สีหน้าของซานเป่าพลันเคร่งขรึม เขาสงสัยด้วยซ้ำว่าฝ่าบาทเคยต่อกรกับสำนักบัวขาวมาก่อนแล้วหรือไม่มิฉะนั้นจะรู้พฤติกรรมของสำนักบัวขาวได้อย่างไร? ซึ่งในความเข้าใจของซานเป่าที่มีต่อสำนักบัวขาว พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตอยู่จริงๆอู๋เจียงอี้ผู้น่าสงสารคงคิดไม่ถึงว่า เมื่อข่าวที่เขาถูกจับทั้งเป็นแพร่กระจายออกไป วันนั้นก็คือวันตายของแม่เขา “ฝ่าบาท บ่าวมีแผน”ซานเป่าลดเสียงลงและพูดว่า “บ่าววางแผนที่จะประกาศข่าวว่าสองคนนี้ถูกจับทั้งเป็น จากนั้นก็เลือกวันสอบสวนและสังหารต่อหน้าสาธารณชน ด้วยวิธีนี้ สำนักบัวขาวจะต้องมาช่วยคนอย่างแน่นอน พวกเขาสองคนคือเหยื่อล่อชั้นดี” หลี่เฉินเข้าใจทันทีว่าซานเป่าหมายถึงอะไร เขามองขันทีที่มีน้ำเสียอยู่เต็มท้องอย่างรังเกียจ ก่อนจะโบกมือแล้วพูดว่า “เจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ”แต่หลี่เฉินไม่รู้ว่ากระบวนการทั้งหมดที่เขาจัดการกับมือสังหารสองคนนั้น ถูกจับตามองด้วยดวงตาสองคู่ ในมุมบอดของห้องด้านข้างพระที่นั่งสีเจิ้ง ย่าเมิ่งโกรธจัดจนตัวสั่นไปทั้งตัว นางปรารถนาจะออกไปสับหลี่เฉินออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่าอู๋เจียงอี้ต้องการที่จะสารภาพ เ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ความจริงแล้ว นางมั่นใจว่าตัวเองนั้นสามารถพาย่าเมิ่งหลบฝ่ามือของขันทีซานเป่าได้ หรือจะกล่าวตรงๆ ก็คือ ย่าเมิ่งตายเปล่าแต่ที่เรื่องมาถึงจุดนี้ได้ เป็นเพราะสตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกย่าเมิ่งหาเหามาใส่หัวไม่ขาดสาย นางจึงไม่สนใจย่าเมิ่งอีกต่อไป ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดีแค่ไหน แต่ถูกทำให้ลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็ทนไม่ไหวสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่กล่าวสิ่งใด ร่างอันบอบบางพุ่งทะยานไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็วดุจเทพเซียนส่วนย่าเมิ่งที่ตั้งใจจะตายอยู่แล้ว ก็ใช้หน้าอกของนางรับพลังฝ่ามือของซานเป่าเข้าอย่างจัง ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งออกมาจากปาก ท่าทางของนางดูเหมือนแสงสายัณห์ของตะวันรอน[footnoteRef:1] นางเปิดปากที่เต็มไปด้วยเลือด แล้วพุ่งเข้าหาซานเป่าด้วยรอยยิ้มที่บ้าคลั่ง [1: แสงสายัณห์ของตะวันรอน อุปมาว่า สีหน้าดูสดใสขึ้นก่อนที่จะตาย] “กำเนิดมาจากโคลนตมผลิบานในความโกลาหล ดอกบัวขาวจงเจริญ!”“มีนางเฒ่าคนนี้อยู่ เจ้าอย่าหวังว่าจะจับสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้!”ซานเป่าที่ถูกถ่วงเวลาก็ระเบิดความโมโหออกมา เขากระแทกฝ่ามือไปที่ร่างของย่าเมิ่งอย่างต่อเนื่องถึงสามครั้งย่าเ
