LOGINรถตู้สีดำคันใหญ่เลี้ยวเข้ามาในบ้านทรงโมเดิร์นสมฐานะนักลงทุนรายใหญ่ของพ่อเธอ แค่เพียงก้าวลงจากรถ ชายสูงวัยท่าทางใจดีก็เดินออกมาต้อนรับถึงหน้าประตูบ้าน เหมือนแพรมองดูคุณภพ ก๊วนกอล์ฟของคุณพ่อ จากที่มารดาเธอเล่าให้ฟัง เธอรู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูกเหมือนเคยเห็นที่ไหน สงสัยจะตามสื่อสังคมธุรกิจที่เธอไม่ได้ใส่ใจนั่นล่ะมั้ง
"อ้าวมากันแล้ว เอ้า เชิญๆ ข้างในกันครับ" เจ้าของบ้านในชุดลำลองสุภาพท่าทางสบายๆ เอ่ยต้อนรับแขก เหมือนแพรรีบยกมือขึ้นสวัสดี "เชิญที่ห้องรับแขกกันก่อนครับ คุณประไพรกำลังตั้งโต๊ะ" เจ้าของบ้านเอ่ยบอกแล้วก็เดินนำไปที่ห้องรับแขกใหญ่ พ่อเธอเดินเคียงไปกับเจ้าของบ้าน เหมือนแพรคล้องแขนมารดาเอาไว้แน่น เดินตามไป เมื่อเดินเข้าไปถึงห้องรับแขกเธอเห็นมีผู้ชายสูงใหญ่ หน้าตาดีออกจะคล้ายคุณภพอยู่ไม่น้อยนั่งอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ เมื่อเห็นครอบครัวเธอเข้าไปถึง สองคนนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนกล่าวทักทายผู้มาเยือน "ลูกชายผม คนโตนั่นเจ้าคุณ ส่วนคนรองเจ้าวิทย์" คุณภพเอ่ยแนะนำสมาชิกที่นั่งอยู่เมื่อครู่ "เบบี๋สวัสดีพี่เขาซิ" เหมือนแพรยกมือขึ้นสวัสดีสองหนุ่มนั่น ด้วยใบหน้าเขินๆ ที่ถูกเรียกชื่อเล่นเต็มยศแบบนั้น "ชื่อน่ารักดีนะครับ" คนที่ถูกแนะนำว่าเจ้าคุณ รับไหว้เธอแล้วก็เอ่ยทัก ทำให้เธอได้แต่ยิ้มน้อยๆ "มากันแล้วหรือคะ" หญิงสูงวัยรุ่นราวคราวเดียวกับแม่เธอเดินเข้ามาสมทบ เธอเดาว่าคงจะเป็นภรรยาของคุณภพ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยแนะนำ เธอก็เห็นชายร่างสูงคุ้นหน้าอีกคนเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก สีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์แบบที่เขาชอบทำ แต่พลันสายตาของเขาที่สบกับเธอเข้าแม้จะมีแววตกใจ แปลกใจ แต่ก็เพียงแค่ชั่วแวบเดียว ก่อนที่เขาจะปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉย "อ้าว มาพอดีคุณประไพร นั่นก็คนเล็ก เจ้าไตรครับ มาสวัสดีคุณวัฒน์กับคุณราตรี เจ้าไตร นั่นหนูเบบี๋" คนถูกเรียกราวกับเด็กให้มาสวัสดีผู้ใหญ่ ทำสีหน้าปั้นยากมองหน้าพ่อตัวเอง ก่อนจะยิ้มแย้มทักทายแขกของพ่อ "สวัสดีครับคุณอา สวัสดีครับเบบี๋" ไตรฉัตรเอ่ยทักทายเธอด้วยน้ำเสียงหนักๆ "ไม่ไหว้พี่เขาล่ะ" เสียงมารดาเธอเอ่ยเบาๆ ใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวบาง จนเหมือนแพรต้องยกมือขึ้นไหว้อย่างเสียไม่ได้ "ไปที่โต๊ะอาหารกันดีกว่าค่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว" คุณประไพร