แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
เสียงร้องแผ่วเบานี้กระตุ้นความตื่นตัวของเฉินจื้อที่อยู่ข้างนอกทันที

“ฮองเฮาทรงเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ?”

จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินที่มองนางด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ นางแอบกัดฟันด้วยความเกลียดชัง และนำความไม่พอใจทั้งหมดไประบายใส่เฉินจื้อ

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องถามมาก”

เมื่อเฉินจื้อถูกตำหนิ เขาก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากยิ่งขึ้น

เมื่อไม่มีที่ระบายความโกรธ เขาจึงหันกลับมาด่าขันทีที่กำลังขับรถม้า “ขับรถม้าให้ดีๆ หน่อย หากทำให้ฮองเฮาตกใจอีกครั้ง ข้าจะแล่เนื้อเจ้าซะ!”

ภายในเกี้ยวหงส์ ตู้นั้นสั่นเล็กน้อย ราวกับกรงสัตว์ก็ไม่ปาน ทำให้จ้าวชิงหลานนึกอยากจะหนีก็หนีไม่ได้

จ้าวชิงหลานนั่งบนต้นขาของหลี่เฉิน ราวกับนั่งอยู่บนเข็มก็ไม่ปาน

นางคิดจะลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ทำตามความตั้งใจ หลี่เฉินก็จะดึงนางกลับมา และบังคับให้นั่งลงอย่างแน่วแน่

“เจ้า เจ้าไม่กลัวข้าจะสังหารเจ้ารึ!?”

เมื่อมองไปที่ปากแดงฟันขาวนั่น จ้าวชิงหลานก็แอบกัดฟันแน่น หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “ฮองเฮายอมแพ้หรือไม่?”

ในขณะที่พูดก็ฉวยโอกาสที่จ้าวชิงหลานไม่ทันสังเกต ใช้มือใหญ่ของเขาคลำไปตามระหว่างเอวและหน้าท้อง

ท้องน้อยที่แบนราบ เต่งตึง และเรียบเนียน ให้ความสัมผัสที่อย่างยอดเยี่ยมและไม่มีใครเทียบได้แก่หลี่เฉิน

จ้าวชิงหลานตกตะลึงจนตาค้าง

นางไม่คิดว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญชาญชัยได้ขนาดนี้

ไม่เพียงแต่จะดึงนางมากอด แต่ยังวางมือบนผิวที่เป็นที่ส่วนตัวที่สุดของผู้หญิงอีกด้วย

นางรีบกดมือใหญ่ของหลี่เฉินให้หยุดลูบผ่านเสื้อผ้าตามสัญชาตญาณ จ้าวชิงหลานพูดด้วยความโมโหว่า “หยุดมือ!”

หลี่เฉินกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของจ้าวชิงหลาน “ข้าไม่ขยับ เจ้าก็อย่าขยับ ดีไหม?”

จ้าวชิงหลานนั่งบนตักหลี่เฉินด้วยความโมโหปนอับอาย

นางเข้าใจความหมายของหลี่เฉิน เขาต้องการให้นางนั่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา และในทางกลับกัน ฝ่ามือของเจ้าสารเลวนี่ก็จะหยุดเคลื่อนไหวไปเอง

เมื่อเห็นจ้าวชิงหลานไม่รับปาก มือของหลี่เฉินก็เริ่มซนอีกครั้ง

จ้าวชิงหลานตกใจกลัว นางรีบจับมือนั่นและพูดอย่างขมขื่นว่า “ข้ารับปากเจ้า!”

หลี่เฉินยิ้มอย่างมีชัย กอดจ้าวชิงหลานแล้วพูดว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก”

จ้าวชิงหลานรู้สึกอับอายและโมโหแทบตาย นางหันหน้าหนีไปเพราะไม่อยากเห็นหน้าหลี่เฉิน

เกี้ยวหงส์สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ได้มาถึงด้านนอกพระราชวังสุทธาสวรรค์แล้ว

เมื่อเกี้ยวหงส์จอดสนิท เฉินจื้อก็รีบกำหมัดรายงาน “ฮองเฮา มาถึงพระราชวังสุทธาสวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ม่านประตูเกี้ยวหงส์ถูกยกขึ้น แต่ผู้ที่ออกมาเป็นคนแรกกลับเป็นหลี่เฉิน

