Masuk
ตอน ม.4 เทอม 1
ซู่…ซ่า…
ซู่ๆ ซ่าๆ ปาทังก้า ปาทังกี้
ซู่ๆ ซี่ๆ ปาทังกี้ ปาทังก้า
สีเขียวซู่ซ่า ปาทังก้า ปาทังกี้
สีเขียวเซ็กซี่ ปาทังกี้ ปาทังก้า
ซู่…ซ่า…
วันนี้โรงเรียนข้างๆ มีการแข่งขันกีฬาสี เสียงเพลงเชียร์ลอยมากระทบหูเป็นระยะหาได้ทำให้คนหงอยมาจากบ้านอย่างคิริมา รุ่งเรืองโรจนไพศาล รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแต่อย่างใด ตรงข้ามเธอกลับถอนหายใจออกมาหนักๆ ด้วยความเบื่อหน่าย วันหยุดมันควรจะเป็นเวลาของครอบครัว แต่ไม่ใช่สำหรับครอบครัวเธอ
ชีวิตเด็กเรียนดีกีฬาไม่เด่นอย่างเธอวนเวียนอยู่ที่โรงเรียนแม้กระทั่งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เธอก็ยังมาที่โรงเรียน เพราะไม่มีที่ไป บ้านไม่น่าอยู่ เพราะพ่อกับแม่เอาแต่ทะเลาะกันด้วยเรื่องเดิมๆ นั่นก็คือการที่พ่อนอกใจแม่เอาเงินไปปรนเปรอเมียน้อย ฐานะร่ำรวย มีหน้ามีตาในสังคม แต่กลับขาดแคลนความรักความอบอุ่น พ่อไปทาง แม่ไปทาง ทิ้งให้เธอโดดเดี่ยวเคว้งคว้างเป็นเด็กขาดความอบอุ่น
สาวน้อยคิดหมกมุ่นอยู่ในหัวเกี่ยวกับเรื่องปัญหาในครอบครัว กระทั่งนัยน์ตาหวานปนเศร้าที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะเผลอมองลอดเหล็กดัดลวดลายงดงามของรั้วโรงเรียนที่อยู่ติดกัน แล้วทันใดนั้นสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับเด็กผู้ชายร่างสูงโปร่ง ผมสีเทา ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเด็กผู้หญิงเกือบสิบคน ครั้นหรี่ตามองก็ปรากฏว่าอีกฝ่ายกำลังถูกสาวๆ รุมล้อม บ้างยื่นดอกไม้และลูกอมให้ บ้างกรีดร้องประหนึ่งเห็นดารา
เด็กผู้ชายหัวสีเทานั่นแน่ใจนะว่าเป็นนักเรียน เด่นสุด แต่ก็ผิดระเบียบสุดๆ เดาว่าเขาคงไม่ได้อยู่โรงเรียนข้างๆ คงแค่มาเช็กเรตติ้งตามประสาหนุ่มป็อป เพราะถ้าเขาอยู่โรงเรียนนั้นเขาจะไม่ทำไฮไลต์ผมสีเทาอย่างแน่นอน ที่คิดเช่นนั้นก็เพราะทราบดีว่าโรงเรียนของเธอและโรงเรียนข้างๆ มีกฎระเบียบไม่ต่างกัน เนื่องจากสองโรงเรียนมีผู้บริหารเป็นคนในเครือญาติตระกูลเดียวกัน ฉะนั้นการบริหารจึงไม่แตกต่างกัน
คิริมามองหนุ่มป็อปที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสาวๆ จนลืมตัว กระทั่งอีกฝ่ายเดินมายื่นหน้าหล่อๆ ติดจะร้ายชิดลูกกรงเหล็กดัด ใกล้กันเพียงแค่เหล็กกั้น ทำให้เธอถึงกับสะดุ้งเฮือก ผงะด้วยความตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะรีบลนลานถอยห่างไปตามความยาวของม้าหินอ่อน
“มองอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง”
เขายกมือเกาะรั้วโรงเรียนที่เป็นลูกกรงเหล็กดัดลายงดงามด้วยท่าทางกร่างๆ แล้วเค้นเสียงดุๆ คาดคั้น แต่เธอกลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น และท่าทางเหมือนเขาไม่มีตัวตนก็ทำให้หนุ่มฮอตสุดป็อปเหมือนโดนหักหน้า
ยัยแว่นสุดเชยหน้าตาจืดชืดนี่เป็นใครกันถึงได้กล้าดีมาทำเชิดใส่เขา
“เฮ้! ยันแว่น! ฉันถาม ก็ตอบสิวะ”
“หูหนวกหรือว่าเป็นใบ้ ฉันถามทำไมไม่ตอบ” เสียงแข็งๆ เอ่ยคาดคั้นให้ได้อย่างใจ ยิ่งอีกฝ่ายทำเมินเขาก็ยิ่งอยากตอแยและไล่ต้อนให้จนมุม
“อย่ามายุ่งกับฉัน!” เธอเชิดหน้าสวนกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ
จากนั้นก็หันหลังให้อีกฝ่าย เจ้าของร่างบางตั้งท่าจะลุกขึ้นจากม้าหินอ่อน ทว่าอีกฝ่ายกลับรั้งสายกระเป๋าเอาไว้ ทำให้เธอหลับตาสะกดอารมณ์ แล้วหันกลับมาหาเขา
