เห็นว่าสวีจวินโหลวมีท่าทีจริงใจ สวีฉังชิงจึงพยักหน้าเบาๆน้ำเสียงเขาอ่อนลง พูดว่า “เจ้าอย่าโทษว่าข้าเข้มงวดกับเจ้ามากนัก ความหวังของตระกูลสวีเรา ไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่เจ้า”สวีจวินโหลวได้ยินดังนั้นก็รีบพูดว่า “ท่านอา คำพูดนี้ของท่านรุนแรงเกินไปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ของตระกูลเรา ล้วนต้องให้ท่านอาเป็นผู้ตัดสิน หลานยังเยาว์วัยนัก ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาอีกมาก”สวีฉังชิงกล่าวว่า “ตอนนี้แน่นอนว่าต้องให้ข้าช่วยกลั่นกรอง แต่ในอนาคตเล่า?”สวีฉังชิงวางฝ่ามือลงบนไหล่ของสวีจวินโหลว พูดด้วยน้ำเสียงลึกซึ้งว่า “เจ้าลองคิดให้ดี ตอนนี้ขุนนางในราชสำนัก ล้วนมีอายุเท่าไรกันบ้าง? พูดให้ตรงกว่านี้ก็คือ พวกเขาล้วนเป็นขุนนางที่เหลือจากรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน แม้ว่าภายนอกพวกสายคณะเสนาบดีจะดูเหมือนถูกสลายไปแล้ว แต่เบื้องหลังเล่า? แบ่งแยกกันตามเชื้อสาย ตามภูมิลำเนา ตามแนวคิดทางการเมือง แก๊งกลุ่มก้อนมากมาย แก่งแย่งแก้แค้นกันไม่สิ้นสุด มีมากมายเกินจะนับ”“การปฏิรูปใหม่ของฝ่าบาทครั้งนี้ เป็นก้าวแรกในการสลายพวกกลุ่มก้อนเหล่านั้น ต่อจากนี้ยังจะมีการเคลื่อนไหวอีกมาก แต่สรุปแล้วมีเพียงคณ
สวีจวินโหลวจำถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ พลางกล่าวว่า “ท่านอาวางใจเถิด หลานจะระมัดระวังให้มาก”พูดจบ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อทันที กดเสียงให้ต่ำลง “ท่านอา ท่านได้ยินเรื่องนี้หรือยัง? ด่านเย่ว์หยานั่น ดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย?”สีหน้าสวีฉังชิงพลันเปลี่ยน แต่ไม่ตอบคำถาม กลับถามกลับแทน “เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใด?”สวีจวินโหลวยิ้มแหยๆ ตอบ “ก่อนหน้านี้หลานเป็นรองหัวหน้าสำนักจานซื่อ ประจำตำหนักบูรพา ย่อมมีข่าวบางอย่างเล็ดลอดถึงหูหลานบ้าง ได้ยินมาว่าเร็วๆ นี้ ฝ่าบาทมีราชโองการหลายฉบับ ล้วนส่งไปยังดินแดนกานและฉ่าน รวมถึงด่านเย่ว์หยา และกรมพระคลังยังได้รับพระบัญชาให้จัดหาทางระดมเสบียงจากทั่วทุกหัวเมือง?”“ใช่ ได้รับมาแล้ว”สวีฉังชิงพยักหน้า “และก็เริ่มดำเนินการแล้วตามพระบัญชา เสบียงจะเน้นการซื้อเป็นหลัก เกณฑ์เป็นรอง สิ่งสำคัญคือต้องไม่กระทบการดำรงชีวิตของราษฎร และห้ามทำให้ราคาท้องถิ่นผันผวนจนเกินควบคุม ราคาตลาดของข้าวสารต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบห้า และเมื่อรวบรวมได้แล้ว จะส่งตรงไปยังดินแดนกานและฉ่าน โดยมีผู้รับผิดชอบเฉพาะดำเนินการเข้าคลังเสบียง”สวีจวินโหลวถามอย่างตื่นเต้น “ท่านอา…นี่จะเกิดศึกใหญ่แล้