กลางคืนเย็นเหมือนน้ำ หิมะเย็นเหมือนน้ำแข็งสุรารสร้อนแรงไหลเข้าไปในลำคอของเขา และก่อนที่ความเผ็ดร้อนของสุราจะออกฤทธิ์ หัวของหลี่เฉินก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นมาทันทีที่เขาเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ หลี่เฉินก็เกือบตะโกนเรียกทหารองค์รักษ์ แต่จู่ๆ คำพูดนั้นก็ติดค้างที่ริมฝีปาก เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่มีเหตุผลเลยที่ตัวเขาเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์กลับไม่เห็นเขาเพราะมีความเป็นไปได้ว่าตอนที่เขาปีนขึ้นหลังคามาหาที่ตายด้วยตัวเองนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งนั่งรอคอยกระต่าย[footnoteRef:1] ก็จะฆ่าเขาทันทีด้วยการโบกมือครั้งเดียว [1: นั่งรอคอยกระต่าย อุปมาว่า มีความคิดที่ไม่ได้เรื่องแต่บังเอิญประสบความสำเร็จ] หากคิดเรื่องนี้จากมุมมองของสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลี่เฉินคงหัวเราะแทนนางซะด้วยซ้ำ เพราะจู่ๆ ก็มีพายตกลงมาจากฟ้าแต่ความจริงก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์นอนแน่นิ่งอยู่บนหลังคากระเบื้อง สวมเสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะ ซึ่งกลมกลืนไปกับหิมะสีขาวที่อยู่รอบๆ ทำให้การอำพรางตัวสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ถ้าหากไม่เข้าไปใกล้ก็จะมองไม่ออก เมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิด หลี่เฉินก็พบว่าดวงตาของสตรี
ผิวบอบบางไร้ที่ติเหมือนดั่งไข่ปอก ความเนียนละเอียดยิ่งไม่ต้องพูดถึงราวกับว่าพระเจ้าตั้งใจจะสร้างสตรีผู้นี้ขึ้นมา โดยไม่คิดถึงความสมดุลใดๆ เพียงเอาสิ่งที่ดีที่สุดมอบให้กับนาง ความงามประเภทนี้ สร้างภาพลักษณ์ที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์ในสมัยโบราณ เพื่อทำให้นางเปาซื่อยิ้มออกมา โจวโยวอ๋องจึงจุดไฟสัญญาณหลอกเจ้าเมืองหรือนางปีศาจจิ้งจอกต๋าจี่ที่ทำให้ประเทศชาติต้องล่มจม เพราะนางเปลี่ยนโจ้วอ๋องผู้ชาญฉลาดให้กลายเป็นเผด็จการที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ยังมีอู๋ซานกุ้ยของราชวงศ์ก่อนที่ลุ่มหลงในเฉินหยวนหยวน เขาโกรธจนไฟลุกเพื่อโฉมงามแต่สตรีเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นความสวยและความงดงามนั้นแตกต่างกัน ความสวย จำกัดอยู่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากมองแล้วสบายตา ก็เรียกว่าสวยงาม แต่ความงดงาม ความสวยเป็นเพียงรากฐาน และต้องมีอะไรแฝงมากกว่านั้นจึงจะเรียกว่างดงามได้ยกตัวอย่างเช่น จ้าวชิงหลานที่สูงส่งมีเกียรติจนหาใครเทียบไม่ได้ หรือจ้าวหรุ่ยที่มีเสน่ห์ราวกับสายน้ำ และซูจิ่นพ่าที่มีความสง่างามและเปี่ยมไปด้วยอิสระ ส่วนสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า นางงดงามแบบเยือกเย็น เ