“บอกแล้วไง ว่าอย่ามายุ่งกับฉัน”
เธอเค้นเสียงเย็นชาลอดไรฟันขณะมองหนุ่มป็อปที่สาวๆ ต่างพากันคลั่งไคล้ด้วยสายตาเย็นชา ซึ่งการเชิดหน้าทำท่าถือดี ไว้ตัว และประหยัดคำพูด ยิ่งทำให้เขานึกหมั่นไส้ คึกคะนองอยากเอาชนะและก่อกวนให้แม่สาวที่ทำตัวเป็นเหมือนผู้ใหญ่เกินวัยออกอาการสติแตก
“เสาร์อาทิตย์มาโรงเรียน สงสัยจะทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาใช่ไหมวะพวกเรา”
หัวหน้าแก๊ง ‘หน้าใสใจเถื่อน’ ที่สาวๆ พากันคลั่งไคล้หันไปเอ่ยกับอีกสามหนุ่มที่เหลือ ซึ่งทั้งธีรเดช คิมหันต์ และเผ่า ต่างพยักหน้ารับ การตอแยสาวในลักษณะกวนประสาทของพงษ์สวัสดิ์เป็นอะไรที่พวกเขาชื่นชอบเป็นที่สุด เพราะไม่บ่อยนักที่ไอ้หัวเทาจอมเกรียนที่สาวน้อยสาวใหญ่กรี๊ดทั้งโรงเรียนจะต่อปากต่อคำกับผู้หญิง
‘เด็กมีปัญหา’ คำนี้แสนกระแทกใจ ทำเอาคิริมาเม้มปากนิ่งขึงไปชั่วขณะ เพราะเธอเป็นเด็กมีปัญหาจริงๆ พ่อไม่เคยเหลียวแล เห็นลูกเมียน้อยดีกว่าเธอ ส่วนแม่ผู้เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวก็เอาแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ตื่นเช้ามาสิ่งที่เธอเจอไม่ใช่หน้าแม่ แต่เป็นจานข้าวและเงินที่วางอยู่ข้างกัน
“ปล่อยมือจากสายกระเป๋าฉัน”
“ไม่ปล่อย มีอะไรมะ” ไอ้หนุ่มหัวเทาจอมเกรียนลอยหน้าทำท่ากวนๆ ทำให้แม่สาวจอมเย็นชาสติหลุด เผลอชักสีหน้าพร้อมกับเอ่ยเสียงแข็งๆ
“ฉันบอกให้ปล่อย!”
“แน่จริงก็กระชากให้หลุดสิ”
ขาดคำเธอก็ตวัดตาขุ่นมองหน้าใสๆ แต่ร้ายเหลือใจของอีกฝ่าย ครั้นเห็นเขาเลิกคิ้วท้าทาย คิริมาก็กระชากสายกระเป๋าของตัวเองแรงๆ หวังจะให้มันหลุดจากอุ้งมือของไอ้เด็กจอมกวนประสาท ทว่านอกจากจะไม่เป็นดังใจหวังแล้ว เธอยังต้องเบิกตาโพลง ในวินาทีที่อีกฝ่ายกระชากสายกระเป๋าของเธอแรงๆ จนร่างบางเสียหลัก ลอยละลิ่วจนหน้าเกือบแนบกับลูกกรงรั้วโรงเรียน ครั้นจะขืนตัวถอยห่างอีกฝ่ายกลับรั้งเข้าหามากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นก็ต้องตัวแข็งทื่อ หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักรุนแรง เมื่อคนที่จงใจกวนประสาทและกลั่นแกล้งสาวแว่นจอมเย็นชาแนบหน้าเกือบชิดลูกกรงอีกด้าน ยิ่งสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งได้ใจ กระตุกมุมปากยิ้มร้าย แล้วกระซิบเสียงกลั้วหัวเราะอย่างผู้กำชัยชนะ
“นึกว่าจะแน่…”
“อูยยยยย…กวนบาทาชะมัดเลยไอ้หัวเทา”
เสียงสูดปากแซวอย่างครื้นเครงดังออกมาจากปากหนุ่มสุดกวนประจำแก๊งหน้าใสใจเถื่อนอย่างเผ่า ก่อนที่คิมหันต์จะเอ่ยเสริมอย่างนึกสนุก
“นั่นดิ…คาแรกเตอร์เรียกตีนสุดๆ”
“จะปล่อยฉันไปได้หรือยัง”
“ยัง”
“นายต้องการอะไรอีก” เธอมองเขาอย่างเบื่อหน่าย
สายตาคล้ายตำหนิเหมือนเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ทั้งที่เธอเองก็น่าจะเกิดพร้อมกับเขาหรือไม่ก็อายุมากกว่าแค่ปีเดียวทำให้พงษ์สวัสดิ์นึกหงุดหงิด ผู้หญิงอะไรเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้
“พูดกับฉันเพราะๆ ก่อน แล้วจะปล่อย”
“อย่ามาสั่ง! ไอ้เด็กกวนประสาท!” คนที่ไม่เคยถูกสาวไหนตอกหน้าถึงกับอึ้งในถ้อยคำด่าทอที่อีกฝ่ายสาดใส่ เผลอปล่อยสายกระเป๋าเปิดโอกาสให้เธอไหวตัวถอยห่าง