จึงเชิญทุกคนไปที่ห้องอาหารใหญ่ โต๊ะไม้สักตัวใหญ่ขนาดกว่าสิบที่นั่ง ถูกจัดตกแต่งไว้อย่างสวยงาม แค่เพียงทุกคนนั่งประจำที่ ก็มีพนักงานเสิร์ฟชุดสีขาวสะอาดตานำอาหารออกมาเสิร์ฟ คงจะเพราะธุรกิจโรงแรมของครอบครัว และการที่ให้เชฟของโรงแรมมาทำอาหารต้อนรับแขกก็เห็นจะเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนแพรตักอาหารหน้าตาแสนอร่อยนั้นเข้าปากเพียงนิด เพราะคนที่นั่งเยื้องเธอไปเพียงนิด คอยจ้องเธอแทบไม่วางตา เสียงผู้ใหญ่คุยกันดูท่าทางสนุกสนานโดยเฉพาะคุณไตรภพและพ่อเธอที่ขยันเล่าเรื่องขำขันตอนไปตีกอล์ฟให้ภรรยาของท่านฟัง พลอยให้แม่เธอได้หัวเราะไปด้วย ส่วนลูกชายสองคนของท่านก็เพียงทานอาหารด้วยท่าทางสบายๆ แต่อีกคนเหมือนแพรแทบไม่อยากจะหันไปมองทางนั้น ถ้ารู้ว่าจะเป็นบ้านคุณไตรภพ บริรักษ์ไพศาล เธอจะไม่มาแน่นอน แต่เพียงเพราะที่คุณนายราตรีบอกแค่คุณภพ เธอจึงไม่ได้คิดว่าจะเป็นท่าน เพราะอีกใจก็ไม่ได้ใส่ใจเพื่อนก๊วนกอล์ฟของพ่อเธอด้วย ส่วนลูกชายท่านอีกสองคนนั่น ไตรคุณ ไตรวิทย์ แล้วก็ไอ้บ้าไตรฉัตร เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เธอก็ออกจะโมโหตัวเองที่ไม่ถามให้รอบคอบ "เจ้าคุณน้องตักกับข้าวถึงไหมลูก ดูตักให้น้องด้วยนะ" ไตรคุณหันขวับไปมองบิดาตัวเองเขม็ง แต่พลันได้เห็นสายตาของท่านที่มองไปทางลูกชายคนเล็ก ก็ทำให้ไตรคุณยกยิ้มมุมปาก แล้วหันไปตักกับข้าวให้หญิงสาวตรงหน้า "เบบี๋ทานเผ็ดได้ไหมครับ" ไตรคุณเอ่ยถามเพราะมือที่กำลังจะตักแกงเขียวหวานส่งให้เธอ "ได้ค่ะ พี่คุณเรียกบี๋เฉยๆ ก็ได้ค่ะ" "แต่พี่ว่าเรียกเบบี๋ก็น่ารักดี" เหมือนแพรได้แต่ยิ้มน้อยๆ อย่างเคย "อร่อยไหมครับ" ไตรวิทย์เอ่ยถามเธอบ้าง "อร่อยค่ะ เชฟจากที่โรงแรมใช่ไหมคะ" "ใช่ครับ ไว้วันหลังถ้าเบบี๋อยากทาน พี่พาไปทานได้ตลอดเลย" "ขอบคุณค่ะพี่วิทย์" "พอดีแหละ เดือนหน้าเราจะเปิดโรงแรมสาขาที่กระบี่ ไว้พาหนูบี๋ไปเที่ยวด้วย คุณวัฒน์เราไว้ไปออกรอบกันที่นั่น" สุดท้ายสองคุณพ่อก็หันกลับไปสนทนาเรื่องกอล์ฟต่อ "น้องบี๋เคยไปกระบี่หรือยังครับ" ไตรคุณถามหญิงสาวตรงหน้า "ยังเลยค่ะ" "ทะเลที่นั่นสวยมาก น้ำก็ใส ไว้พี่จะพาไปดำน้ำ" "เดือนหน้าพี่ไม่ได้ไปสิงคโปร์หรอกหรือ" ไตรฉัตรเอ่ยถามพี่ชายคนโต "ถ้างั้นก็แกก็ต้องพาไปแล้วแหละ หรือเจ้าวิทย์ว่างไหมเดือนหน้า" ไตรฉัตรยังไม่ทันได้ตอบพี่ชาย ไตรคุณก็หันไปถามอีกคนเสียแล้ว "เดือนหน้าผมน่าจะยุ่ง นักศึกษาสอบแล้ว" "เจ้าวิทย์มันสอนอยู่มหาลัย..