ครั้งแรกที่ต้องซ่อนตัว สตรีศักดิ์สิทธิ์เลือกซ่อนตัวอยู่ที่ตำหนักบูรพา อาจกล่าวได้ว่ากล้าหาญ ระมัดระวัง และเฉลียวฉลาดและเมื่อถูกค้นพบในตำหนักบูรพา นางก็หนีรอดไปได้เป็นครั้งที่สองด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บหนัก แต่นางก็ยังคงกลับมาที่ตำหนักบูรพา จุดนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ถึงความกล้าหาญและความคิดของนาง ซึ่งอยู่เหนือคนธรรมดา ดังนั้นการประนีประนอมของนางในตอนนี้ จึงไม่น่าแปลกใจสำหรับหลี่เฉินสตรีศักดิ์สิทธิ์อาจไม่กลัวความตาย แต่ไม่ว่าจะเป็นฐานะของผู้หญิงหรือสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของสำนักบัวขาว นางจะไม่มีวันยอมให้ตัวตนทั้งสองนี้ถูกดูหมิ่น นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายเมื่อเผชิญหน้ากับการประนีประนอมของสตรีศักดิ์สิทธิ์ หลี่เฉินก็ไม่ลังเล เขาหันกลับมาพูดกับทหารองค์รักษ์ที่อยู่ด้านล่างว่า “ไปเรียกซานเป่ามา”หลังจากทหารองค์รักษ์ส่งเสียงตอบรับ หลี่เฉินจึงหันศีรษะกลับมาอีกครั้ง และเห็นสายตาที่เย็นชาของสตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังจ้องมอง“ทำไมถึงมองข้าเช่นนี้ล่ะ ข้าก็แค่กลัวว่าเจ้าจะถ่วงเวลาเพื่อฟื้นฟูพลัง เพราะท้ายที่สุดแล้วยอดฝีมืออย่างพวกเจ้า ก็อาจจะฟื้นพลังขึ้นมาได้ในหนึ่งก้านธูปและสังห
หลี่เฉินหรี่ตาลง เมื่อได้ยินชื่อนี้หลุดออกมาจากปากของสตรีศักดิ์สิทธิ์แม้จะมีการคาดเดามาก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมแต่ทว่าตอนนี้ก็มีหลักฐานแล้ว “จริงหรือ?” หลี่เฉินถามสตรีศักดิ์สิทธิ์เยาะเย้ยและพูดว่า “ข้าจะบอกทิศทางให้กับเจ้า เจ้าสามารถไปตรวจสอบความถูกต้องได้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาติดต่อมาที่สำนักของเรา ทั้งที่พักสำหรับซ่อนตัวที่เมืองหลวงหรือข้อมูล เขาก็เป็นคนหามาให้” “ดีมาก”หลี่เฉินพยักหน้า เขาระงับจิตสังหารอันแรงกล้าในใจของเขา และพูดอย่างไม่แยแสว่า “ข้าเห็นความจริงใจของเจ้าแล้ว” “ข้าจะปล่อยเจ้าไป”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ทั้งสตรีศักดิ์สิทธิ์และซานเป่าก็ตกตะลึงเล็กน้อย“ตราบใดที่เจ้ายอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่ง”เมื่อมองไปที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ความรู้สึก หลี่เฉินก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ร่วมมือกับหลี่อิ๋นหู่ต่อไป” สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าใจทันทีว่าหลี่เฉินหมายถึงอะไรเขาต้องนางร่วมมือกับเขาเพื่อกำจัดจ้าวอ๋องในตอนแรกสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นด้วย นางพูดว่า “การลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลว เขาจะยอมร่วมมือกับพวกเราอีกไหมก็บอกได้ยาก” “เขาจะทำเช่นนั้นอย่างแน่
