Войтиอีกด้านของบ้านบริรักษ์ไพศาล หลังจากส่งแขกคุณไตรภพก็เข้ามานั่งที่ห้องรับแขกกับลูกชาย สายตาผู้เป็นพ่อสำรวจลูกชายแต่ละคน
"แกว่าหนูบี๋ โอเคไหมเจ้าคุณ" "ก็น่ารักดีนะครับ ไม่คิดว่าจะสวยขนาดนี้" "เจ้าไตรถ้าแกไม่ชอบหนูบี๋ ก็ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวพ่อจะแนะนำลูกสาวเพื่อนให้ใหม่ แบบที่แกชอบ" "ไม่ต้องแล้ว ยายนี่ก็ได้ ขืนไม่ตอบตกลงพ่อได้เอาผมไปเร่ขายอยู่สนามกอล์ฟไม่เลิก" คุณไตรภพหัวเราะกับคำพูดและท่าทางลูกชายคนเล็ก ทำให้ไตรวิทย์ขยับแว่นตามองน้องชายตัวเองด้วย พลางส่ายหน้าเบาๆ "เจ้าไตร แกไปเรียกหนูบี๋อย่างนั้นได้ยังไง" คุณประไพรยกจานผลไม้เดินเข้ามาทันได้ยินพอดี จึงเอ่ยต่อว่าลูกชาย "ก็ยายนั่นเป็นเพื่อนผม ผมก็เรียกกันมาอย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรแล้ว" "มิน่าล่ะ" คุณไตรภพพยักหน้าน้อยๆ สองพี่ชายหันหน้ามามองกันพร้อมกับทำตาโตขึ้นเล็กน้อย "เพื่อนสมัยมหาลัยน่ะหรือ" "ครับ" เสียงตอบขึ้นจมูก "ฉันว่านังบี้นี่ก็เพราะหนูบี๋หรือเปล่าทำให้แกเก็บแมวถังขยะมาบ้าน" คนถูกถามทำสีหน้าปั้นยาก ไม่ตอบคำถามคุณประไพร ยิ่งทำให้คุณไตรภพหัวเราะออกมาอีกครั้ง "เออดี แสดงว่าสายตาฉันยังดีอยู่" "พ่อก็รีบหาให้พี่คุณอีกสักคน ถ้าช้ากว่านี้อีกหน่อยพวกสาวๆ ของพี่คุณจะได้มากดกริ่งอยู่หน้าบ้านแน่" ไตรวิทย์รีบยุบิดาต่อ เพราะข่าวคาวที่สาวๆ ของไตรคุณไปอาละวาดที่โรงแรม ทำให้คุณไตรภพถึงกับออกปากว่าห้ามเลี้ยงดูผู้หญิงอีกเด็ดขาด ให้ซื้อกินแล้วจบ "เสือกเลย" คนถูกกล่าวถึงประเคนเท้าใส่น้องชายเบาๆ จนทำให้คุณประไพรถึงกับเอ่ยปากดุว่าทำน้องแบบนั้นได้อย่างไร "ฉันละปวดหัวกับพวกแกจริงๆ แต่ละคน อย่างกับเด็กไม่รู้จักโต อิจฉาคุณราตรี มีลูกสาวเรียบร้อยน่ารักแบบนั้น" "เดี๋ยวก็รู้เรื่อง ดื้ออย่างกับอะไร" ทุกคนหันไปมองคนพูดเป็นตาเดียวกัน แต่ไตรฉัตรกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "ดีแล้วแหละ จะได้มากำราบแกซะบ้าง" คุณประไพรได้แต่ทำหน้าเหนื่อยใจกับลูกชายตัวเอง และเมื่อไตรฉัตรออกจากห้องรับแขกกลับไปห้องตัวเอง ก็ทำให้บทสนทนาในห้องนั้นเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นไปโดยปริยาย หลังจากนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์เธอก็ต้องเข้าไปประชุมที่บริษัทของไตรฉัตร เพราะต้องติดตามความคืบหน้าของโครงการ ยังประชุมไม่ทันเสร็จเสียงข้อความของโทรศัพท์เธอเข้ามา 