สายตาของเฉินจื้อพลันเย็นเยียบ เขารีบคลายหมัดลงแล้วลุกขึ้นยืนทันที

“ลุกขึ้นยืนทำไม? รีบคลานลงกับพื้นให้ข้าเหยียบลงจากเกี้ยวหงส์สิ” หลี่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา

เฉินจื้อชะงัก จากนั้นก็โกรธจัดขึ้นมา

เขากัดฟันตอบกลับไปว่า “กระหม่อมมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ ไม่สะดวก!”

หลี่เฉินพูดยิ้มเยาะ “หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ? หน้าที่ของเจ้าคือเชื่อฟังคำสั่งของเสด็จพ่อกับข้า ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีกหรือ? ถ้าหากข้าไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อช้า ข้าจะสั่งประหารเจ้าทันที”

เฉินจื้อกัดฟัดเสียงดังกรอด ถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ตอนนี้หลี่เฉินคงตายเป็นพันๆ ครั้งแล้ว

เฉินจื้อก้าวเข้ามาที่เกี้ยวหงส์ทีละก้าว แล้วค่อยๆ ค้อมตัวลง ยังไม่ทันจะตั้งตัวดี เท้าของหลี่เฉินก็เหยียบที่หลังเขาข้างหนึ่ง

เฉินจื้อสะอึก ร่างกายของเขาทรุดลง ก่อนจะนอนพังพาบ

เขาก้มศีรษะลง เพื่อป้องกันไม่ให้หลี่เฉินมองเห็นดวงตาที่แสดงถึงความเกลียดชังของเขา เฉินจื้อจิกนิ้วลงกับกระเบื้อง เล็บของเขาขูดไปกับพื้น แม้แต่ความเจ็บปวด ก็ไม่อาจบรรเทาความโกรธแค้นในใจของเขาได้

หลังลงจากเกี้ยว หลี่เฉินก็ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังวังสุทธาสวรรค์

ด้านนอกพระราชวัง เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊และพระสนมในวังหลัง ต่างกำลังคุกเข่าอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทุกคนต่างสวดภาวนาให้กับฮ่องเต้

“องค์รัชทายาทเสด็จมาถึงแล้ว!”

เสียงประกาศดังขึ้น ทำให้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊พากันหันกลับมา เพื่อคุกเข่าให้หลี่เฉินและขานพร้อมๆ กันว่า “องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”

ด้านหน้าพระราชวังสุทธาสวรรค์ เป็นเวลาดึกดื่น แสงจันทร์ดูสลัวๆ

กลุ่มคนที่เป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดแห่งต้าฉิน และเป็นในศูนย์กลางทางการเมืองของจักรวรรดิล้วนคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ฉากดังกล่าว และเสียงแซ่ซ้องพันปีกวาดเข้าหูของเขาราวกับคลื่นยักษ์ ทำให้อกของหลี่เฉินพองโตด้วยความภาคภูมิใจ

เป็นองค์รัชทายาทได้รับการแซ่ซ้องพันปีก็ว่าน่าตื่นเต้นแล้ว หากวันหนึ่งเขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ ประชาชนทั้งใต้หล้าจะแซ่ซ้องเขาว่าหมื่นปี นั่นจะเป็นฉากที่งดงามเพียงใด?

หลี่เฉินระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน แสดงสีหน้าสงบ และเดินไปที่ประตูพระราชวังสุทธาสวรรค์ ยกมือขึ้นแล้วผลักประตูให้เปิด เพื่อเข้าไปในพระราชวัง

เขา กำลังจะพบกับเสด็จพ่อของเขา ซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดของจักรวรรดิต้าฉิน ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวังวนทางการเมืองที่มากเล่ห์และอันตรายที่สุดในจักรวรรดิ

ในวังสุทธาสวรรค์ แสงไฟสว่างไสว ขุนนางขั้นที่หนึ่งทุกคนในเมืองหลวงต่างก็มารวมตัวกัน เช่นเดียวกับสมาชิกของราชวงศ์

