LOGIN“แค่นั้นจริงๆ เหรอวะ” เผ่าเอ่ยถามเป็นเชิงย้ำด้วยสีหน้ากลั้นยิ้ม
“ก็เออสิวะ”
สามหนุ่มได้แต่มองหน้ากัน แล้วลอบอมยิ้ม เพราะรู้เท่าทันว่าภายใต้ถ้อยคำปฏิเสธหน้าตายนั้นมันอาจจะมีอะไรมากกว่าคำว่าหมั่นไส้ซุกซ่อนอยู่
วันนี้คิริมาตื่นสายกว่าปกติ เพราะอยู่ๆ ก็เกิดนอนไม่หลับในค่ำคืนที่ผ่านมา กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบตีหนึ่ง หัวสมองน้อยๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเด็กผู้ชายหัวสีเทาคนนั้น เจอกันแค่เพียงครั้งแต่เธอกลับจดจำเขาได้อย่างติดตา ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหล่อใสสไตล์โอปป้า แววตาร้ายๆ และท่าทางกวนประสาทจนน่าหมั่นไส้
สาวน้อยผมสั้น นัยน์ตากลมโต ผิวขาวอมชมพู ใบหน้ากระจ่างใสสมวัยถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้แว่นตาหนาเตอะสุดเชย จนใครต่อใครต่างก็มองว่าเธอเฉิ่มเชย ร่างแน่งน้อยก้าวลงจากบันไดของคฤหาสน์หลังงามอย่างเชื่องช้า ด้วยเบื่อหน่ายกับบรรยากาศสุดอ้างว้างอย่างเช่นทุกเช้าที่ไร้เงาของบิดาและมารดา บ้านหลังใหญ่ดูเงียบเหงาแบบนี้มากว่าสองปีแล้ว หากแต่พอเดินมาถึงห้องครัวเท้าเรียวเล็กก็ถึงกับชะงักกึก ดวงตาหวานปนเศร้าพลันเปล่งประกายเจิดจ้าในวินาทีที่เหลือบไปเห็นแผ่นหลังของผู้หญิงที่เธอรักและเทิดทูนที่สุดในโลก
“แม่ขา…อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เสียงใสๆ ร้องทักทายด้วยท่าทางเริงร่า ทำเอาคนที่กำลังง่วนกับการทำอาหารหันมาส่งรอยยิ้มหวานละมุนเจืออบอุ่นให้บุตรสาว
“มอร์นิ่งจ้ะสาวน้อย”
จากนั้นเจ้าของร่างสมส่วนในชุดทำงานหรูดูภูมิฐานซึ่งมีผ้ากันเปื้อนลายน่ารักๆ คาดอยู่ตรงเอวก็หันกลับไปทำอาหารต่อ ท่าทางคล่องแคล่วและดูมีความสุขของคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารทำให้คนที่แทบไม่มีช่วงเวลาใดๆ ร่วมกับแม่ในระยะหลังๆ มานี้ถึงกับยิ้มไม่หุบ หัวใจดวงน้อยอุ่นซ่านอย่างหามีใดเสมอเหมือน
“แม่ทำอะไรกินคะ หอมจังเลย” คิริมาเอ่ยถามอย่างยิ้มๆ ขณะเดินมาหามารดา หยุดยืนในลักษณะซ้อนหลัง แล้วชะโงกหน้าไปมองสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังใช้ตะหลิวคนไปมาอยู่ในกระทะ
“โห…ข้าวผัดกุ้ง”
“ของโปรดหนูไงลูก”
คนที่ถึงจะอายุสี่สิบต้นๆ แต่ยังสวยไม่สร่างเอ่ยอย่างยิ้มๆ ขณะหยิบเครื่องปรุงมาปรุงรส เอื้อมมือไปหยิบช้อน แล้วตักแบบพอดีคำ เป่าจนแน่ใจว่ามันจะไม่ร้อน จากนั้นจึงนำมาจ่อปากจิ้มลิ้มของลูกสาว ซึ่งคิริมาก็อ้าปากรับเอาข้าวผัดกุ้งที่แม่ป้อนให้ชิมอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะทำตาพราวระยับด้วยความถูกอกถูกใจ ชูนิ้วโป้งให้มารดาแทนคำตอบว่าอร่อยมาก เรียกรอยยิ้มจากคนสละเวลามาทำอาหารเช้าได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณนะคะแม่”
“ขอบคุณเฉยๆ ก็พอ ไม่ต้องกอดแม่ เดี๋ยวเสื้อทำงานแม่ยับ”