หลังจากถูกหลี่เฉินตำหนิ ในที่สุดซานเป่าก็ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ฆ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ “แยกย้ายเถอะ กลับไปฉลองปีใหม่อย่างมีความสุขซะ”พูดจบ หลี่เฉินก็โบกมือแล้วหันหลังเพื่อลงจากหลังคา “ฝ่าบาท แล้วเหล้านี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”เมื่อมองดูสุราที่ยังเหลืออีกครึ่งกาที่หลี่เฉินทิ้งไว้ ซานเป่าก็ถามขึ้นมา “มอบให้เจ้า”หลี่เฉินพูดอย่างสบายๆ จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากหลังคาโดยได้รับความช่วยเหลือจากทหารองค์รักษ์ และกลับไปที่ห้องบรรทมเพื่อพักผ่อนซานเป่าประหนึ่งพบทรัพย์สมบัติ เขาหยิบกาสุราที่ฝ่าบาทเสวยไปแล้วครึ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวด้วยความยินดีว่า “บ่าวขอบพระทัยฝ่าบาท” ……วันรุ่งขึ้น แสงแรกของปีใหม่ลอยขึ้นมาจากพื้นโลก ส่องสว่างไปทั่วเมืองหลวงที่มีอายุนับพันปีแห่งนี้ หิมะที่ตกทั้งคืน ในที่สุดก็หยุดลงวันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ แม้แต่ขันทีและนางกำนัลในวังก็ได้รับข้อยกเว้นให้หยุดงานหนึ่งวัน แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต่างๆ เช่น ทำความสะอาดหิมะไม่สามารถล่าช้าได้ แต่พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้ทำงานหลังรุ่งสางได้เมื่อท้องฟ้าสว่างเต็มที่ ขันทีที่ได้รับมอบหมายให้มาทำความสะอาดหิมะด้านนอ
สาวใช้ที่หายใจไม่ออกพยายามดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือแต่เสียงที่อยู่ด้านใน ใช่ว่าคนข้างนอกจะไม่ได้ยิน แต่ใครเล่าจะกล้าเข้ามา?หมอที่กำลังสั่งยาอยู่ข้างๆ ก็หมอบลงกับพื้นตัวสั่น เขาหวังว่าจะซุกหัวของตัวเองเข้าไปในรอยแยกของพื้นได้ เขาไม่กล้าหยุดสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าใครก็มองออกว่าหลี่อิ๋นหู่กำลังคลุ้มคลั่งในตอนนี้ใครขวางทาง ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ช้า แรงดิ้นของสาวใช้ก็ค่อยๆ อ่อนลง จนกระทั่งแน่ใจว่าสาวใช้ในมือไม่หายใจแล้ว หลี่อิ๋นหู่จึงเหวี่ยงนางลงกับพื้น เสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้น หลังจากที่ระบายอารมณ์ไปแล้ว ในที่สุดหลี่อิ๋นหู่ก็ได้สติกลับมา“ลากตัวออกไปจัดการ”เสียงของหลี่อิ๋นหู่ทั้งสงบทั้งโหดเหี้ยม จากนั้นก็มีคนเข้ามาลากศพของสาวใช้ออกไปทันที “เจ้ามาทายาให้ข้า” หลี่อิ๋นหู่พูดกับหมออย่างเย็นชาหมอคนนั้นตกใจมากแต่ก็ไม่กล้าขัดขืนหลี่อิ๋นหู่ ทำได้เพียงหยิบยาบนพื้นขึ้นมาอย่างสั่นเทา และทายาให้กับหลี่อิ๋นหู่อย่างระมัดระวัง “วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์” คำพูดของหลี่อิ๋นหู่กลับทำให้หมอหน้าซีดเขาไม่กล้าพูด แค่ทายาให้เร็วที่สุด“ทำได้ดีมาก ออกไปรั
