวัตรท่านเลยให้แค่เปรียบเทียบปรับเป็นเงินไม่ต้องจำคุก” ผู้หมวดหันไปยังสองแม่ลูกว่าดีแค่ไหน แล้วยังมีคนเมตตาไม่นึกหมั่นไส้ในความปากแจ๋ว
ช้องนางไล่เปิดพ.ร.บจราจรในหัวสมองกับข้อกล่าวหาเมื่อครู่อย่างน้อยข้อหาสุดท้ายก็ไม่ต้องติดคุกติดตารางทว่าเบี้ยปรับนั้นคือเต็มเพดานของค่าปรับโดยไม่ลดให้เลยสักบาทเดียว
“ป้าวีต้องจ่ายค่าปรับทั้งหมดหนึ่งหมื่นสี่พันบาทถึงจะเอารถแล้วก็พาตัวไอ้ภัทรกลับไปได้” กดเสียงให้ต่ำมากที่สุดจะได้ไม่ต้องมานั่งกับป้าที่หัวรั้นไม่ฟังใคร
“ไม่มี ข้าไม่มีหรอก เงินเป็นหมื่นข้าจะไปหามาจากไหน” ยังคงไหวไหล่ยืนยันคำเดิม พรางหันไปหยิกแขนลูกชาย
“ถ้าป้าวีไม่มีก็ต้องให้เขายึดรถและคุมประพฤติไอ้ภัทร หรือไม่ก็ต้องติดคุกแทนค่าปรับ”
ประโยคหลังนี้เธอโกหกแล้วขยิบตาให้ตำรวจเล่นตามน้ำให้หน่อยเพื่อให้ลูกพี่ลูกน้องเธอหลาบจำบ้าง
“ไม่เอานะพี่ช้อง ภัทรไม่อยากติดคุก รถนั้นก็ให้คุณตำรวจยึดไม่ได้ เพราะเป็นรถลูกพี่ผม ไม่งั้นเขาฆ่าผมตายแน่” เด็กหนุ่มเขย่าขาสั่นไปมาดังกึกๆ ด้วยความกลัว แววตาหวั่นวิตกกังวลเพราะรู้ดีว่าเจ้าของรถนั้นทั้งโหดและป่าเถื่อนแค่ไหน
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง แกเป็นคนสร้างปัญหานั้นมาเองก็ต้องตามแก้เองสิ” เรียวนิ้วชี้จิ้มไปยังหน้าผากด้วยความโมโห
“แกก็จ่ายปรับให้ก่อนสิ ฉันสัญญานะขายของได้แล้วฉันจะถยอยจ่ายคืนให้” ระวีส่งสายตาอ้อนวอนหลานสาว
“หนูไม่มีหรอก แล้วป้าไม่ต้องมาพูดหรอกว่าจะคืน หลายครั้งที่ผ่านมาหนูยื่นมือช่วยทีไรไม่เห็นได้คืนสักบาท”
“เอะ บอกว่าจะคืนก็คืนสิ เป็นญาติกันช่วยกันหน่อยไม่ได้หรือไง”
“ก็ช้องไม่มีจริง ๆ นี่ป้า”
“แกอย่ามาโกหกฉันเห็นเงินในบัญชีแกมีตั้งสองหมื่น” ล้วงสมุดบัญชีเล่มสีเขียวขึ้นมาโชว์ให้ดู
แววตาของช้องนางสั่นระริกเช่นเดียวกับสีปากเมื่อเห็นว่าป้ารื้อค้นเอาเงินเก็บของเธอมาด้วย จนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่มีเงิน
“ช้องให้ไม่ได้ นี่มันเป็นเงินค่าเทอมของช้อง” เธอรีบคว้ามาถือไว้ในมือ ส่ายหัวระรัวเพื่อยืนกรานว่าให้ไม่ได้จริงๆ
“ถ้าแกไม่ให้น้องก็ต้องติดคุก ออกมาก็ต้องโดนพวกนั้นทำร้ายนะคิดซะว่าเห็นแก่ป้าที่เลี้ยงแกมาเถอะนะ” ไม้ตายสุดท้ายของระวีคือการนั่งคุกยกมือขึ้นไหว้
หญิงสาวถลาลงไปพยุงคนเป็นป้าแทบไม่ทันน้ำเสียงของท่านเริ่มสั่น หัวไหล่เริ่มสะท้านจากแรงสะอื้น
การเรียนก็สำคัญ บุญคุณก็ต้องทดแทน...