วาจานุ่มนวลทว่าความหมายคล้ายเหินห่างทำให้คนฟังถึงกับชะงัก หน้าจืดเจื่อนลงถนัดตา วงแขนที่กำลังจะสอดร้อยรัดเอวของผู้เป็นมารดาลู่ลงที่ข้างลำตัว ริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อเม้มเข้าหากันแน่น หยาดน้ำใสๆ คลอเคล้านัยน์ตา ก่อนที่ร่างบอบบางจะถอยกลับไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว
“เอ้า…รีบทานข้าว จะได้รีบไปโรงเรียน” หลังจากวางจานข้าวผัดกุ้งหอมฉุยลงตรงหน้าบุตรสาวนางครองขวัญก็เอ่ยบอกเบาๆ จากนั้นก็ก้มลงสำรวจความเรียบร้อยของชุดทำงานของตัวเอง ที่ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดขนาดนี้ก็เพราะว่าวันนี้เธอมีนัดสำคัญกับคู่ค้ารายใหญ่
“แล้วแม่ไม่ทานด้วยกันเหรอคะ” น้ำคำอ้อนๆ บวกกับสายตาเว้าวอนทำให้คนที่กำลังตั้งท่าจะเดินไปหยิบเสื้อสูทและกระเป๋าถึงกับหยุดชะงักเล็กน้อย
“หนูทานเถอะ…แม่รีบ” นางครองขวัญเอ่ยบอกลูกสาว ก่อนจะเดินกลับมาโอบร่างอ้อนแอ้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ยกมือขึ้นลูบศีรษะน้อย แล้วเอ่ยเบาๆ
“เป็นเด็กดีนะลูก”
“ค่ะแม่”
“ดีมากจ้ะ” นางครองขวัญยิ้มอ่อนโยน แล้วก้มลงหอมหน้าผากลูกสาวเบาๆ
“เอ่อ…แล้วพ่อล่ะคะ ครีมไม่เห็นพ่อมาหลายวันแล้ว” คิริมาอ้อมแอ้มด้วยความใคร่รู้ ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาแข็งกร้าวเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของอีกฝ่าย
“อย่าถามถึงไอ้ผู้ชายสารเลวคนนั้นให้แม่ได้ยินอีก” วาจาเฉียบขาดที่หลุดออกมาจากปากผู้เป็นแม่ทำให้สาวน้อยถึงกับน้ำตาซึมด้วยความเศร้าใจ เพราะรู้ดีว่าครอบครัวของเธอจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว พ่อเก็บของและย้ายออกไปอยู่กับเมียน้อยอย่างที่แม่ของเธอว่าจริงๆ
จากนั้นนางครองขวัญก็ผลุนผลันจะไปหยิบของ ทว่ายังก้าวขาไม่ถึงไหน เสียงของคนที่เพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ก็เอ่ยเป็นเชิงห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนค่ะแม่”
“มีอะไรก็ว่ามา วันนี้แม่รีบจริงๆ ลูก” หลังจากหันกลับมามองหน้าลูกสาว คนที่เอาแต่บ้าคลั่งกับการทำงานจนทิ้งลูกให้อ้างว้างอยู่ข้างหลังก็เอ่ยอย่างพยายามที่จะใจเย็น
“งานวันแม่ที่โรงเรียนปีนี้แม่จะไปไหมคะ” สาวน้อยเอ่ยเสียงติดจะสั่นสะท้าน ด้วยไม่เคยได้กราบแม่ในวันแม่ที่โรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นกับคำถามที่เอื้อนเอ่ยออกไป เพราะค่อนข้างคาดหวัง ตื่นเต้น และวิตกกังวลกับคำตอบที่จะได้รับฟังในวินาทีถัดมา
“ยังไม่แน่ใจเลยลูก เพราะช่วงนี้แม่ยุ่งๆ อยู่กับการโปรโมตผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของบริษัท แถมยังต้องเดินทางไปอเมริกาอีก ถ้าแม่ไปไม่ได้จะให้ป้าแววไปแทนแล้วกันนะลูก”
ท่านประธานของบริษัทออกแบบตกแต่งภายในยักษ์ใหญ่เอ่ยบอกเร็วๆ ขณะเดินไปหยิบกระเป๋าและเสื้อสูทซึ่งวางอยู่ตรงเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไป
“แต่แม่คะ…”
“แม่ไปล่ะ แม่รีบ”
“หนูแค่อยากจะบอกแม่ว่า หนูไม่ต้องการใคร…นอกจากแม่” คล้อยหลังมารดาสาวน้อยก็เอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น ก่อนที่น้ำตาจะหยดแหมะลงกระทบจานข้าว
7.29 น.
“ยัยแว่น! ฉันบอกให้เอาการบ้านมา!”
“เอาการบ้านมาให้พวกฉัน ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
เสียงเข้มๆ ข่มขู่ ตามมาด้วยถ้อยคำบีบบังคับจากสองแฝดนรกประจำห้อง หากแต่คำสั่งเหล่านั้นหาได้ทำให้คนที่โดนแบบนี้เป็นประจำจนชินชาหวาดกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามคิริมากลับนั่งทำหน้านิ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนร่วมห้องจำนวนห้าคน ขาประจำที่มาขู่ลอกการบ้านของเธอ
“ถ้าเธอไม่อยากมีเรื่องก็เอาให้พวกเขาไปซะสิ” คราวนี้เมริษาหรือมินนี่สาวสุดป็อปประจำโรงเรียนทำเป็นพูดจาดี แต่เเววตากลับกระด้างออกแนวบีบบังคับ สร้างภาพเป็นนางฟ้าในคราบนางมารร้ายชัดๆ
“พวกเธอก็รู้นี่ ว่าอาจารย์สั่งว่าไม่ให้พวกเธอลอกการบ้านฉัน” คิริมาเอ่ยเสียงเรียบๆ อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้หวาดกลัวแก๊งอันธพาลหลังห้องเลยสักนิด เพียงแต่เธอไม่อยากมีเรื่องให้ต้องถูกฝ่ายปกครองเรียกไปสอบสวน เพราะสุดท้ายคนที่ถูกลงโทษด้วยการหักคะแนนความประพฤติก็คือเธอ
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทุกครั้งที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นทางโรงเรียนจะเชิญผู้ปกครองมาพบ ซึ่งพ่อแม่ของทุกคนต่างก็มากันอย่างพร้อมหน้า ยกเว้นพ่อแม่ของเธอ และทุกครั้งพ่อแม่ของทุกคนก็จะพากันโจมตีคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเธอว่าใส่ร้ายลูกของพวกเขาบ้างล่ะ ว่าเธอหาเรื่องลูกพวกเขาบ้างล่ะ เพราะเธอไม่มีพ่อกับแม่มาปกป้องเหมือนอย่างใครเขา สุดท้ายความผิดก็มาตกที่เธออยู่ร่ำไป จนอาจารย์ฝ่ายปกครองคาดโทษว่าหากเกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีกเธอจะถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด ซึ่งนั่นมันไม่ยุติธรรมต่อเธอเลยสักนิด
“พวกฉันจะลอก…จะทำไม”
“ใช่…ในเมื่อถ้าอาจารย์จับได้จะทำโทษเธอ ไม่ใช่พวกฉันสักหน่อย”
วาจาแสนกระแทกใจทำให้คนฟังเม้มปากแน่นด้วยความคับข้องใจ นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้น ทว่ากลับต้องกำหมัดระงับอารมณ์เอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“นั่นดิ ฉะนั้นเอาสมุดมาซะดีๆ”
“ไม่!” คิริมายังคงยืนกรานคำเดิม ใจจริงอยากจะตะโกนใส่หน้าทุกคนว่าอย่ามายุ่งกับเธอ มีปัญญาก็ทำเองสิ หากแต่กลับทำได้เพียงเม้มปากนั่งนิ่ง
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าที่กูเห็นไอ้ปี่เดินหัวฟูขาเปลี้ยออกมาจากห้องไอ้จอมคือฝีมือมึง” ปรเมศหันขวับไปจ้องหน้าคู่อริ แล้วหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ชิบหาย! ไอ้เชี่ยเมศ! กูไม่ได้เลวระยำขนาดนั้นเว้ย!”“แต่ก็เลวแหละที่มอมเหล้าหมอปี่เขาแบบนั้น” คิริมาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำคำประณามตรงๆ เพราะนึกหมั่นไส้สามี แต่นอกจากพ่อเจ้าประคุณจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังขยิบตาให้ “เลวก็ได้ แต่เป็นคนเลวที่รักเธอนะ”“แหวะจะอ้วก” ปรเมศเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาพงษ์สวัสดิ์ถลึงตาใส่ แล้วทั้งคู่ก็มองกันอย่างฟาดฟัน จนสองสาวต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าอย่างระอา เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคนที่จับมือปรองดองเพื่อก่อกวนให้จอมพลอยู่ไม่สุขเมื่อครู่กำลังแตกคอกัน ดีกันได้ไม่ทันไรจะกัดกันอีกแล้ว “เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เมศบอกว่าเมศเห็นไอ้ปี่เดินออกมาจากห้องของจอมพลใช่ไหม”คนที่ยังตงิดใจกับคำพูดของสามีเอ่ยซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะก่อนจะเดินลงมาที่หาดเธอเหลือบเห็นรอยประหลาดตรงคอของปิยฉัตร ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด “ใช่จ้ะ แต่น้ำไม่ต้องห่วงหรอกเมศถามไอ้ปี่แล้ว มันบอกว่าแค่สลับกุญแจกันเท่านั้นเอง ม
พงษ์สวัสดิ์มีอาการแพ้ท้องแทนเมียหนักมากในช่วงอายุครรภ์ของคิริมาย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ เขามีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน ลุกมาอาเจียนทุกเช้า พอได้กลิ่นอาหารก็จะวิ่งเข้าห้องน้ำ แทบจะกินอะไรไม่ได้ ส่วนเธอก็เหมือนถูกลูกบังคับให้แม่ต้องทำตัวติดกับพ่อแจ คอยคลอเคลียไม่ห่างกาย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เขาโคตรจะปลื้ม เพราะไม่ว่าจะไปไหนเมียก็จะติดสอยห้อยตามไปทำให้อุ่นใจ รวมทั้งนัดเลี้ยงรุ่นที่ภูเก็ตเมียของเขาก็ยังมาด้วยโดยไม่อิดออด ถ้ารู้ว่าท้องแล้วมันดีขนาดนี้เห็นทีเขาจะต้องหาโอกาสทำให้เมียท้องอีกหลายๆ ครั้งเสียแล้ว บรรยากาศที่หาดสุรินทร์ของทะเลภูเก็ตในเวลาบ่ายกำลังดีไม่น้อย นักท่องเที่ยวต่างจับจองเก้าอี้ผ้าใบ บ้างนอนอาบแดด เล่นน้ำ และเล่นกีฬาริมหาด ส่วนคณะที่มานัดเลี้ยงรุ่นต่างกระจายตัวอยู่เกือบทั่วหาด เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยฟรีสไตล์ ก่อนจะมีงานเลี้ยงส่งท้ายในช่วงหัวค่ำ พงษ์สวัสดิ์อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้าลายสับปะรดกับกางเกงขาสั้นสีขาว เข้าคู่กับภรรยาในชุดเดรสสีฟ้าลายเดียวกัน ที่นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกันภายใต้ต้นไม้อีกคู่ก็จะเป็นปรเมศและธารธารา ซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดคู่รัก เสื้อย