'วันนี้ไปทานข้าวที่บ้านคุณภพด้วยนะ คุณประไพรเขาเชิญ' เหมือนแพรได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เพราะข้อความมาแบบนี้เธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธแบบไหน เธอยังไม่ได้เล่าเรื่องที่รู้จักกับไตรฉัตรให้แม่ฟัง แต่อีกสองวันหลังจากกลับมาจากบ้านนั้นแม่เธอกลับรู้เรื่องเกือบทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งเธอต้องมาทำงานที่บริษัทของไตรฉัตรด้วย หลังจากประชุมเสร็จเธอก็ตามไตรฉัตรกลับไปที่ห้องทำงานเขา "แม่ให้ฉันรับเธอไปกินข้าวที่บ้าน" "อือ" "ถ้านายลำบากใจเรื่องบ้านฉัน ก็ปฏิเสธไปก็ได้นะ ผู้ใหญ่เขาแค่อยากให้ทำความรู้จักกันเฉยๆ ไม่ได้บังคับให้แต่งงานกันสักหน่อย" "แค่นี้ก็เรียกบังคับแล้ว" "ถ้างั้นฉันจะปฏิเสธให้นายเอง" "ไม่ต้องเลย" คำตอบของเขาทำเอาเหมือนแพรไม่เข้าใจ ได้แต่เงยหน้ามองเขา "ขืนเธอปฏิเสธ พ่อฉันเขาก็เตรียมหาคนใหม่มาให้อีก" "อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นฉันไง เผื่อนายจะสบายใจ หรืออารมณ์ดีขึ้นบ้าง" "นี่ฉันก็ไม่ได้อารมณ์เสียนี่" "วันนั้นนายยังหงุดหงิดใส่ฉันอยู่เลย" "วันนั้นก็ส่วนวันนั้น วันนี้ก็ส่วนวันนี้" "นายเป็นไบโพล่าหรือไง" คนถูกกล่าวหาได้แต่หัวเราะเบาๆ "เดี๋ยวฉันไปรับที่คอนโด ขอเคลียร์งานแป๊บ" ไตรฉัตรเอ่ยบอกเพราะเห็นคนตัวเล็กเตรียมคว้าเอกสารและกระเป๋า ทำท่าเหมือนจะกลับ "เดี๋ยวไปเองก็ได้" พูดไปแล้วเหมือนแพรก็แทบเก็บคำพูดตัวเองไม่ทัน เพราะสายตาคมที่เหลือบมองเธออย่างเอาเรื่อง ทำให้คนตัวเล็กถึงกับมุ่ยหน้า "โอเคๆ" พอได้คำตอบที่พอใจ คนเป็นไบโพล่าก็ยิ้มให้ก่อนเธอจะเปิดประตูออกจากห้องไป เกือบหกโมงเย็นที่ไตรฉัตรมารับเธอที่คอนโด เมื่อกำลังจะขึ้นมาบนรถตู้ เธอก็ต้องตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจ้าบี้นั่งอยู่บนตักเขาด้วย "อืม แต่งตัวแบบนี้ค่อยดีหน่อย" เสียงทักทำเอาคนที่กำลังจะก้าวขาขึ้นรถเหลือบมองหน้าคนพูด เพราะชุดเดรสสีฟ้าอ่อนพอดีตัวแบบเรียบร้อยนี่ล่ะมั้ง "วันหลังฉันจะใส่สีแดงผ่าให้ถึงก้นเลย ให้บ้านนายตกใจ จะได้รีบหาผู้หญิงคนใหม่ให้นายแทน" "เป็นไงเจ้าเหมี่ยว สบายดีไหม" เสียงใสเอ่ยทักทายเจ้าขนฟู พลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน จนเจ้าของมันได้แต่มองเธอตาขุ่นเพราะเธอแกล้งเรียกมันแบบที่เขาบอก "ไม่ต้องมาล้อเลียน" "วันนั้นที่หงุดหงิด เรื่องเจ้าบี้ด้วยหรือเปล่า" "หลายเรื่อง" คนรับสารภาพแต่ไม่บอกเรื่องไหนบ้าง