ทุกอย่างทุกถ้อยคำตกอยู่ในสายตาของเตย์มี เขาได้มันตั้งแต่แรกและแอบยืนฟังอยู่เงียบ ๆ เขาอยากยื่นมือเข้าไปช่วยแต่รู้ดีว่าเธอคงไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรโดยที่ได้มาฟรีๆ แน่นอน
เตย์มีรู้แล้วว่าอะไรทำให้ผู้หญิงคนนี้แข็งกระด้างและเย็นชา มันไม่ง่ายเลยที่ต้องรับมือกับเรื่องพวกนี้แถมยังเป็นผู้หญิงที่เติบโตขึ้นมาโดยไร้พ่อแม่ดูแลอีกต่างหาก
หากวันนั้นณาราไม่เผลอพูดออกมาเขาก็คงไม่รู้เรื่องนี้ความเข้มแข็งของเธอทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบลงจนกลายเป็นสงสารแล้วนึกย้อนกลับมาเปรียบเทียบกับตัวเองว่ามันช่างต่างกันลิบลับ
เขาได้ทุกอย่างมาโดยง่ายเพราะมีพ่อปูพื้นฐานและคอยตามใจทุกอย่างต่อให้เขาจะทำตัวเละเทะแค่ไหนก็ตามแตกต่างกับช้องนางที่ต้องดิ้นรนทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด
สุดท้ายแล้วคำว่าครอบครัวที่เหลืออยู่ก็ทำให้ช้องนางยอมใช้เงินเก็บที่มีจ่ายค่าปรับเพื่อรักษาชีวิตของลูกพี่ลูกน้องเอาไว้
ปลายเท้าอวบเดินทอดน่องเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงผ่านหน้าเตย์มีโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มสืบเท้าเดินตามอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ
ชายหนุ่มได้ยินเพียงเสียงสะอึกสะอื้นจนไหล่สั่นสะท้านเขารับรู้ได้ถึงความเสียใจและแรงกดดันที่เธอได้รับ การร้องไห้น่าจะเป็นการระบายความรู้สึกได้ดีที่สุดเพราะเธอจะได้ไม่ต้องมานั่งแบกว่าเป็นคนเข้มแข็งต่อหน้าใคร
ช้องนางเดินเหม่อลอยเคล้าหยาดน้ำตามาเรื่อย ๆ จนถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งจึงเดินไปทรุดตัวชันเข่าฟุบหน้าร้องไห้ตรงสนามหญ้าริมสระน้ำขนาดใหญ่
แม้จะพยายามกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้มันก็ไม่เป็นผล เธอเหนื่อยล้าเกินกว่าจะลุกขึ้นไหว ทำไมอุบัติเหตุครั้งนั้นเธอถึงรอดมาเพียงคนเดียวทำไมเธอถึงไม่ตายจากไปพร้อมกับพ่อและแม่
ใบหน้าหม่นนัยน์ตาเศร้าก้มมองพื้นดินจังหวะนั้นปลายรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังก็โผล่มาให้เห็น เป็นวินาทีเดียวกันกับช้องนางเงยหน้าด้วยดวงหน้าเปื้อนน้ำตา
“เตย์มี นายมาที่นี่ได้ยังไง” เบือนหน้าหนีแล้วเช็ดน้ำตาออก
“เดินตามมา” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“ฉันไม่มีอารมณ์มานั่งให้นายกวนประสาทใส่หรอกนะ”