“อุวะ! แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นอาย” ตามีโพล่งขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วหันไปยิ้มให้ยายมา จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็นั่งโอบร่างอวบอิ่มของเมียรักอยู่หน้ากองไฟ คุยกับตาและยายที่กำลังเผาข้าวหลาม ปีใหม่ปีนี้หนาวกว่าทุกปี แต่พงษ์สวัสดิ์และคิริมากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างหามีใดเทียบเทียม เพราะเหมือนทั้งคู่ได้กันและกันกลับคืนมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว พงษ์สวัสดิ์จูบแก้มคนที่นั่งตักตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่ไหวแบบไม่อายตากับยาย พอตามียื่นข้าวหลามที่ผ่าแล้วให้เขาก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรับมาด้วยรอยยิ้ม บิเป็นคำเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากเมียรักด้วยท่าทีอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มกว้าง แล้วจูบแก้มนวลฟอดใหญ่ เมื่อแม่คุณทำแบบเดียวกันกับเขา ท่าทางหวานแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างทำให้คนแก่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ยายมากระซิบบอกตามีให้รีบผ่าข้าวหลามอันที่เย็นแล้วให้หมด กระทั่งข้าวหลามถูกผ่าจนหมดเกลี้ยงสองตายายถึงได้ชวนกันหลบไปจากกองไฟอย่างเงียบๆ “ที่สุดเราสองคนก็ได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกครั้ง ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูก” คนที่เกยคางอยู่ตรงลาดไหล่อ่อนช้อยกระซิบเสียงนุ่มละมุน พร้อมกระชับอ้อมกอดใ
“เล่นตัวดีนัก มันต้องเจอแบบนี้”ขาดคำคิริมาก็ทำให้คนที่คิดว่าเธอจะเลิกเล่นตามคำสั่งถลาลงไปในแปลงนาด้วยการกระชากแขนแกร่ง พอเขาเสียหลักลงไปนอนแอ้งแม้งเธอก็โกยโคลนขึ้นมาป้ายหน้าหล่อๆ พร้อมหัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ “ฮ่าๆๆๆ”“เล่นแบบนี้เลยเหรอยัยตัวแสบ!”เขาเอ่ยเสียงเข้มๆ พร้อมปาดโคลนออกจากหน้าตัวเอง จ้องแม่ตัวดีด้วยสายตาคาดโทษ แต่นอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้วแม่คุณยังลอยหน้าท้าทายเฉยเลย “อือฮึ…”จากนั้นมหกรรมปาโคลนใส่กันก็เริ่มขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น กระทั่งเขาเสียหลักแทบจะหัวทิ่มเธอก็ตามไปนั่งคร่อม แล้วละเลงโคลนใส่หน้าสามีประหนึ่งทำสปาโคลนให้อย่างไรอย่างนั้น คนที่ยอมเมียไปเสียทุกอย่างนั่งนิ่งๆ ให้คนท้องแสนซนเล่นสนุกกับการวาดรูปลงบนหน้าที่เลอะไปด้วยโคลนของตัวเอง เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะจูบเธอทั้งที่โคลนเลอะใบหน้าด้วยความมันเขี้ยว หลังจากเล่นสนุกอยู่ในโคลนจนเหนื่อย และเนื้อตัวเลอะไปหมด พงษ์สวัสดิ์ก็อุ้มร่างอวบอิ่มของเมียรักขึ้นจากแปลงนาด้วยท่าทางทะนุถนอม ค่อยๆ วางเธอลงบนคันนา จากนั้นก็วิ่งลงไปในแปลงนาข้างกันที่มีน้ำใสๆ ขังอยู่ แล้วล้างมือจนไม่เหลือคราบโค