“ก่อนจะมาสั่งอะไรคนอื่น ไปย้อมผมให้ถูกระเบียบโรงเรียนก่อนเถอะ” คิริมาเชิดหน้าเอ่ยตบท้ายด้วยถ้อยคำกระแทกใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินลิ่วจากไปแบบไม่เหลียวหลัง
“ยัยแว่นปากจัด! แน่จริงก็อย่าเดินหนีสิวะ!”
ครั้นได้สติพงษ์สวัสดิ์ก็ตะโกนไล่หลังไปหาเรื่อง ทว่านอกจากจะทำหูทวนลมแล้วอีกฝ่ายยังวิ่งหนีไปคล้ายรำคาญเสียเต็มประดา ทำเอาคนไม่เคยถูกขัดใจถึงกับคำรามลั่น
“ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
“นึกยังไงถึงไปแกล้งผู้หญิงเชยๆ แบบนั้น”
หนุ่มน้อยมาดนิ่งสุดเนี๊ยบอย่างคุณชายธีรเดชเอ่ยถามอย่างยิ้มๆ เพราะไม่เคยเห็นเพื่อนรักเป็นแบบนี้มาก่อน ซึ่งคิมหันต์และเผ่าก็เห็นด้วยไม่ต่างกัน
“นั่นดิ ยัยนั่นไม่ใช่สเปกมึงนี่หว่า”
“เอ๊ะ…หรือว่ามึงนึกคึกอยากจะตกสาวเชยขึ้นมา”
“เห็นหน้าเอ๋อๆ แต่อวดดีแล้วหมั่นไส้ เลยอยากแกล้ง…ก็แค่นั้น” คนกลายเป็นผู้ถูกไล่ต้อนไหวไหล่เล็กน้อย ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาสีหน้าเรียบสนิท
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าที่กูเห็นไอ้ปี่เดินหัวฟูขาเปลี้ยออกมาจากห้องไอ้จอมคือฝีมือมึง” ปรเมศหันขวับไปจ้องหน้าคู่อริ แล้วหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ชิบหาย! ไอ้เชี่ยเมศ! กูไม่ได้เลวระยำขนาดนั้นเว้ย!”“แต่ก็เลวแหละที่มอมเหล้าหมอปี่เขาแบบนั้น” คิริมาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำคำประณามตรงๆ เพราะนึกหมั่นไส้สามี แต่นอกจากพ่อเจ้าประคุณจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังขยิบตาให้ “เลวก็ได้ แต่เป็นคนเลวที่รักเธอนะ”“แหวะจะอ้วก” ปรเมศเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาพงษ์สวัสดิ์ถลึงตาใส่ แล้วทั้งคู่ก็มองกันอย่างฟาดฟัน จนสองสาวต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าอย่างระอา เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคนที่จับมือปรองดองเพื่อก่อกวนให้จอมพลอยู่ไม่สุขเมื่อครู่กำลังแตกคอกัน ดีกันได้ไม่ทันไรจะกัดกันอีกแล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เมศบอกว่าเมศเห็นไอ้ปี่เดินออกมาจากห้องของจอมพลใช่ไหม”คนที่ยังตงิดใจกับคำพูดของสามีเอ่ยซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะก่อนจะเดินลงมาที่หาดเธอเหลือบเห็นรอยประหลาดตรงคอของปิยฉัตร ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด “ใช่จ้ะ แต่น้ำไม่ต้องห่วงหรอกเมศถามไอ้ปี่แล้ว มันบอกว่าแค่สลับกุญแจกันเท่านั้นเอง ม
พงษ์สวัสดิ์มีอาการแพ้ท้องแทนเมียหนักมากในช่วงอายุครรภ์ของคิริมาย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ เขามีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน ลุกมาอาเจียนทุกเช้า พอได้กลิ่นอาหารก็จะวิ่งเข้าห้องน้ำ แทบจะกินอะไรไม่ได้ ส่วนเธอก็เหมือนถูกลูกบังคับให้แม่ต้องทำตัวติดกับพ่อแจ คอยคลอเคลียไม่ห่างกาย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาโคตรจะปลื้ม เพราะไม่ว่าจะไปไหนเมียก็จะติดสอยห้อยตามไปทำให้อุ่นใจ รวมทั้งนัดเลี้ยงรุ่นที่ภูเก็ตเมียของเขาก็ยังมาด้วยโดยไม่อิดออด ถ้ารู้ว่าท้องแล้วมันดีขนาดนี้เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสทำให้เมียท้องอีกหลายๆ ครั้งเสียแล้ว บรรยากาศที่หาดสุรินทร์ของทะเลภูเก็ตในเวลาบ่ายกำลังดีไม่น้อย