เพราะเห็นวันนั้นอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด เหมือนแพรเหลือบไปเห็นบ้านแมวที่เบาะข้างหลังเขา แล้วเหมือนจะมีอาหารกับของเล่นมันอีกหลายอย่าง "จะเอาแมวไปฝากคุณป้าหรือ" "เปล่า เอามาให้เธอเลี้ยงนั่นแหละ" "นายว่าอะไรนะ" "อยู่แค่นี้ไม่ได้ยินหรือไง" "ได้ยิน แต่ไม่เข้าใจ" "พรุ่งนี้ฉันต้องไปเชียงราย น่าจะหลายวัน ต้องเอามันมาฝากเธอไว้" "ไม่ฝากแม่นายล่ะ" "ไม่เห็นเขาบ่นหรือไง จะให้ฉันซื้อโซฟาใช้อยู่น่ะ" "แล้วโซฟาบ้านฉันล่ะ" "เดี๋ยวซื้อให้ใหม่" เหมือนแพรได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ "ก็เธออยากได้มันนี่ตอนนั้น" "แล้วเกี่ยวอะไรกับตอนนี้" "ก็เห็นเธอว่างๆ ฝากสักสามสี่วัน ไม่สงสารเจ้าบี้มันหรือไง" เมื่อถึงบ้านบริรักษ์ไพศาล คุณประไพรก็เอ่ยทักทายเจ้าบี้เสียงใสไม่แพ้เธอ "มาทำไมอีกเจ้าบี้ พ่อแกอยากซื้อโซฟาให้ย่าใหม่หรือไง" "เปล่าครับ เอามาด้วยเฉยๆ เดี๋ยวจะเอาไปฝากไว้ที่ห้องเบบี๋ ผมต้องไปเชียงราย" คุณประไพร แทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ไม่ต่างจากสองพี่น้องที่เดินมาเพราะได้ยินเสียงคุณประไพรอยู่หน้าบ้าน พี่ชายสองคนหันมาเบะปากใส่กันอย่างรู้ทัน หาข้ออ้างเอาแมวไปฝากเขา หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จไตรฉัตรไปส่งเหมือนแพรที่คอนโด และเธอยังต้องช่วยเขาอุ้มเจ้าบี้ขึ้นไปที่ห้องอีกด้วย โชคดีว่าคอนโดนี้เป็นของครอบครัวเธอ แถมชั้นที่เธออยู่ยังมีแค่สามห้อง จึงออกจะเป็นส่วนตัวไม่วุ่นวายกับใคร ไตรฉัตรถือสมบัตินังบี้พะรุงพะรัง ทำอย่างกับมันจะมาอยู่สักสามสี่เดือนอย่างนั้นแหละ เมื่อขึ้นมาถึงห้องเขาก็จัดแจงหามุมสงบให้ลูกสาวของตัวเอง เหมือนแพรได้แต่ยืนมอง หลังจากจัดมุมให้นังบี้เสร็จ เขาก็หันมาสั่งคนรับฝากถึงสิ่งที่ต้องดูแล ทั้งเรื่องให้อาหาร ต้องเล่นกับมันยังไง แถมเธอยังต้องคอยรายงานเขาอีกด้วย ทุกวันต้องส่งรูปนังบี้ให้เขาดู ว่าทำอะไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง หรือแม้แต่ถ้าเขาถามมาเธอก็ต้องตอบเขาอีกด้วย "นี่ฉันต้องกลายมาเป็นแม่มันหรือไง" "อยากเป็นไหมล่ะ"สวนลำธารบ้านลุงเอี่ยม ในวันที่ลูกสาวคนโตของบ้านกำลังจะมีคนมาสู่ขอ พ่อเอี่ยมและแม่ศรีในฐานะเจ้าของบ้านก็ตระเตรียมต้อนรับทั้งจัดบ้านใหม่อย่างที่เคยเอ่ยกับลูกสาว ชุดสวยที่ใส่ต้อนรับแขกราวกับมีเทศกาลงานบุญ อีกทั้งซุ้มที่เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาเช่าเล่นน้ำ วันนี้ก็ถูกกันเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อต้อนรับแขกจากกรุงเทพ เดิมทีพ่อเอี่ยมจะปิดทั้งหมด แต่ก็กลัวลูกค้าที่เข้ามาแล้วจะเสียเที่ยวจึงได้เปิดไว้บางส่วนต้อนรับลูกค้าด้วย อาหารทั้งไทย อีสาน ถูกจัดเตรียมเอาไว้ครบครัน ปรางทิพย์มาถึงพร้อมอาจารย์วิทย์ในช่วงสาย ทีแรกเธอจะมาก่อนแต่ไตรวิทย์ก็ไม่อยากให้เธอขับรถมาคนเดียว เพราะเขาต้องมาพร้อมกับพ่อแม่ และยังมีสมาชิกอย่างไตรฉัตรกับภรรยาที่ตามมาพักผ่อนด้วย ไม่เว้นแม้แต่มิลินที่ยังขอติดสอยห้อยตามมาด้วย ขาดก็แต่ไตรคุณที่วันนี้ต้องเข้าไปที่โรงแรม เพราะมีลูกค้าสำคัญเข้ามาพักที่โรงแรม ทำให้เขาต้องไปต้อนรับ "แม่ บ้านเรามีงานบุญหรือ" ปรางทิพย์เอ่ยถามตอนที่ลงรถมาเห็นแม่ศรีในชุดผ้าไหม "ก็ต้องแต่งตัวให้ดีหน่อยซิ ดูแกซิทำตัวมอซอ ไปเปลี่ยนชุดซะไป" คนโดนว่ามอซอแทบจะทำหน้าไม่ถูก เพราะไตรวิทย์ยืนอยู่ข้างๆ เธอหั
อีกวันที่ล่วงผ่านปรางทิพย์เพิ่งได้มีโอกาสสะสางข้อความตั้งแต่เกิดเรื่องจนวันนี้ข้อความที่ถูกส่งเข้ามาเกือบร้อยข้อความไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัวหรือเพื่อน กระทั่งน้องๆ พยาบาลที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่ถามไถ่หรือตลอดจนข้อความให้กำลังใจ เธอไล่ตอบอยู่นานจนครบทุกข้อความ และถึงได้โทรหาแม่ศรีบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้แม่ได้สบายใจ เย็นวันนั้นไตรวิทย์จึงได้พาเธอกลับมาทานข้าวที่บ้าน คุณแม่ประไพรยังต้อนรับเธออย่างอบอุ่นอยู่เสมอ แค่เห็นหน้าผู้มากวัยก็รีบเข้ามาสวมกอด "หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะลูก" อ้อมกอดที่อบอุ่นแทบไม่ต่างจากลูกชาย "ไปๆ กินข้าวกันดีกว่า ยายมิลินยังไม่มาอีกหรือ" คุณนายประไพรรีบเกณฑ์บรรดาลูกๆ ของท่านเข้าห้องอาหาร แต่ก็ยังไม่ลืมมองหาคนอีกคน "มาแล้วค่ะ คุณป้า" แค่เพียงถามหา เสียงใสลากยาวก็ขานรับทันที เพราะมาถึงพอดีที่คุณป้าถามหา "อ้าวมาพอดี ไปๆ ทานข้าวกันลูก" แต่คนตัวเล็กกลับตรงเข้าไปหาคุณหมอปรางทิพย์สวมกอดเอาไว้ดุจให้กำลังใจ "เจ๊ปราง" มือที่สวมกอดพร้อมน้ำเสียงออดอ้อนโดยไม่ต้องเอ่ยเรื่องราวอะไร ปรางทิพย์ก็เข้าใจได้ "ขอบใจมากนะมิลิน" "โอเคแล้วใช่เปล