น่ะครับ" ไตรคุณเอ่ยบอกชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ทำเอาคนฟังทำตาโต "โห เป็นอาจารย์หรือคะ เก่งจังเลยนะคะ" "ได้เป็นรองศาสตราจารย์แล้วนะครับ เห็นหน้าแว่นๆ แบบนี้ เออลืมเรื่องกระบี่เลย แกไปได้หรือเปล่าเจ้าไตร ถ้าไม่ได้ฉันจะได้เลื่อนแพลนไปสิงคโปร์" "ก็คงต้องได้นี่ ไม่มีใครว่าง" เหมือนแพรเหลือบมองหน้าคนเหมือนจะว่าง พาให้นึกถึงงานที่บริษัทเขา จากที่เธอเข้าไปสัมผัสมาหลายเดือน เห็นเขาหัวหมุนไม่เว้นแต่ละวัน "แต่ถ้าพี่เคลียร์งานเสร็จเร็วจะรีบตามไป" ไตรคุณหันไปเอ่ยบอกเหมือนแพรอีกครั้ง "ค่ะ...อุ๊ย" เสียงอุทานตกใจของเหมือนแพรทำเอาหลายคนหันไปมอง "เป็นไรยายบี๋" คุณนายราตรีละจากคุณประไพรที่กำลังคุยเรื่องอาหารกันอย่างออกรส หันไปถามลูกสาว เหมือนแพรก้มลงไปมองใต้เก้าอี้ เห็นแมวขนฟูตัวใหญ่ หน้าตาดุๆ นั่นแหงนมองมาที่เธอ หางยาวของมันกวัดแกว่งไปมาจนมาโดนข้อเท้าเธอ "แมวน่ะค่ะ ตกใจหมด" เหมือนแพรเอ่ยตอบมารดา แต่ก็คงได้ยินกันทั้งโต๊ะ "ให้ใครเอาไปเก็บที" เสียงคุณไตรภพเอ่ยบอกแม่บ้าน "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันน่ารักดี หนูแค่ตกใจหางมันมาฟาดขาน่ะค่ะ" เหมือนแพรรีบแก้ต่างให้เจ้าขนฟูที่ยังแหงนมองหน้าเธอ และเพียงครู่เดียวมันก็กระโดดขึ้นมาบนตัก เธอสะดุ้งตัวนิดๆ แต่ก็อุ้มให้มันนั่งบนตักอยู่แบบนั้น "เจ้าไตร มาเอาแมวแกไปเลยดูซิ วุ่นวาย ทำชุดหนูบี๋เลอะหรือเปล่า พาน้องไปเข้าห้องน้ำล้างมือด้วย" คุณประไพรบ่นลูกชายคนเล็ก แล้วก็หันมาถามเหมือนแพร "ขอโทษทีนะหนูบี๋ เจ้าไตรพามันมาฝาก ปกติมันอยู่คอนโดกับเจ้านายมันแหละ พอเห็นเจ้าของเลยมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ ช่วงนี้เห็นว่างานยุ่งออกต่างจังหวัดบ่อยไม่มีคนดู เจ้าพ่อใจบุญเขาเอามาเลี้ยงตั้งแต่ตอนอยู่มหาลัย เก็บแมวกองขยะมา มาวันแรกหน้าตาบ้องแบ๊วอย่างกับหนูท่อ ดูทุกวันนี้ซิทำหน้าบอกบุญไม่รับ จะเหมือนเจ้าของมันอยู่แล้ว" เหมือนแพรเกือบจะแอบหัวเราะที่ว่าหน้าตาเหมือนเจ้าของ แต่พลันคำบอกเล่าของคุณประไพร ก็ทำเอาเธอวูบไหวแปลกๆ "ไตรดูนี่ซิ แมวมันอยู่ในถังขยะ น่าสงสารมันอ่ะ กินข้าวยังเจ้าเหมียว" ไตรฉัตรล้วงไปหยิบแมวสีขาวแต่ดำมอมแมมไปทั้งตัวออกมาจากถังขยะ เหมือนแพรนั่งยองลงทั้งที่กระโปรงสั้นจับมันชูขึ้นมองหน้ามันชัดๆ "เสียดายจัง หอที่เราอยู่เขาห้ามเอาสัตว์เข้าไป" "ที่คอนโดเราก็ห้าม" เหมือนแพหยิบข้าวเหนียวหมูออกมาจากกระเป๋าสะพายเลือกหยิบแต่หมูวางให้เจ้าเหมียว ก่อนจะจากไปแต่ก็ยังอดห่วงหันไปมองมันอีกไม่ได้ มันคือตัวเดียวกับเจ้าเหมียวตัวนั้นแน่นอน เธอเหลือบมองเขา เห็นเขาเดินอ้อมโต๊ะมาที่เธอ แล้วก็จับมันออกจากตักเธอไปอุ้มไว้ เสียงมันร้องเหมียวน่าเอ็นดู ใช้หัวไถกับแขนเขา "เดี๋ยวพาไปล้างมือจะได้ทานข้าวต่อ" เสียงเขาเอ่ยบอก เหมือนแพรจึงได้ลุกออกจากโต๊ะเดินตามคนตัวสูงออกมาจากห้องอาหารสวนลำธารบ้านลุงเอี่ยม ในวันที่ลูกสาวคนโตของบ้านกำลังจะมีคนมาสู่ขอ พ่อเอี่ยมและแม่ศรีในฐานะเจ้าของบ้านก็ตระเตรียมต้อนรับทั้งจัดบ้านใหม่อย่างที่เคยเอ่ยกับลูกสาว ชุดสวยที่ใส่ต้อนรับแขกราวกับมีเทศกาลงานบุญ อีกทั้งซุ้มที่เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาเช่าเล่นน้ำ วันนี้ก็ถูกกันเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อต้อนรับแขกจากกรุงเทพ เดิมทีพ่อเอี่ยมจะปิดทั้งหมด แต่ก็กลัวลูกค้าที่เข้ามาแล้วจะเสียเที่ยวจึงได้เปิดไว้บางส่วนต้อนรับลูกค้าด้วย อาหารทั้งไทย อีสาน ถูกจัดเตรียมเอาไว้ครบครัน ปรางทิพย์มาถึงพร้อมอาจารย์วิทย์ในช่วงสาย ทีแรกเธอจะมาก่อนแต่ไตรวิทย์ก็ไม่อยากให้เธอขับรถมาคนเดียว เพราะเขาต้องมาพร้อมกับพ่อแม่ และยังมีสมาชิกอย่างไตรฉัตรกับภรรยาที่ตามมาพักผ่อนด้วย ไม่เว้นแม้แต่มิลินที่ยังขอติดสอยห้อยตามมาด้วย ขาดก็แต่ไตรคุณที่วันนี้ต้องเข้าไปที่โรงแรม เพราะมีลูกค้าสำคัญเข้ามาพักที่โรงแรม ทำให้เขาต้องไปต้อนรับ "แม่ บ้านเรามีงานบุญหรือ" ปรางทิพย์เอ่ยถามตอนที่ลงรถมาเห็นแม่ศรีในชุดผ้าไหม "ก็ต้องแต่งตัวให้ดีหน่อยซิ ดูแกซิทำตัวมอซอ ไปเปลี่ยนชุดซะไป" คนโดนว่ามอซอแทบจะทำหน้าไม่ถูก เพราะไตรวิทย์ยืนอยู่ข้างๆ เธอหั
อีกวันที่ล่วงผ่านปรางทิพย์เพิ่งได้มีโอกาสสะสางข้อความตั้งแต่เกิดเรื่องจนวันนี้ข้อความที่ถูกส่งเข้ามาเกือบร้อยข้อความไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัวหรือเพื่อน กระทั่งน้องๆ พยาบาลที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่ถามไถ่หรือตลอดจนข้อความให้กำลังใจ เธอไล่ตอบอยู่นานจนครบทุกข้อความ และถึงได้โทรหาแม่ศรีบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้แม่ได้สบายใจ เย็นวันนั้นไตรวิทย์จึงได้พาเธอกลับมาทานข้าวที่บ้าน คุณแม่ประไพรยังต้อนรับเธออย่างอบอุ่นอยู่เสมอ แค่เห็นหน้าผู้มากวัยก็รีบเข้ามาสวมกอด "หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะลูก" อ้อมกอดที่อบอุ่นแทบไม่ต่างจากลูกชาย "ไปๆ กินข้าวกันดีกว่า ยายมิลินยังไม่มาอีกหรือ" คุณนายประไพรรีบเกณฑ์บรรดาลูกๆ ของท่านเข้าห้องอาหาร แต่ก็ยังไม่ลืมมองหาคนอีกคน "มาแล้วค่ะ คุณป้า" แค่เพียงถามหา เสียงใสลากยาวก็ขานรับทันที เพราะมาถึงพอดีที่คุณป้าถามหา "อ้าวมาพอดี ไปๆ ทานข้าวกันลูก" แต่คนตัวเล็กกลับตรงเข้าไปหาคุณหมอปรางทิพย์สวมกอดเอาไว้ดุจให้กำลังใจ "เจ๊ปราง" มือที่สวมกอดพร้อมน้ำเสียงออดอ้อนโดยไม่ต้องเอ่ยเรื่องราวอะไร ปรางทิพย์ก็เข้าใจได้ "ขอบใจมากนะมิลิน" "โอเคแล้วใช่เปล