นักท่องเที่ยวต่างจับจองเก้าอี้ผ้าใบ บ้างนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกีฬาริมหาด ส่วนคณะที่มานัดเลี้ยงรุ่นต่างกระจายตัวอยู่เกือบทั่วหาด เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยฟรีสไตล์ ก่อนจะมีงานเลี้ยงส่งท้ายในช่วงหัวค่ำ พงษ์สวัสดิ์อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้าลายสับปะรดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เข้าคู่กับภรรยาในชุดเดรสสีฟ้าลายเดียวกัน ที่นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันภายใต้ต้นไม้อีกคู่ก็จะเป็นปรเมศและธารธารา ซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดคู่รัก เสื้อย
“อุวะ! แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นอาย” ตามีโพล่งขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มให้ยายมา จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็นั่งโอบร่างอวบอิ่มของเมียรักอยู่หน้ากองไฟ คุยกับตาและยายที่กำลังเผาข้าวหลาม ปีใหม่ปีนี้หนาวกว่าทุกปี แต่พงษ์สวัสดิ์และคิริมากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างหามีใดเทียบเทียม เพราะเหมือนทั้งคู่ได้กันและกันกลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว พงษ์สวัสดิ์จูบแก้มคนที่นั่งตักตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่ไหวแบบไม่อายตากับยาย พอตามียื่นข้าวหลามที่ผ่าแล้วให้เขาก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรับมาด้วยรอยยิ้ม บิเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากเมียรักด้วยท่าทีอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วจูบแก้มนวลฟอดใหญ่ เมื่อแม่คุณทำแบบเดียวกันกับเขา ท่าทางหวานแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างทำให้คนแก่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ยายมากระซิบบอกตามีให้รีบผ่าข้าวหลามอันที่เย็นแล้วให้หมด กระทั่งข้าวหลามถูกผ่าจนหมดเกลี้ยงสองตายายถึงได้ชวนกันหลบไปจากกองไฟอย่างเงียบๆ “ที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูก” คนที่เกยคางอยู่ตรงลาดไหล่อ่อนช้อยกระซิบเสียงนุ่มละมุน พร้อมกระชับอ้อมกอดใ
“เล่นตัวดีนัก มันต้องเจอแบบนี้”ขาดคำคิริมาก็ทำให้คนที่คิดว่าเธอจะเลิกเล่นตามคำสั่งถลาลงไปในแปลงนาด้วยการกระชากแขนแกร่ง พอเขาเสียหลักลงไปนอนแอ้งแม้งเธอก็โกยโคลนขึ้นมาป้ายหน้าหล่อๆ พร้อมหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ”“เล่นแบบนี้เลยเหรอยัยตัวแสบ!”เขาเอ่ยเสียงเข้มๆ พร้อมปาดโคลนออกจากหน้าตัวเอง จ้องแม่ตัวดีด้วยสายตาคาดโทษ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้วแม่คุณยังลอยหน้าท้าทายเฉยเลย “อือฮึ…”จากนั้นมหกรรมปาโคลนใส่กันก็เริ่มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น กระทั่งเขาเสียหลักแทบจะหัวทิ่มเธอก็ตามไปนั่งคร่อม แล้วละเลงโคลนใส่หน้าสามีประหนึ่งทำสปาโคลนให้อย่างไรอย่างนั้น คนที่ยอมเมียไปเสียทุกอย่างนั่งนิ่งๆ ให้คนท้องแสนซนเล่นสนุกกับการวาดรูปลงบนหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนของตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะจูบเธอทั้งที่โคลนเลอะใบหน้าด้วยความมันเขี้ยว หลังจากเล่นสนุกอยู่ในโคลนจนเหนื่อย และเนื้อตัวเลอะไปหมด พงษ์สวัสดิ์ก็อุ้มร่างอวบอิ่มของเมียรักขึ้นจากแปลงนาด้วยท่าทางทะนุถนอม ค่อยๆ วางเธอลงบนคันนา จากนั้นก็วิ่งลงไปในแปลงนาข้างกันที่มีน้ำใสๆ ขังอยู่ แล้วล้างมือจนไม่เหลือคราบโค