หากคนที่คุกเข่าอยู่ข้างนอกคือเสาหลักของจักรวรรดิต้าฉิน งั้นคนเหล่านี้ ก็เป็นกระดูกสันหลังที่สนับสนุนอาณาเขตหลายหมื่นลี้ของจักรวรรดิต้าฉิน

หลี่เฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ

จ้าวเสวียนจีราชเลขาธิการ นี่เป็นผู้นำคนทรยศที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน เขามีส่วนร่วมในฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎรมานานหลายทศวรรษ เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าหยั่งรากลึกได้อีกต่อไป แต่เกือบจะเป็นใช้มือเดียวปิดฟ้าได้

ด้านหลังจ้าวเสวียนจี คือสี่ในห้าของนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่เหลือในสำนักราชเลขาธิการ นอกจากนี้ยังมีขุนนางจากหกกรมได้แก่ กรมขุนนาง กรมครัวเรือน กรมพิธีการ กรมยุทธนาการ กรมยุติธรรม และกรมโยธาธิการ ซึ่งเป็นหัวหน้าบริหารสูงสุด

อีกด้านหนึ่งเป็นนางสนมในวังหลัง องค์ชายสี่ องค์ชายหก องค์ชายแปด องค์ชายเก้า และองค์ชายอีกสี่พระองค์กับองค์หญิงคนอื่นๆ ตามมาด้วยพระบรมวงศานุวงศ์

ในพระราชวังสุทธาสวรรค์อันกว้างใหญ่ ผู้คนจำนวนมากกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น นอกจากแพทย์หลวงที่ยุ่งอยู่ ก็ยังมีสาวใช้ในวังที่กำลังทำงาน ทั้งด้านในและด้านนอกห้องโถงใหญ่ มีกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรซึ่งสวมเครื่องแบบขนห่านป่าปีกคู่ คอยปกป้องอยู่ด้านข้างเหมือนท่อนไม้

ในพระราชวังทั้งหมด ยกเว้นองค์รักษ์ส่วนพระองค์อวี่หลินที่กำลังลาดตระเวน ใครก็ตามที่ถือดาบจะถูกฆ่าอย่างไร้เมตตา ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวสำหรับกฎนี้ก็คือ องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานบูรพา ซึ่งเป็นเพชฌฆาตในพระราชฐานชั้นใน ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดจากฮ่องเต้

ด้านหลังหลี่เฉิน คือฮองเฮาจ้าวชิงหลานที่เดินตามเข้ามาติดๆ

เมื่อทั้งสองเดินเข้ามา ข้าราชบริพาร นางสนม องค์ชายและองค์หญิงต่างพากันโค้งคำนับทันที

“กระหม่อม หม่อมฉัน ลูก คารวะฮองเฮาและองค์รัชทายาท”

ดวงตาของหลี่เฉินคมราวกับกริช เขาเม้มริมฝีปากแน่น และเดินไปทางแท่นบรรทมมังกรโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“องค์รัชทายาทโปรดช้าก่อน!”

มีร่างหนึ่งขวางทางหน้าหลี่เฉิน

“ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังหมดสติ ไม่อาจพบใครได้ โปรดอย่ารบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาท”

หลี่เฉินหรี่ตา เขามองชายชราที่อายุครึ่งร้อยตรงหน้าแล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“กระหม่อมเฉินไหวจื้อ นักวิชาการศาลาเหวินหยวน”

เฉินไหวจื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ราวกับไม่เห็นองค์รัชทายาทอยู่ในสายตา

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทั่วทั้งราชสำนัก ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทคนปัจจุบันบุ๋นไม่เอาบู๊ไม่มี นับเป็นคนไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ตอนนี้ถ้าขวางได้ก็จะขวาง ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่มีใครลงโทษเขา แต่เขายังจะได้รับคำชมจากราชเลขาธิการที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดขององค์รัชทายาท

หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชา ยกเท้าขึ้นมาเตะที่ท้องน้อยของเฉินไหวจื้อ

เฉินไหวจื้ออายุตั้งครึ่งร้อยแล้ว เขาจะทนลูกเตะของหลี่เฉินไหวได้เยี่ยงไร เขากระอักเลือดออกมาในทันที