เฉินทงแสดงอาการภูมิใจออกนอกหน้า คำพูดที่เปล่งออกมายังแฝงแววโอ้อวด จนหลี่เฉินต้องเหลือบตามองเขาด้วยความรำคาญ ขณะนั้นเอง เสียงกรีดร้องของต้วนจิ่นเจียงก็ดังขึ้น เมื่อปลายนิ้วแรกถูกตัดออก ความเจ็บปวดจากนิ้วที่เชื่อมโยงถึงหัวใจนั้นทำให้เขาดิ้นพล่านราวกับเสียสติ “หลี่เฉิน! เจ้าจะไม่มีวันตายดี! จะไม่มีวันตายดีแน่!!” ในตอนนี้ ต้วนจิ่นเจียงเริ่มรู้สึกเสียใจเสียแล้ว เสียใจที่ตนเองดึงดันต้องมาที่เมืองหลวงเพื่อฆ่าหลี่เฉินด้วยมือตนเอง เขานึกถึงคำพูดที่เหวินอ๋องกล่าวไว้ก่อนออกเดินทาง จู่ๆ ก็เริ่มสงสัยว่า บางทีเหวินอ๋องอาจคาดการณ์ถึงจุดจบเช่นนี้แล้ว ถึงได้พูดคำคลุมเครือเช่นนั้นออกมา เสียดายที่ตนเอง...ไม่อาจเข้าใจ ตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ ก็คือพยายามยั่วโมโหลี่เฉิน ให้เขาสังหารตนเสียในคราวเดียว แต่หลี่เฉินกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ หลี่เฉินได้มายืนอยู่ตรงหน้าของหลงไหวอวี้แล้ว “เงยหน้าขึ้น” หลี่เฉินเอ่ยเสียงเรียบ หลงไหวอวี้ตัวสั่นไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินเสียงปราศจากอารมณ์จากเหนือศีรษะ เขาเงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉินโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาเห็น คือดวงตาที่เย็นชา ร
เสียงหนึ่งประโยคจากหลงไหวอวี้ที่ตะโกนไล่หลัง ยิ่งตอกย้ำความเป็นศิษย์อาจารย์ที่แนบแน่น แรงทะลวงของลูกปืนแต่ละนัดรุนแรงดั่งค้อนทุบ เมื่อกระแทกใส่ร่างมนุษย์ ทีละนัด สองนัด สามนัด แทบทุกคนถูกยิงเข้าร่างกายกว่า 10 นัดในเวลาอันสั้น ในระยะประชิดเช่นนี้ ไม่มีทางรอดชีวิตได้แน่นอน ผู้คุ้มกันหกถึงเจ็ดคนล้มลงกับพื้น ใครโชคดี โดนจุดสำคัญ ตายทันทีโดยไม่รู้สึกเจ็บ ส่วนคนโชคร้าย แม้ยังไม่สิ้นใจ แต่จิตสำนึกก็พร่ามัว ทรมานเจียนสิ้นใจจนไม่อาจเปล่งเสียงร้องได้ เลือดสดไหลไม่หยุด ชีวิตกำลังร่วงหล่นไปทุกขณะ ส่วนต้วนจิ่นเจียง ถูกยิงเข้าที่ขาทั้งสองนัด พอดีโดนตรงหัวเข่าทั้งสองข้าง ไม่ใช่เพราะโชคดี แต่เพราะทหารที่ยิงตั้งใจเลี่ยงจุดสำคัญโดยเจตนา ผั่บ เสียงร่างของต้วนจิ่นเจียงกระแทกลงพื้น ที่เต็มไปด้วยน้ำฝนและเลือด ขณะนั้นเอง หลงไหวอวี้ที่เพิ่งหนีไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกบังคับให้ถอยหลังกลับมา ตรงหน้าผากของเขา จ่อไว้ด้วยปลายปืนดำมืดหนึ่งกระบอก พร้อมกับอีกสี่ห้ากระบอกที่เล็งทุกจุดสำคัญทั่วทั้งร่างกาย เมื่อเห็นชะตากรรมของต้วนจิ่นเจียงและเหล่าทหารกล้า หลงไหวอวี้ก็รู้ทันทีว่าตนไม่อาจต้านทานได
เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน
ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้