ผู้ชายตัวสูงสองคนที่ใส่สูทสีดำเรียบร้อย แม้อีกคนจะดูเตี้ยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่าทางภูมิฐานนั้นลดน้อยลงเลย คนตัวสูงถือพวงหรีดดวงไม้สดสีขาวเข้ามาด้วย ข้อความบนนั้นมีเพียง ด้วยความอาลัย ไม่ได้บ่งบอกชื่อว่าเป็นใคร ศาลาเล็กภายในวัดของชุมชน ที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ศาลาก็ไม่ได้ติดแอร์อย่างวัดใหญ่มีชื่อเสียง ผู้คนภายในงานก็ล้วนเป็นชาวบ้านแถวนั้น การแต่งกายของสองคนที่เดินมาจนถึงหน้าศาลา เรียกสายตาของคนในงานให้หันไปสนใจ เจ้าภาพของงานรีบเดินออกมาต้อนรับแขกไม่คุ้นหน้า "คุณมางานนี้หรือ รู้จักกับน้องชายฉันหรือคะ" น้ำเสียงตะกุกตะกักเอ่ยถาม ผู้ชายชุดดำสองคนอย่างไม่มั่นใจ แต่เมื่อเขาส่งพวงหรีดให้ เธอก็รีบรับแล้วส่งต่อให้ใครอีกคนที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง แต่เหมือนไตรวิทย์และณัฐกรจะจำผู้หญิงคนนี้ได้ดี เธอคนนี้ที่อยู่ในภาพข่าวเกือบทุกสำนัก "เอ๊ะ คุณทนายณัฐกร" น้ำเสียงออกจะตื่นเต้นไม่น้อยที่เห็นณัฐกร ทั้งที่สองคนยังไม่ทันได้แนะนำตัวกลับมีคนจำคุณทนายได้เสียก่อน "อ๋อครับ สวัสดีครับ ผมมาแสดงความเสียใจด้วยน่ะครับ แล้วนี่คุณไตรวิทย์ เป็นแฟนของคุณหมอปรางทิพย์ครับ" แค่ณัฐกรแนะนำตัว ผู้หญิงคนนั้นก็ห
ไตรวิทย์ขมวดคิ้วฟังที่ณัฐกรเอ่ยแล้วก็ยังไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายนัก จนเมื่อณัฐกรกดโทรศัพท์ตัวเองคล้ายหาอะไรสักอย่าง แล้วก็ส่งโทรศัพท์นั้นให้ไตรวิทย์ ภาพข่าวดูจากสถานที่น่าจะเป็นโรงพยาบาล แล้วสักครู่ภาพก็ตัดมาที่ญาติของผู้เสียชีวิตและคนข้างๆ ที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี พัสรา แต่วันนี้เธอเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นแถมยังเป็นทนายให้กับฝ่ายนั้นอีกด้วย เสียงสัมภาษณ์ของนักข่าวที่ถามถึงเหตุการณ์ ญาติผู้เสียชีวิตก็เล่าเหตุการณ์ตามที่เกิดขึ้นจนกระทั่งหมอปรางเข้ามาช่วยคนเจ็บด้วยการทำซีพีอาร์ แต่สุดท้ายคนเจ็บก็เสียชีวิต โดยญาติคนไข้ยังติดใจเรื่องการเสียชีวิตเพราะหมอที่เข้ามาช่วยมีอาการเมา เพิ่งออกจากผับ ส่วนทนายพัสเพียงให้สัมภาษณ์ว่าทุกอย่างคงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพียงเท่านั้น อะไรก็จะไม่ร้ายแรงเท่าคอมเมนต์ของคนที่เรียกชาวเน็ต แต่ไตรวิทย์สะดุดตากับคอมเมนต์หนึ่งจนต้องใช้นิ้วจิ้มเพื่อดูโปร์ไฟล์ของคอมเมนต์นั้น อีกหน่อยใครจะกล้าช่วย คนดีๆ หมอดีๆ คงต้องอยู่เฉยๆ ดูคนขาดใจตายไปต่อหน้า คอมเมนต์ตอบกลับเจ้าปัญหานั้น ที่เขาสนใจ หมอดีๆ คงไม่เคยถูกคนไข้ฟ้องร้องหรอกมั้ง ไตรวิทย์ส่งโทรศัพท์นั้นให้ณัฐ