หลังจากลูกเตะนี้ เฉินไหวจื้อก็กรีดร้องออกมา พร้อมกระเด็นตกลงพื้น

“บัดนี้เสด็จพ่อของข้าตกอยู่ภาวะวิกฤติ ในฐานะโอรส ข้าจะไม่กังวลได้เยี่ยงไร ทำไมตาแก่อย่างเจ้าถึงมาขวางทางข้า เจตนาของเจ้าคืออะไร? เชื่อหรือไม่ ต่อให้ข้าสังหารเจ้าที่นี่ ก็ไม่มีใครกล้าผายลม?”

หลี่เฉินตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ทำเอาวังสุทธาสวรรค์พลันเงียบกริบ

ทุกคนมององค์รัชทายาทที่เมื่อก่อนไร้ประโยชน์ด้วยความหวาดกลัว ราวกับเห็นคนแปลกหน้า

ไม่มีใครจินตนาการได้ว่า องค์รัชทายาทจะกล้าเตะขุนนางใหญ่ในที่สาธารณะ

เฉินไหวจื้ออ่านหนังสือปราชญ์มาทั้งชีวิต เขาจะทนความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้อย่างไร เขานอนอยู่บนพื้น และชี้ไปที่หลี่เฉิน พลางตะโกนว่า “ท่านเป็นเพียงองค์รัชทายาท แต่ปฏิบัติต่อขุนนางในราชสำนักอย่างโหดร้าย คนไร้คุณธรรมเช่นนี้จะสืบทอดราชบัลลังก์ได้เยี่ยงไร? กระหม่อมยอมตายเพื่อกราบทูลฝ่าบาท ให้ปลดท่านออกจากตำแหน่งรัชทายาท!”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา จิตสังหารของหลี่เฉินก็ยิ่งเดือดพล่าน

เขามองเฉินไหวจื้อ และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตาเฒ่า เจ้ารอก่อนเถอะ มาดูกันว่า เจ้าจะตายหรือว่าข้าจะโดนปลด!”

พูดจบ เขาก็เดินไปยังแท่นบรรทมมังกร

เหล่าแพทย์หลวงที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบรรทมมังกรก็ถอยออกมา

หลี่เฉินคุกเข่าลงกับพื้น มองดูฮ่องเต้ที่หน้าซีดราวกับกระดาษ ดุจเปลวเทียนที่ใกล้จะมอดดับบนแท่นบรรทมมังกร ทันใดนั้นเขาก็เข้าสู่การละคร

ดวงตาแดงก่ำ คัดจมูก หลี่เฉินกุมมืออันเย็นเฉียบของฮ่องเต้พลางกล่าวเสียงสะอื้น “เสด็จพ่อ ลูกอยู่นี่แล้ว”

บนแท่นบรรทมมังกร เปลือกตาของฮ่องเต้สั่นไหว ก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้น

เมื่อดวงตาที่ขุ่นมัวเห็นว่าเป็นหลี่เฉิน จึงเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบแห้งและกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้ามาแล้ว...”

“ข้า...ป่วยหนักเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน”

ละครเรื่องนี้มาถึงจุดไคลแม็กซ์แล้ว เวลานี้ หลี่เฉินไม่รู้ว่าเขาได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมหรือไม่ แต่เขารู้สึกตรอมตรม และกล่าวเสียงเบาว่า “เสด็จพ่อพลามัยแข็งแรง อีกเดี๋ยวก็หายจากอาการเจ็บป่วยได้ ท่านคือมังกรที่แท้จริง ด้วยพรจากสวรรค์ ท่านจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”

มุมปากกระตุกเล็กน้อย ราวกับว่าต้องการจะยิ้ม ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรงว่า “ร่างกายของข้า...ข้ารู้ดี ตอนนี้ แค่จะหายใจก็ยังทำไม่ไหวแล้ว...แต่เมื่อครู่ เจ้าทำได้ดีมาก”

“การบริหารแผ่นดินเป็นเรื่องยาก เจ้า จะจัดการได้หรือไม่?”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1180