“พี่ครีม” เธอแก้ให้แต่เรื่องอะไรเขาจะทำตาม“ครีม…ปีใหม่ปีหน้าเรามาเที่ยวที่นี่กันอีกนะ” คนไม่อยากมีพี่สาวเอ่ยเรียกเธอในแบบของเขา แล้วชักชวน จากนั้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “มาครั้งหน้าจะได้กินข้าวหลามอีกป่ะ” คนติดใจข้าวหลามเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น“แน่นอน จะให้ยายทำให้เยอะๆ เลย เอากลับกรุงเทพด้วยก็ได้” เขาเอาของกินมาล่ออย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยรบเร้าอีกคราว “นะ…มาด้วยกันอีกนะ มาทุกปีเลย”“ทุกปีเลยเหรอ?” คราวนี้เธอทำตาโต“อือฮึ…ทุกปี ‘แค่เราสองคน’ เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยยืนยันอย่างหนักแน่น คำว่า ‘แค่เราสองคน’ ทำเอาคิริมาใจสั่นไปหมด “อ้าว! แล้วสามคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่ มันจะเป็นความลับเฉพาะของเราสองคนเท่านั้น” เขาเอ่ยบอกอย่างฉะฉาน ก่อนจะรบเร้าเอาคำตอบให้ได้อย่างใจอีกครา “ปีใหม่ของทุกปีเรามาเจอกันที่นี่นะ” “โอเค งั้นก็ได้” เธอพยักหน้าน้อยๆ และคำตอบที่รอคอยก็ทำให้คนที่กำลังพาเธอก้าวเดินไปข้างหน้าถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่พงษ์สวัสดิ์จะเอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง “สัญญาแล้วนะ”“อือ…สัญญา”คิริมาเอ่ยตอบเบาๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำตาโ
หลังจากฉุดกันขึ้นจากโคลนตม แล้วก้าวขาขึ้นไปยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนคันนา คิริมาก็ดึงแว่นที่มัวเพราะเลอะเศษโคลนจนเป็นวงเล็กๆ ออกหมายจะเช็ด แต่พอก้มลงก็ต้องทำหน้าผิดหวัง เพราะเสื้อที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาเหลือบดำเพราะเลอะไปด้วยโคลน ไม่มีส่วนไหนพอจะเช็ดแว่นได้เลย เธอหันรีหันขวางหาแหล่งน้ำเพื่อจะนำแว่นไปล้างให้พอใส่เดินกลับได้ ทว่าครั้นจะก้าวลงไปในนาอีกแปลงมือใหญ่ก็รั้งข้อมือเรียวเอาไว้ พงษ์สวัสดิ์ดึงมือที่ถือแว่นไปแนบกับคอเสื้อของตนในส่วนที่ไม่โดนโคลน ท่ามกลางเสียงอุทานน้อยๆ และดวงตาเหลือกถลน ชั่วพริบตาร่างบางก็ปลิวไปปะทะร่างสูงใหญ่เกินวัย เธอทำท่าจะก้าวถอยห่างด้วยท่าทางตื่นๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายวาดวงแขนแกร่งมาคว้าเอวคอดกิ่วเอาแล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอนตัวหนีทั้งที่ยังติดอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายในสภาพหน้าตื่นๆ แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบสั่งชิดหน้าผากมนด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าชวนใจละลายอย่างพิลึก สมองเหมือนตายดับไปชั่วขณะ ลักษณะเลื่อนลอยคล้ายโดนป้ายยา “เช็ดซะ”ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้คนถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวสติหลุด หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เห็นซีกแก้มแดงๆ ของผู้ที่ยืนนิ่งเหมือ