เหตุการณ์คล้ายคลึงกันเช่นนี้ มิได้เกิดขึ้นแค่ในมณฑลซีซานเท่านั้น แต่ยังมีที่มณฑลหนานเหออีกด้วยที่ว่าการมณฑลหนานเหอ โจวผิงอันรับพระราชโองการจากมือขันทีอย่างเฉื่อยชาไม่มีเงินปึกแนบมือ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเพียงกล่าวคำขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็หันไปสั่งให้คนเปลี่ยนป้ายเป็นจวนผู้สำเร็จราชการมณฑลทันทีขันทีรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย แต่พอคิดถึงตำแหน่งใหม่ของชายผู้นี้ ก็จำต้องฝืนหน้าหนามาเอาใจสักสองสามประโยค“ใต้เท้าโจว ขอแสดงความยินดีด้วย”โจวผิงอันไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง แค่ตอบเสียงในลำคอว่า “อืม”อืม!?ขันทีไม่เคยพบใครที่รับราชโองการเลื่อนตำแหน่งอย่างไม่ใยดีถึงเพียงนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเตือน “ใต้เท้าโจว ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายภาษีถือเป็นตำแหน่งใหญ่ ต้องควบคุมรายได้ทั้งแผ่นดิน งานนี้ไม่ง่ายเลย ถึงแม้ฝ่าบาทจะสนับสนุนท่าน แต่ตามต่างจังหวัดห่างไกลจากเมืองหลวง อาจมิได้ให้เกียรติตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายภาษีเท่าไร ดังนั้นใคร่ขอใต้เท้าโจวโปรดระมัดระวังให้มาก”คราวนี้โจวผิงอันหันมามองเขาหนึ่งแวบแต่ก็เป็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วก็หันกลับไปอีก“อืม”เห็นโจวผิงอันเย็นชาขนาดนี้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เฉินก็หัวเราะ “อืม ไม่เลว เป็นคำพูดจากใจจริง”“หากเจ้าบอกว่าคุ้นเคย ข้าคงคิดว่าเจ้ากำลังหลอกข้า เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมกะทันหัน ยังต้องสูญเสียอิสระด้วย อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าแต่ก่อนเจ้าพักอยู่ในจวน หากอยากออกไปข้างนอก พ่อของเจ้าก็ไม่เคยห้าม เพียงแต่ส่งคนอารักขาให้เจ้าอย่างดี แต่ในวังนั้นต่างกัน เจ้าคือพระชายารัชทายาท แค่จะก้าวออกจากวังก็ยากลำบากเหลือเกิน”ซูจิ่นพ่าตอบอย่างหงุดหงิด “ข้าจะหลอกเจ้าทำไมล่ะ ข้าก็แค่พูดตามจริงเท่านั้น”“ข้าหวังว่า ต่อจากนี้ไป จะได้ยินแต่คำพูดจากใจจริงจากเจ้า”หลี่เฉินลูบขมับเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ ข้าอยากได้ยินคำพูดจากใจจริงก็ยิ่งยากเข้าไปทุกที”“ผู้ที่อยู่สูงมักหนาวเหน็บรอบกาย คนที่อยู่รอบตัวเจ้ามีอยู่เพียงสองประเภท หนึ่งคือผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมประจบเจ้า อีกหนึ่งคือผู้ที่คอยวางแผนโค่นเจ้า ทั้งสองประเภทนี้ไม่มีวันพูดกับเจ้าด้วยใจจริง และในอนาคตที่พอคาดเดาได้ สภาพเช่นนี้จะยิ่งเลวร้ายลง ไม่มีวันดีขึ้นหรอก” ซูจิ่นพ่าพูดแทงใจโดยไม่ไว้หน้า“แต่ข้ายังมีเจ้า คนที่เข้าใจข้าอยู่นี่ไง” หลี่เฉินยิ้มทะเล้นซูจิ่นพ่าลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปพักกลางวัน
หลี่เฉินยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “บัญชาการน่ะเหรอ ข้าแน่ใจเลยว่าไม่ทำหรอก เรื่องของมืออาชีพ ก็ให้มืออาชีพทำไป เจ้าดูข้าแล้วคิดว่าข้าเหมาะจะบัญชากองทัพนับล้านไหมล่ะ?”หวงจี๋เทียนส่ายหน้าทันที “ไม่เหมาะ”“แต่เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดว่าเจ้าจะจารึกนาม ณ เขาอู่ซวี…”“ใครจะบัญชาก็ช่าง แต่ผลงานนั้นต้องเป็นของข้า เข้าใจไหม?”หลี่เฉินมองหวงจี๋เทียนด้วยแววตาเวทนา “เจ้าไม่เข้าใจก็ไม่แปลก เพราะเจ้าก็แค่ องค์ชายธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น เรื่องวิธีคิดแบบจักรพรรดิ กลยุทธ์แบบเจ้าผู้ครองแผ่นดิน เจ้าก็ยังไม่อาจเข้าถึง เสด็จพ่อของเจ้าล่ะก็ ต้องเข้าใจแน่นอน”หวงจี๋เทียนถึงกับกระโดดลั่น “หลี่เฉิน! เจ้าอย่าล้ำเส้นนักนะ!”“ฮ่าๆๆ”หลี่เฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ รีบกลับไปติดต่อเสด็จพ่อของเจ้า พรุ่งนี้ข้าต้องการคำตอบ”เขาตบไหล่หวงจี๋เทียน พลางพูดว่า “บอกเสด็จพ่อของเจ้าด้วยว่า ศึกนี้คือศึกของเหลียวต่อฉิน แต่เกี่ยวพันโดยตรงถึงความอยู่รอดของแคว้นจิน”“วิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์ต้องกว้างเข้าไว้”กล่าวจบ หลี่เฉินก็เดินจากไปจากเรือนรับรองอันอบอุ่นงดงามแห่งนั้นที่นั่นเป็นสถานที่ที่ชายใดก็ใฝ่ฝัน แต่หลี
“เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไมกัน!?” หวงจี๋เทียนโกรธจัดตะโกนลั่นเขารู้สึกว่าสายตาของหลี่เฉินเป็นการดูถูกเขาอย่างที่สุดหลี่เฉินชี้ไปทางด่านเย่ว์หยา พลางกล่าว “ตอนนี้กองทัพเกราะม้าหกแสนของเหลียวกำลังบุกด่านเย่ว์หยาอยู่ ไม่แน่ว่าในขณะที่ข้ากำลังพูดกับเจ้านี่แหละ หรือไม่ก็พรุ่งนี้ ด่านเย่ว์หยาก็อาจแตกแล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่ดอกเก๊กฮวยก็เย็นชืดแล้ว ข้าจะไปรอพึ่งพาเจ้าได้อย่างไร?”หวงจี๋เทียนแค่นหัวเราะ “อย่ามาแกล้งพูดเช่นนี้เลย แต่เดิมเจ้าก็วางแผนจะปล่อยพวกเขาเข้ามาแล้วล้อมสังหารไม่ใช่หรือ? ตอนที่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหว เจ้ากล้ายิ่งนัก วางแผนฟ้าแทงดินเช่นนั้น แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มแล้ว เจ้ากลับกลัวขึ้นมาหรือ?”“มิได้กลัว”หลี่เฉินกล่าว “เรื่องเช่นนี้ ต้องมีความเป็นฝ่ายรุกถึงจะมีความหวังที่จะสำเร็จ ดังนั้นเงื่อนไขของการปล่อยให้เข้ามาคือต้องเป็นข้าที่ปล่อยไม่ใช่พวกเขาบุกทะลวงเข้ามาเอง หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ห้ามพวกเขาไม่ได้ ฆ่าหมดน่ะฆ่าได้อยู่ แต่จะเป็นใครฆ่าใคร ยังบอกไม่ได้หรอก”หวงจี๋เทียนยิ้มเย้ย “แล้วถ้าข้าตั้งใจแน่วแน่จะนั่งดูเสือสู้กันล่ะ?”“ได้เลย!”หลี่เฉินตบมือดังฉาด หัวเราะลั