    คำพูดประโยคเดียวของหลี่เฉิน ก็สามารถสลายความกังวลใจที่ใหญ่หลวงที่สุดในใจของหลิวซือฉุนลงได้พร้อมทั้งเป็นการพิสูจน์ว่า หลี่เฉินไม่เคยคิดจะเป็นพวกยืมเงินแล้วไม่คืน หรือฆ่าไก่เอาไข่ทองคำเลยแม้แต่น้อยหลิวซือฉุนถอนใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทเฉลียวฉลาด ยอดสตรีน้อมสรรเสริญเพคะ”“แทบไม่เคยได้ยินคำไพเราะเช่นนี้จากปากเจ้ามาก่อนเลยนะ”หลี่เฉินเอ่ยพลางยิ้มตาหยี “เรื่องนี้ ต้องรีบจัดการให้เร็ว”หลิวซือฉุนครุ่นคิดเล็กน้อย ถามว่า “เร็วเพียงใดหรือเพคะ?”“เร็วได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น”หลี่เฉินตอบหนักแน่น “ขณะนี้ศึกที่ด่านเยว่ยากวนได้ปะทุขึ้นแล้ว ทัพภายในแผ่นดินก็ได้เคลื่อนพลไปสมทบ เมื่อกำลังพลไปถึง ศึกใหญ่ก็จะระเบิดขึ้นแน่นอน เงินในคลังหลวงจะต้านทานได้ไม่เกินครึ่งเดือน”“กล่าวคือ ภายในครึ่งเดือน ต้องระดมเงินจำนวนห้าสิบล้านตำลึงให้ได้ใช่หรือไม่เพคะ?” หลิวซือฉุนมองหลี่เฉินพลางเอ่ยถาม“ภารกิจนี้มิใช่เรื่องง่าย เจ้ากล้ารับหรือไม่?” หลี่เฉินถามกลับหลิวซือฉุนสูดหายใจลึก ขบฟันแน่นพลางเอ่ยว่า “หากฝ่าบาทมีเรื่องให้ตระกูลหลิวช่วยเหลือ ก็ถือเป็นเกียรติของตระกูลหลิว ต่อให้ยากเย็นเพียงใด ตระกูลหลิวก็จะฟั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1179

    หลี่เฉินขมวดคิ้วอีกครั้ง“แม้ขณะนี้คลังหลวงจะดีกว่ายามเผชิญภัยพิบัติก็ตาม แต่สถานะทางการเงินของราชสำนักยังคงไม่น่าวางใจนัก บัดนี้ราชสำนักจำต้องจัดการเรื่องใหญ่อันหนึ่ง ซึ่งหากไร้เงินทองแล้ว ย่อมไม่อาจสำเร็จได้”“ค่าใช้จ่ายจากทุกด้าน อย่างน้อยที่สุดต้องใช้ราวๆ ห้าสิบล้านตำลึง”คำพูดประโยคเดียวของหลี่เฉิน ทำให้หลิวซือฉุนตกใจถึงกับร้องเสียงเบา“ห้าสิบล้านตำลึงหรือเพคะ!?”ห้าสิบล้านตำลึง…คือแนวคิดที่น่าหวาดหวั่นเพียงใด?ตลอดสามร้อยหกสิบกว่าปีของจักรวรรดิต้าฉิน แม้แต่ยุครุ่งเรืองที่สุด รายได้คลังหลวงทั้งปียังไม่เคยเกินสิบสองล้านตำลึงขณะองค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเสด็จขึ้นครองราชย์ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา รายได้คลังหลวงแต่ละปียังไม่ถึงแปดล้านตำลึงแต่หลี่เฉินเอ่ยปากทีเดียวถึงห้าสิบล้านตำลึง ตัวเลขนี้ถึงกับทำให้หลิวซือฉุนไม่กล้าคิดต่อเลยทีเดียว“ฝ่าบาท ห้าสิบล้านตำลึงนี้ไม่เพียงหาได้ยาก แม้จะหาได้จริง ถึงคราวไถ่ถอน ราชสำนักจะสามารถชำระหนี้ได้จริงหรือเพคะ?” หลิวซือฉุนเอ่ยถามอย่างระมัดระวังนางไม่กล้าถามว่าเงินจำนวนมากขนาดนี้จะนำไปทำสิ่งใด แต่จำเป็นต้องรู้ว่าหลี่เฉินคิดจะชำระคืนหรือไม่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1178