ผู้ชายตัวสูงสองคนที่ใส่สูทสีดำเรียบร้อย แม้อีกคนจะดูเตี้ยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่าทางภูมิฐานนั้นลดน้อยลงเลย คนตัวสูงถือพวงหรีดดวงไม้สดสีขาวเข้ามาด้วย ข้อความบนนั้นมีเพียง ด้วยความอาลัย ไม่ได้บ่งบอกชื่อว่าเป็นใคร ศาลาเล็กภายในวัดของชุมชน ที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ศาลาก็ไม่ได้ติดแอร์อย่างวัดใหญ่มีชื่อเสียง ผู้คนภายในงานก็ล้วนเป็นชาวบ้านแถวนั้น การแต่งกายของสองคนที่เดินมาจนถึงหน้าศาลา เรียกสายตาของคนในงานให้หันไปสนใจ เจ้าภาพของงานรีบเดินออกมาต้อนรับแขกไม่คุ้นหน้า "คุณมางานนี้หรือ รู้จักกับน้องชายฉันหรือคะ" น้ำเสียงตะกุกตะกักเอ่ยถาม ผู้ชายชุดดำสองคนอย่างไม่มั่นใจ แต่เมื่อเขาส่งพวงหรีดให้ เธอก็รีบรับแล้วส่งต่อให้ใครอีกคนที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง แต่เหมือนไตรวิทย์และณัฐกรจะจำผู้หญิงคนนี้ได้ดี เธอคนนี้ที่อยู่ในภาพข่าวเกือบทุกสำนัก "เอ๊ะ คุณทนายณัฐกร" น้ำเสียงออกจะตื่นเต้นไม่น้อยที่เห็นณัฐกร ทั้งที่สองคนยังไม่ทันได้แนะนำตัวกลับมีคนจำคุณทนายได้เสียก่อน "อ๋อครับ สวัสดีครับ ผมมาแสดงความเสียใจด้วยน่ะครับ แล้วนี่คุณไตรวิทย์ เป็นแฟนของคุณหมอปรางทิพย์ครับ" แค่ณัฐกรแนะนำตัว ผู้หญิงคนนั้นก็ห
ไตรวิทย์ขมวดคิ้วฟังที่ณัฐกรเอ่ยแล้วก็ยังไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายนัก จนเมื่อณัฐกรกดโทรศัพท์ตัวเองคล้ายหาอะไรสักอย่าง แล้วก็ส่งโทรศัพท์นั้นให้ไตรวิทย์ ภาพข่าวดูจากสถานที่น่าจะเป็นโรงพยาบาล แล้วสักครู่ภาพก็ตัดมาที่ญาติของผู้เสียชีวิตและคนข้างๆ ที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี พัสรา แต่วันนี้เธอเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นแถมยังเป็นทนายให้กับฝ่ายนั้นอีกด้วย เสียงสัมภาษณ์ของนักข่าวที่ถามถึงเหตุการณ์ ญาติผู้เสียชีวิตก็เล่าเหตุการณ์ตามที่เกิดขึ้นจนกระทั่งหมอปรางเข้ามาช่วยคนเจ็บด้วยการทำซีพีอาร์ แต่สุดท้ายคนเจ็บก็เสียชีวิต โดยญาติคนไข้ยังติดใจเรื่องการเสียชีวิตเพราะหมอที่เข้ามาช่วยมีอาการเมา เพิ่งออกจากผับ ส่วนทนายพัสเพียงให้สัมภาษณ์ว่าทุกอย่างคงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพียงเท่านั้น อะไรก็จะไม่ร้ายแรงเท่าคอมเมนต์ของคนที่เรียกชาวเน็ต แต่ไตรวิทย์สะดุดตากับคอมเมนต์หนึ่งจนต้องใช้นิ้วจิ้มเพื่อดูโปร์ไฟล์ของคอมเมนต์นั้น อีกหน่อยใครจะกล้าช่วย คนดีๆ หมอดีๆ คงต้องอยู่เฉยๆ ดูคนขาดใจตายไปต่อหน้า คอมเมนต์ตอบกลับเจ้าปัญหานั้น ที่เขาสนใจ หมอดีๆ คงไม่เคยถูกคนไข้ฟ้องร้องหรอกมั้ง ไตรวิทย์ส่งโทรศัพท์นั้นให้ณัฐ