“เราก็ไม่ได้มากวนประสาทสักหน่อย”
ช้องนางไม่สบสายตาเลือกมองต้นหญ้าบนพื้นดิน
“เตย์ เราอยากอยู่เงียบๆ”
คราวนี้เธอหันหน้าไปทางอื่นเตย์มีจึงเลือกนั่งลงข้าง ๆ ชิดกันเธอจึงหันมามองเพราะคิดว่าเขาตั้งใจแกล้งกวนประสาท
“ไม่ได้ยินที่เราพูดเหรอ ทำไมยังไม่ไปอีกอ่า”
“เธอบอกว่าอยากอยู่เงียบๆ ไม่ได้บอกว่าอยากอยู่คนเดียวนี่”
ช้องนางถอนหายใจออกมาทำท่าจะลุกขึ้นเตย์มีจึงรีบคว้าข้อมืออวบเอาไว้ “จะไปไหน”
“ไปอยู่เงียบ ๆ คนเดียว”
“ไม่ต้องไปไหนหรอก เราสัญญาว่าจะนั่งเงียบๆ ไม่รบกวนเธอ”
ดวงตาแกงช้ำมองเขาด้วยความไม่เข้าใจว่าต้องการอะไรกันแน่ มือป้อมของเธอถูกกอบกุมอย่างอ่อนโยนด้วยมือของเขาอย่างน้อยยามอ่อนแอเธอก็มีผู้ชายคนนี้โผล่มาอยู่เป็นเพื่อน
ร่างอ้วนท้วนซบใบหน้าลงบนไหล่ปล่อยให้น้ำตาอาบแก้มไร้เสียงสะอื้น ไม่มีการพูดจาใดๆ นอกจากการนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้าง ๆ แบบเงียบ ๆ ตามที่บอก
เธอใช้เวลาหลายสิบนาทีในการร้องไห้เพื่อระบายสิ่งที่อยู่ในใจแล้วสูดน้ำมูกเบา ๆเหลือเพียงคราบน้ำตาข้างแก้มก่อนจะพ่นลมหายใจพรืดราวกับหลุดพ้นความหนักใจ ทุกปัญหามันก็ต้องมีทางออกเสมอในเมื่อเงินมันเป็นของนอกกาย เสียไปแล้วก็เสียไปเธอจะหาเอาใหม่เพราะยังไงเทอมแรกเหลือเวลาอีกตั้งสองเดือน
เมื่อคิดได้แบบนั้นบรรยากาศความสดชื่นก็หลั่งไหลเข้ามาในใจ
หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันคลายออก ความเคร่งเครียดจางหายไปจากใบหน้าจนเตย์มีสังเกตเห็นแล้วก็คลี่ยิ้มน้อย ๆ
“ขอบใจนะที่มาส่งเราแล้วก็...ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อนเราโดยไม่ถามอะไรด้วย”
ช้องนางเปิดประตูรถลงแล้วเคาะกระจกเรียกให้เขาเลื่อนลงเพื่อขอบคุณในความมีน้ำใจ ชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย
ขาอวบกำลังจะก้าวขึ้นตึกก็ถูกเรียกไว้อีกครั้ง “ช้อง”
“ฮือ มีอะไร”
“คืนนี้ฝันดีนะ...แต่ถ้าจะให้ดีอย่าลืมฝันถึงเราด้วย” พูดจบก็เข้าเกียร์เคลื่อนรถไปจากตรงนั้น ปล่อยให้ช้องนางยืนอึ้งกับประโยคเมื่อครู่
สองแก้มแดงเห่อร้อนเธอกัดริมฝีปากเบาๆ ด้วยความเขิน หัวใจสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่แล้วก็ต้องตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติอีกครั้ง ผู้หญิงอ้วนไม่มีความมั่นใจแบบเธอ ใครจะมาสนใจ
ห้ามคิดไปไกลและห้ามเข้าข้างตัวเองเด็ดขาดนะช้องนาง....