    คำถามของหลี่เฉินทำให้หลิวซือฉุนรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันทีนางก้มศีรษะลง ตอบเสียงเบาว่า “หม่อมฉันเกิดในตระกูลหลิว ย่อมต้องอยู่กับตระกูลหลิวไปตลอดเจ้าค่ะ”เวลานั้น ในห้องโถงยังมีท่านอาหลิวสามของตระกูลหลิวกับวั่นเจียวเจียวอยู่ด้วยวั่นเจียวเจียวเคยชินกับเรื่องเช่นนี้มานานแล้วแต่ท่านอาหลิวสามกลับตื่นตระหนกแทบจะขาดใจใครก็เข้าใจได้ว่าหลี่เฉินหมายถึงสิ่งใดท่านอาหลิวสามมองหลิวซือฉุน ดวงตาร้อนผ่าว แทบจะพุ่งเข้าไปตอบแทนให้นางเสียเองไปตำหนักบูรพาเถอะ!ไปสิ!ตระกูลหลิวที่แสนจะต่ำต้อยนี้มีอะไรให้น่าอยู่กันเล่า!ไปตำหนักบูรพาไม่ดีกว่าหรือ!?หลี่เฉินมองหลิวซือฉุนแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ยังไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้มีอีกเรื่องหนึ่ง อยากให้เจ้าจัดการ”หลิวซือฉุนลอบถอนใจโล่งอก รีบกล่าวว่า “เชิญฝ่าบาททรงบัญชามาได้เลยเพคะ”หลี่เฉินตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นราวกับตัดสินใจได้แล้วจึงกล่าวว่า “ราชสำนักเร็วๆ นี้จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ในบัญชีของโรงเงินตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่?”หลิวซือฉุนสีหน้าเปลี่ยนทันที นางเอ่ยว่า “ในบัญชีของโรงเงิน ตอนนี้มีประมาณหกสิบแปดล้านตำลึงเงิน แต่ฝ่าบาท เง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1177

    เห็นหลี่เฉินอุ้มหลิวเฮ่อเข้าไปในจวน คนอื่นในตระกูลหลิวต่างพากันมองหน้ากันไปมาแต่อย่างน้อยตอนนี้ดูเหมือนว่า องค์รัชทายาทฝ่าบาทจะทรงโปรดหลิวเฮ่ออยู่ไม่น้อย?หลิวซือต๋ามองหลิวซือฉุนเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง หลิวซือฉุนจึงกล่าวว่า “เข้าไปดูแลก่อนเถิด ไม่น่าจะใช่เรื่องร้าย อาจเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”ด้วยฐานะของหลี่เฉิน ต่อให้เอ่ยเพียงประโยคเดียว ก็พอให้นามของลูกหลานตระกูลหลิวรุ่งเรืองไปได้ทั้งชีวิตคนในตระกูลหลิวทยอยกันตามหลี่เฉินเข้าไปในจวนในห้องโถงใหญ่ คนในตระกูลหลิวส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติพอจะอยู่รับใช้ในนั้นมีเพียงหลิวซือฉุน สามอาของตระกูลหลิว และหลิวซือต๋าเท่านั้นที่อยู่ได้หลี่เฉินประทับนั่งบนที่ประธาน ให้หลิวเฮ่อนั่งอยู่บนตัก พลางยิ้มถาม “อายุเท่าไหร่แล้ว?”หลิวเฮ่อหันไปมองหลิวซือฉุนตาปริบๆ แต่พอได้ยินหลี่เฉินถาม ก็รีบตอบอย่างว่าง่ายว่า “สามขวบแล้วเจ้าค่ะ”พูดพลางยื่นนิ้วอ้วนกลมออกมาสามนิ้วเน้นย้ำหลี่เฉินเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างยินดี“ชื่อหลิวเฮ่อ ตั้งชื่อรองไว้หรือยัง?” ประโยคนี้หลี่เฉินถามหลิวซือต๋าหลิวซือต๋ารีบโค้งกายเล็กน้อย ตอบด้วยความเคารพว่า “ทูลฝ่าบาท ยังมิได้ตั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1176