ไตรวิทย์ลากปรางทิพย์ออกมาจากพัสราได้แล้ว เพียงครู่เดียวมิลินก็รีบวิ่งตามมา ทิ้งให้ผู้หญิงคนที่ตัวเองไม่รู้จักไว้ตรงนั้น "มากันยังไง" ไตรวิทย์เอ่ยถามมิลิน เพราะดูท่าคนที่เขาจับแขนไว้อยู่คงจะไม่มีทางตอบแน่ "บังเอิญเจอกันที่นี่ค่ะ" มิลินเอ่ยตอบพร้อมกับมองหน้าเจ๊คนสวยที่ยังมีใบหน้าบึ้งตึง "ไปกลับบ้าน ค่อยไปคุยกันที่บ้าน" "ไม่กลับ ไม่คุย" ปรางทิพย์สะบัดแขนอย่างแรงจะให้พ้นการเกาะกุมของมือใหญ่ แต่มันก็ไม่หลุดง่ายๆ "บอกให้กลับบ้าน" ไตรวิทย์เน้นเสียง "ฉันขับรถมา" เมื่อเขาเสียงแข็ง เธอเองก็เริ่มเสียงแข็งขึ้นไม่แพ้กัน แถมยังเปลี่ยนวิธีเรียกตัวเองให้ดูห่างเหินอีกด้วย "จอดไว้นี่แหละ กลับบ้าน" คราวนี้ไตรวิทย์ไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะเถียงหรือดื้ออีก เขาออกแรงรั้งให้เธอเดินตาม แต่เธอก็ยังขืนตัวไว้ "จะให้อุ้มใช่ไหม" ได้ผลปรางทิพย์ยอมเดินแต่น้ำหนักที่ก้าวออกจะหนักกว่าปกติ รถของไตรวิทย์ขับออกมาได้เพียงนิดเดียว ถนนที่วิ่งขนาบกับคลองเล็กๆ ก่อนจะออกถนนใหญ่ ไตรวิทย์ชะลอรถลงเพราะรถคันหน้าเริ่มเคลื่อนตัวช้าเหมือนด้านหน้าจะมีอุบัติเหตุ จนเมื่อรถเขาขับผ่านกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถ
ปรางทิพย์ไม่แน่ใจว่าคุณพัสเตรียมเรื่องจะเปิดสำนักงานกฎหมายเสร็จไปถึงไหนแล้ว แต่ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้จากปากแฟนของตัวเองบ่อยเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะคุยโทรศัพท์ให้เธอได้ยินก็ตาม แต่เมื่อนึกถึงการเจอกันครั้งแรกของคุณพัสนั่นแล้ว ก็ทำเธอหงุดหงิดทุกที ในทุกวันที่ปรางทิพย์ออกเวรจากโรงพยาบาลเธอก็จะกลับคอนโดของไตรวิทย์ทันที ไม่ได้ตรงมาที่ร้านกาแฟเหมือนอย่างวันนี้ เพราะถ้าไม่เพราะมีเอกสารด่วนเกี่ยวกับการยื่นภาษีที่เธอต้องเข้าไปเซ็นด้วยตนเอง เมื่อมาถึงแล้วก็อดไม่ได้ที่เธอจะต้องอยู่ช่วยน้องๆ จนกระทั่งร้านปิด รถยนต์คันเก่าของเธอที่วันนี้ต้องจอดหลังร้าน เพราะตอนที่มาถึงบริเวณหน้าร้านไม่มีที่จอดเหลืออยู่เลย แล้วตอนที่ขับออกมาจากถนนหลังร้าน รถคันของเธอต่อท้ายรถอีกคัน จึงทำให้รถยนต์คันหรูของไตรวิทย์ที่ขับผ่านไม่ทันได้เห็น แล้วเธอก็ลืมส่งข้อความบอกเขาด้วยว่าวันนี้เข้ามาที่ร้านกาแฟ เธอขับออกถนนมาได้แล้วก็ตามรถของไตรวิทย์มาติดๆ แม้จะถูกแซงไปหลายคันแล้ว แต่รถคันหรูของเขามันออกจะสะดุดตาอยู่เธอจึงยังเห็นคันของเขาในสายตา จนถึงทางแยกที่จะต้องเลี้ยวไปทางคอนโด เธอกำลังจะตบไฟเลี้