ช้องนางรีบจ่ายค่ารถสาวเท้ายาว ๆ ตรงไปยังห้องแจ้งความภาพที่เห็นคือคนเป็นป้าทุบหลังลูกชายพรางกร่นด่าไปด้วย ความเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาปกคลุมหัวใจอีกครั้ง เธออยากหนีความวุ่นวายไปให้ไกล ๆ ทว่าก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เหลือแค่ป้าระวีเป็นญาติเพียงคนเดียว“เลิกเสียงดัง หรือโวยวายได้แล้วค่ะป้า เกรงใจคนอื่นบ้าง” ช้องนางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ ดวงตากลมจ้องมองลูกพี่ลูกน้องด้วยสายตา คาดโทษที่มันมักสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน“ยัยช้อง”“พี่ช้อง”ทั้งคู่อุทานเรียกชื่อพร้อมกันเหมือนมองเห็นนางฟ้ามาโปรดแต่กับอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนบ่วงกรรมคล้องคอเสียมากกว่า เธอผ่อนลมหายใจออกมาแล้วเดินไปย่อตัวนั่งเก้าอี้ว่างด้านข้างพร้อมยกมือไหว้คุณตำรวจ“ฉันเป็นลูกพี่ ลูกน้องของคนนี้ค่ะ” น้ำเสียงเจือความเหนื่อยล้าถามโดยไม่หันไปมองหน้าสองแม่ลูกเสียด้วยซ้ำ“หนูขอทราบข้อกล่าวหาของนายรภัทรหน่อยได้ไหมคะ”เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยับปากจะแจ้งรายละเอียดแล้วก็ต้องเงียบลงเมื่อระวีพูดจาท้าทายอวดเก่งว่าหลานตัวเองเรียนกฎหมายมาจนช้องนางรู้สึกหมดความอดทน“พอได้แล้วป้าวี! ช้องเรียนกฎหมายมาก็จริงไม่ได้เอามาเบ่งใส่ใ
“พวกมึง ตำรวจมา!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นแล้วก็วิ่งแซงหน้าไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ตัวเองแล้วเร่งเครื่องออกไปตามด้วยขบวนเด็กแว๊นหลายคันขับตามกัน มีเพียงแค่รภัทรเท่านั้นที่ชักช้าเพราะรถสตาร์ทไม่ติดจนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวกลับไปยังโรงพักชาวบ้านย่านนั้นโทรเข้ามาร้องเรียนว่ามีกลุ่มวัยรุ่นมาตั้งแก๊งแข่งรถกันเกือบทุกวันสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านและผู้สัญจรไปมา จนบางครั้งเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บสาหัสก็มี วันนี้ทางการจึงได้วางแผนล้อมจับอย่างรัดกุมรภัทรถึงกับหน้าเสียเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าได้แต่นั่งซึมอยู่ต่อหน้าตำรวจเวรประจำวัน ขายาวสั่นพับๆแล้วบอกเบอร์โทรผู้ปกครองให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ตายด้วยมือแม่... ก็ตายด้วยมือพี่ช้องแน่ ๆ“หนุ่มหล่อกลุ่มนั้นมาอีกแล้วแก ฉันขอไปดูแลนะ” เด็กนั่งดริ้งสาวสวยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความระริกระรี้ส่วนคนอื่น ๆ ก็ขอติดตามไปด้วยเพราะถึงอย่างไรโต๊ะนั้นก็มีผู้ชายหลายคน“จะว่าไปก็เป็นเด็กเอ๊าะ ๆทั้งนั้นเลย” ยกมือลูบปากอยากกินเด็กแล้วต่างพากันหัวเราะคึกครื้นช้องนางเดินกลับมาได้ยินได้พอดีแต่ยิ้มอ่อน ๆแล้วส่ายหัว เธอเห็นกลุ่มของเตย์มีและคณินเดินเข้ามาตั้งแต่หน้าร้านแล้วแหละแต่แ