“พี่ครีม” เธอแก้ให้แต่เรื่องอะไรเขาจะทำตาม“ครีม…ปีใหม่ปีหน้าเรามาเที่ยวที่นี่กันอีกนะ” คนไม่อยากมีพี่สาวเอ่ยเรียกเธอในแบบของเขา แล้วชักชวน จากนั้นก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “มาครั้งหน้าจะได้กินข้าวหลามอีกป่ะ” คนติดใจข้าวหลามเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น“แน่นอน จะให้ยายทำให้เยอะๆ เลย เอากลับกรุงเทพด้วยก็ได้” เขาเอาของกินมาล่ออย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยรบเร้าอีกคราว “นะ…มาด้วยกันอีกนะ มาทุกปีเลย”“ทุกปีเลยเหรอ?” คราวนี้เธอทำตาโต“อือฮึ…ทุกปี ‘แค่เราสองคน’ เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยยืนยันอย่างหนักแน่น คำว่า ‘แค่เราสองคน’ ทำเอาคิริมาใจสั่นไปหมด “อ้าว! แล้วสามคนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” “ไม่ มันจะเป็นความลับเฉพาะของเราสองคนเท่านั้น” เขาเอ่ยบอกอย่างฉะฉาน ก่อนจะรบเร้าเอาคำตอบให้ได้อย่างใจอีกครา “ปีใหม่ของทุกปีเรามาเจอกันที่นี่นะ” “โอเค งั้นก็ได้” เธอพยักหน้าน้อยๆ และคำตอบที่รอคอยก็ทำให้คนที่กำลังพาเธอก้าวเดินไปข้างหน้าถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่พงษ์สวัสดิ์จะเอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง “สัญญาแล้วนะ”“อือ…สัญญา”คิริมาเอ่ยตอบเบาๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำตาโ
หลังจากฉุดกันขึ้นจากโคลนตม แล้วก้าวขาขึ้นไปยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนคันนา คิริมาก็ดึงแว่นที่มัวเพราะเลอะเศษโคลนจนเป็นวงเล็กๆ ออกหมายจะเช็ด แต่พอก้มลงก็ต้องทำหน้าผิดหวัง เพราะเสื้อที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีเทาเหลือบดำเพราะเลอะไปด้วยโคลน ไม่มีส่วนไหนพอจะเช็ดแว่นได้เลย เธอหันรีหันขวางหาแหล่งน้ำเพื่อจะนำแว่นไปล้างให้พอใส่เดินกลับได้ ทว่าครั้นจะก้าวลงไปในนาอีกแปลงมือใหญ่ก็รั้งข้อมือเรียวเอาไว้ พงษ์สวัสดิ์ดึงมือที่ถือแว่นไปแนบกับคอเสื้อของตนในส่วนที่ไม่โดนโคลน ท่ามกลางเสียงอุทานน้อยๆ และดวงตาเหลือกถลน ชั่วพริบตาร่างบางก็ปลิวไปปะทะร่างสูงใหญ่เกินวัย เธอทำท่าจะก้าวถอยห่างด้วยท่าทางตื่นๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายวาดวงแขนแกร่งมาคว้าเอวคอดกิ่วเอาแล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงเอนตัวหนีทั้งที่ยังติดอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายในสภาพหน้าตื่นๆ แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบสั่งชิดหน้าผากมนด้วยเสียงแผ่วเบาทว่าชวนใจละลายอย่างพิลึก สมองเหมือนตายดับไปชั่วขณะ ลักษณะเลื่อนลอยคล้ายโดนป้ายยา “เช็ดซะ”ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้คนถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวสติหลุด หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง เห็นซีกแก้มแดงๆ ของผู้ที่ยืนนิ่งเหมือ