ไตรวิทย์ลากปรางทิพย์ออกมาจากพัสราได้แล้ว เพียงครู่เดียวมิลินก็รีบวิ่งตามมา ทิ้งให้ผู้หญิงคนที่ตัวเองไม่รู้จักไว้ตรงนั้น "มากันยังไง" ไตรวิทย์เอ่ยถามมิลิน เพราะดูท่าคนที่เขาจับแขนไว้อยู่คงจะไม่มีทางตอบแน่ "บังเอิญเจอกันที่นี่ค่ะ" มิลินเอ่ยตอบพร้อมกับมองหน้าเจ๊คนสวยที่ยังมีใบหน้าบึ้งตึง "ไปกลับบ้าน ค่อยไปคุยกันที่บ้าน" "ไม่กลับ ไม่คุย" ปรางทิพย์สะบัดแขนอย่างแรงจะให้พ้นการเกาะกุมของมือใหญ่ แต่มันก็ไม่หลุดง่ายๆ "บอกให้กลับบ้าน" ไตรวิทย์เน้นเสียง "ฉันขับรถมา" เมื่อเขาเสียงแข็ง เธอเองก็เริ่มเสียงแข็งขึ้นไม่แพ้กัน แถมยังเปลี่ยนวิธีเรียกตัวเองให้ดูห่างเหินอีกด้วย "จอดไว้นี่แหละ กลับบ้าน" คราวนี้ไตรวิทย์ไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะเถียงหรือดื้ออีก เขาออกแรงรั้งให้เธอเดินตาม แต่เธอก็ยังขืนตัวไว้ "จะให้อุ้มใช่ไหม" ได้ผลปรางทิพย์ยอมเดินแต่น้ำหนักที่ก้าวออกจะหนักกว่าปกติ รถของไตรวิทย์ขับออกมาได้เพียงนิดเดียว ถนนที่วิ่งขนาบกับคลองเล็กๆ ก่อนจะออกถนนใหญ่ ไตรวิทย์ชะลอรถลงเพราะรถคันหน้าเริ่มเคลื่อนตัวช้าเหมือนด้านหน้าจะมีอุบัติเหตุ จนเมื่อรถเขาขับผ่านกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถ
ปรางทิพย์ไม่แน่ใจว่าคุณพัสเตรียมเรื่องจะเปิดสำนักงานกฎหมายเสร็จไปถึงไหนแล้ว แต่ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้จากปากแฟนของตัวเองบ่อยเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะคุยโทรศัพท์ให้เธอได้ยินก็ตาม แต่เมื่อนึกถึงการเจอกันครั้งแรกของคุณพัสนั่นแล้ว ก็ทำเธอหงุดหงิดทุกที ในทุกวันที่ปรางทิพย์ออกเวรจากโรงพยาบาลเธอก็จะกลับคอนโดของไตรวิทย์ทันที ไม่ได้ตรงมาที่ร้านกาแฟเหมือนอย่างวันนี้ เพราะถ้าไม่เพราะมีเอกสารด่วนเกี่ยวกับการยื่นภาษีที่เธอต้องเข้าไปเซ็นด้วยตนเอง เมื่อมาถึงแล้วก็อดไม่ได้ที่เธอจะต้องอยู่ช่วยน้องๆ จนกระทั่งร้านปิด รถยนต์คันเก่าของเธอที่วันนี้ต้องจอดหลังร้าน เพราะตอนที่มาถึงบริเวณหน้าร้านไม่มีที่จอดเหลืออยู่เลย แล้วตอนที่ขับออกมาจากถนนหลังร้าน รถคันของเธอต่อท้ายรถอีกคัน จึงทำให้รถยนต์คันหรูของไตรวิทย์ที่ขับผ่านไม่ทันได้เห็น แล้วเธอก็ลืมส่งข้อความบอกเขาด้วยว่าวันนี้เข้ามาที่ร้านกาแฟ เธอขับออกถนนมาได้แล้วก็ตามรถของไตรวิทย์มาติดๆ แม้จะถูกแซงไปหลายคันแล้ว แต่รถคันหรูของเขามันออกจะสะดุดตาอยู่เธอจึงยังเห็นคันของเขาในสายตา จนถึงทางแยกที่จะต้องเลี้ยวไปทางคอนโด เธอกำลังจะตบไฟเลี้