แสงแดดจ้าสาดผ่านกระจกใสเข้ามากระทบใบหน้าเนียนใส ทว่าคนหลับลึกกลับไม่รู้ตัว เตย์มีเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้มือยกป้องแดดร่างอ้วนเอนหลังพงกับแท่นบัลลังก์จำลอง มือข้างหนึ่งยังคงถือชีตสรุปย่อของมาตรากฎหมาย สองขาป้อมเหยียดตรงในท่านั่ง กระโปรงทรงพีชเลิกขึ้นเหนือเข่าเล็กน้อยชายหนุ่มจึงถือวิสาสะดึงลงให้เมื่อช่วงกลางวันเผอิญเดินผ่านณาราแล้วไม่เห็นเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันยิ่งกว่าปลาท่องโก๋จึงเอ่ยถามว่าไปไหน เขาจึงรู้ว่าเธอมาแอบหลับอยู่ที่นี่เองลมหายใจของคนหลับผ่อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่นานศีรษะก็เอนมาพิงไหล่ ชายหนุ่มจึงขยับท่านั่งให้สมดุลเพื่อที่เธอจะได้หนุนหัวไหล่ได้อย่างสะดวก...ไม่นานเตย์มีก็หลับตามไปอีกคนติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดเสียงนาฬิกาปลุกจากสมาร์ตโฟนเครื่องสวยดังเข้ามาในโซนประสาท ช้องนางอยากจะหยุดเวลาพักผ่อนเอาไว้สักสองวันเสียจริงทว่าก็ทำไม่ได้ใบหน้าซุกเข้ากับอะไรบางอย่างจะว่าแข็งก็ไม่แข็งจะว่านุ่มก็ไม่นุ่มแต่ที่แน่ ๆ มันทำให้เธอหลับสบายตลอดสามชั่วโมงที่ผ่านมา ดวงตากลมค่อยๆ ลืมขึ้นแล้วปรับโฟกัสสายตาตัวเองให้เข้ากับแสดงที่ส่องเข้ามาคราแรกเมื่อลืมตาตื่นมือของเธอถูกกุมไว้จากเรียวนิ้วของมือใครก็ไม
เช้าของวันใหม่เตย์มีตื่นตั้งแต่ไก่โห่โดยที่ป้าอุ่นไม่ได้เข้ามาปลุกเลย ทำเอาแม่บ้านสูงวัยประจำบ้านถึงกับงงงวยว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนเดินไปหยิกแขนคุณหนูที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก“โอ้ย...เจ็บ” สะดุ้งโหยงสะบัดแขนเราๆ “หยิกผมทำไมป้าอุ่น”“คุณหนูเจ็บ?”“อ้าว ก็เจ็บนะสิโดนหยิกแรงขนาดนี้”“แสดงว่าป้าไม่ได้ฝันไปค่ะ” ป้าอุ่นยกมือตบแก้มตัวเองเบาๆ เพื่อยืนยันอีกครั้ง“ฝันอะไรครับ ผมงงไปหมดแล้ว”“เอ้า ก็วันนี้คุณหนูตื่นเอง ป้าไม่ได้ขึ้นไปปลุกแถมยังตื่นเช้าผิดปกติ ลงมาพร้อมชุดนักศึกษา” หล่อนส่ายหน้าอย่างไม่น่าเชื่อว่าลูกชายไม่เอาถ่านของบ้านท่านผู้พิพากษาจะตื่นเช้าได้“โธ่ ป้าอุ่น คนเรามันก็ต้องมีเปลี่ยนไปบ้าง ไม่คุยด้วยล่ะ ไปดีกว่า”“ไม่กินข้าวก่อนเหรอคะ” ร้องถามตามหลังคนที่วิ่งเหยาะๆ ไปยังรถคู่ใจ “ไม่ครับ กลัวไม่ทัน”คาบเรียนเช้าวันศุกร์เริ่มเก้าโมงทว่าเตย์มีขับรถมาจอดก่อนถึงป้ายรถเมล์ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อดักรอใครบางคน มือจับคันเกียร์รถเขยิบไปยังตัว P เพื่อตั้งท่ารอพอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเขาเห็นหลังของคนตัวกลมขึ้นรถเมล์ไปแล้ว อุตส่าห์มาดักรอเพื่อจะรับไปด้วยกันแค่พริบตาเดียวคาดกันเสียอย่างนั้นไ