    สำหรับหลิวซือฉุนแล้ว คำเชิญแบบกะทันหันเช่นนี้ แม้หลี่เฉินจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาพระองค์ทรงจมอยู่กับราชการอันวุ่นวาย บัดนี้มีราชโองการใหม่เริ่มต้น แถมยังมีข่าวด่วนจากด่านเยว่หย่าอีก หลี่เฉินเองก็ทรงรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลดังนั้นพระองค์จึงมิได้ลังเล หรือปฏิเสธ ทรงตอบรับด้วยความยินดีอย่างไรก็ดี ถึงฟ้าจะถล่ม ก็ยังไม่ใช่ยามนี้ มนุษย์ย่อมต้องหาโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศบ้างสำหรับตระกูลหลิวแล้ว การเสด็จมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวขององค์รัชทายาทฝ่าบาท ทำให้ทั้งตระกูลแทบแตกตื่นเป็นไก่บินหมาวิ่งตราบใดที่ยังอยู่ในเมืองหลวงและมิได้เดินทางไปต่างเมือง ญาติพี่น้องทุกคนไม่เว้นสักคนต่างพร้อมใจสวมเสื้อผ้าใหม่ แต่งกายสะอาดเรียบร้อย ทั้งภายนอกภายในเรือน แม้แต่รอยร้าวบนชายคาก็ไม่เว้น ล้วนขัดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่องมิใช่เพียงเท่านั้น ตระกูลหลิวยังรีบรุดไปเชิญพ่อครัวจากภัตตาคารชั้นนำของเมืองหลวงมาทั้งคนทั้งเขียง ถึงขนาดทำให้เจ้าของร้านหลายแห่งบ่นอุบ ทว่าพอถูกโยนเงินแท่งใหญ่ใส่หน้าเข้า พวกเขาก็พลันยิ้มแย้ม ยินดีส่งพ่อครัวในร้านออกไปทันทีวันเช่นนี้ สำคัญยิ่งกว่าวันขึ้นปีใหม่ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1175

    การคำนับครั้งนี้ เขาค้อมกายลงอย่างลึกสุดหัวใจผ่านไปสามลมหายใจ หลี่เฉินจึงค่อยยืดตัวตรงเขาหันไปกล่าวกับเหล่าราษฎรด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องราวใต้หล้านั้นมากมายดั่งดวงดาว ข้าผู้เดียวไม่อาจปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ แต่สามารถรับประกันได้ว่า เจอเรื่องใด จัดการเรื่องนั้น เจอผู้ใด ฆ่าผู้นั้น!”“จงประกาศราชโองการข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่เจ้าผู้ครองแคว้น ขุนนาง ขุนพล ไปจนถึงพ่อค้าแม่ค้า หากพบเห็นเรื่องอธรรม ขุนนางไม่ซื่อสัตย์ ข่มเหงราษฎร ร้องทุกข์ไร้หนทาง ร้องเรียนมิได้ ล้วนสามารถไปยื่นฎีกาที่ตำหนักบูรพาได้โดยตรง ขุนนางทั่วแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ หากมีผู้ใดขัดขวาง ลงโทษด้วยการประหารด้วยโทษแหวะเนื้อ!”“ราชโองการนี้ ประกาศทั่วหล้า มีผลทันที!”เมื่อสิ้นคำ สหายทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่เบื้องหลัง ไม่เว้นแม้แต่เฉินทง ต่างเปล่งเสียงพร้อมกันว่า “กระหม่อม ขอรับพระบัญชา!”ท่ามกลางราษฎร เกิดเสียงโห่ร้องดังกึกก้องฟ้าดินมีคนร้องไห้พลางเปล่งเสียงว่า “กษัตริย์ทรงธรรม! ต้าฉินของเราสุดท้ายก็ได้พบกษัตริย์ทรงธรรมแล้ว!”“องค์รัชทายาททรงเมตตายิ่งนัก เป็นโชคของต้าฉิน โชคของราษฎรต้าฉิน!”หลี่เฉินโบกมือ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status