อาจารย์ผู้หญิงวัยสามสิบกว่าปีเริ่มอธิบายวิชากฎหมายแรงงานซึ่งเป็นวิชาหลักของช่วงชั้นสุดท้ายของนักศึกษาปีสี่“สิทธิของลูกจ้างกรณีถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด สามารถเรียกร้องอะไรได้บ้างคะ”อาจารย์สาวกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง ซึ่งนักศึกษาแทบทุกคนเลือกหลบสายตายกเว้นช้องนางซึ่งเธอตั้งใจฟังมาตั้งแต่เริ่มสอนแต่อาจารย์ก็ไม่เลือกถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอตอบได้จึงมองเลยไปด้านหลังสุดซึ่งเห็นเตย์มีนอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะเรียวขาสวยก้าวไปด้านหลังสุดแล้วใช้ปากกาเมจิกเคาะไปยังโต๊ะสองสามครั้งจนนักศึกษาหน้าหล่องัวเงียเงยหน้าขึ้น“มีอะไรครับเหรอครับอาจารย์”“ที่ฉันสอนไปเมื่อครู่ไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม” อาจารย์สาวเริ่มเสียงดังขึ้นเพื่อนทั้งห้องจึงหันหลังไปมอง คำถามของอาจารย์เมื่อครู่เขาหูแว่วได้ยินเหมือนในฝัน“ก็คงงั้นครับ สอนน่าเบื่อขนาดนี้ผมเลยง่วงนอน” เขาไหว่ไหล่ยกมือป้องปากหาว อาจารย์ประจำวิชาได้แต่ถอนหายใจออกมาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะเป็นถึงลูกชายผู้พิพากษาสูงสุดศาลฎีกา“ไม่แปลกใจหรอกที่ท่านกมลหนักใจและเป็นกังวลกับลูกชายคนเดียว”เตย์มีเห็นแววตาดูถูกของอาจารย์แล้วเธอก็ผละออกจากตรงนั้นเดินไปถึงกลางห้องฝีจึง
“คุณหนู คุณหนูตื่นเถอะค่ะ” ป้าอุ่นหญิงมีอายุวัยห้าสิบกว่าปีรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาปลุกลูกชายคนเดียวของบ้านด้วยความร้อนใจ เมื่อยังเห็นเตย์มีนอนนิ่งจึงเปลี่ยนเป็นดึงผ้าห่มออกแล้วเขย่าตัวอย่างแรงให้ตื่นขึ้นมาก่อนจะเกิดสงคราม“มีอะไรป้าอุ่น ทำไมถึงปลุกผมแต่เช้า” ร่างกำยำลุกขึ้นแบบงัวเงยดวงตายังไม่ทันลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“เช้าอะไรคะ มันจะบ่ายแล้วค่ะ ตอนนี้คุณท่านกลับมาจากขึ้นบัลลังก์ศาลแล้วค่ะ ถามใหญ่เลยว่าคุณหนูไปเรียนหรือยัง” ตาสว่างโร่ขึ้นมาทันที บ่ายนี้มีเรียนอีกต่างหาก ไปสายมีหวังท่านได้ยึดบัตรเครดิตเหมือนครั้งที่แล้วแน่นอน อาจารย์ในคณะก็มักจะโทรมาฟ้องพ่ออยู่บ่อยครั้งร่างสูงกระโดดลงจากเตียงวิ่งไปคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำไม่นานก็กลับออกมาด้วยชุดนักศึกษาเตรียมพร้อมสำหรับไปเรียน ความโชคดีของคุณหนูประจำตระกูล ‘เชาวกรกุล’ คือไม่ต้องซักผ้า รีดผ้าเองแค่เปิดตู้เสื้อผ้าทุกอย่างก็ถูกจัดเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว“ทำไมยังไม่ไปเรียนอีก มันกี่โมงแล้ว” เสียงทุ้มกังวาลดังขึ้นเมื่อเห็นเจ้าลูกชายไม่เอาถ่านเดินย่องลงบันไดมา คิดหรือว่าเขาจะไม่เห็นเตย์มีสะดุ้งเล็กน้อยหันมายิ้มฟันขาวให้กับคนเป็นพ่อ “