แชร์

บทที่ 465

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
ไม่ว่าหลี่เคอโส่วจะจงใจแสดงให้หลี่เฉินเห็น หรือว่าหลี่เคอโส่วเฝ้านาทดลองมันเทศทั้งวันทั้งคืนจริงๆ แต่ขอเพียงการทดลองปลูกมันเทศประสบความสำเร็จ หลี่เฉินก็จะพอใจกับการแสดงของหลี่เคอโส่ว

“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี”

หลี่เฉินพาหลี่เคอโส่วที่ระวังตัวเกินเหตุ และเจิ้งเป่าหรงซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยแต่รู้สึกอย่างคลุมเครือว่ามีเรื่องสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น เข้าไปในเรือนกระจกที่เรียบง่าย

ด้านใน มีชาวนาหลายสิบคนกำลังดูแลมันเทศอย่างระมัดระวัง

เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่เปราะบางและน่าสงสารในตอนปลูกครั้งแรก ตอนนี้เรือนกระจกก็เขียวชอุ่ม บนพื้นเต็มไปด้วยใบมันเทศสีเขียว

หลี่เฉินดีใจมากเมื่อเห็นสิ่งนี้

ไม่ผิดแน่ สิ่งนี้เหมือนกับมันเทศที่เขาเคยเห็นในทุ่งนาที่ชนบทเมื่อชาติก่อนทุกประการ

“ฝ่าบาท มันเทศเหล่านี้สุกแล้ว”

หลี่เคอโส่วกล่าวอย่างตื่นเต้น “หลังจากที่พวกเราวัดแล้ว มันเทศเหล่านี้ออกผลอย่างต่ำ 4-5 ผล มากสุดก็ 8-9 ผล หรือมากกว่าสิบผล แต่ละลูกก็ใหญ่เท่ากับกำปั้นของผู้ใหญ่ ผลผลิตนี้ช่างน่าทึ่งมากฝ่าบาท!”

หลี่เฉินรู้สึกยินดีมากขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขานั่งยองๆ และดึงมันเทศออกจากหลุมโดยตรง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
บทที่ถูกล็อก

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 466

    แม้แต่หลี่เฉินยังตกตะลึงเล็กน้อยกับฉากนี้เมื่อเห็นความประหลาดใจในสายตาของผู้คนโดยรอบ เจิ้งเป่าหรงจึงรู้สึกตัวว่าได้สูญเสียกริยาไปแล้วใบหน้าที่มันเยิ้มเต็มไปด้วยความเขินอาย เขารีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยแก่กระหม่อมด้วย กระหม่อมตื่นเต้นมาก จนทำตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าฝ่าบาท” “ไม่เป็นไร”แน่นอนว่าหลี่เฉินไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เขาพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าแตกต่างจากขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงพวกนั้น ตรงที่เจ้าไม่กินอาหารบนโลกมนุษย์[footnoteRef:1] เจ้าทำงานคลุกคลีกับคนรากหญ้า ยิ่งใกล้ชิดกับประชาชนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากจะเป็นขุนนางได้” [1: กินอาหารบนโลกมนุษย์ อุปมาถึง การแสวงหาชื่อเสียง โชคลาภ ความมั่งคั่งทางวัตถุของผู้คน] “เจ้าก็เห็นผลผลิตของพืชชนิดนี้แล้ว พูดตรงๆ หากส่งเสริมสำเร็จ เจ้าก็จะมีชื่อเสียงนานนับพันปี แต่ปัญหาคือเจ้าต้องหาทางทำให้ประชาชนในเขตอำนาจของเจ้ายอมรับ ”หลี่เฉินเห็นเจิ้งเป่าหรงครุ่นคิดก็กล่าวว่า “แผ่นดินใหญ่แตกต่างจากพื้นที่ชายฝั่ง แต่ความหลงใหลในที่ดินและการเกษตรของประชาชนล้วนเหมือนกัน ตลอดหลายร้อยหลายพันปีมานี้ ไม่มีใครเคยลองให้พวกเขาปลูกมั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 467

    “อย่างที่บอกไป ข้าไม่ตระหนี่ในการให้อำนาจแก่คนเบื้องล่าง ไม่ว่าจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่เจ้าก็ต้องมีอำนาจมากตามไปด้วย ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เพราะกฎนี้ข้าเป็นผู้กำหนดเอง ในเมื่อข้าพยักหน้า ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้”หลี่เฉินมองไปที่เจิ้งเป่าหรง และพูดเสียงเรียบว่า “ในเมื่อข้าให้สิ่งที่เจ้าต้องการไปแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าก็ต้องทำให้ได้”ก่อนที่เจิ้งเป่าหรงจะพูดอะไรบางอย่างที่แสดงถึงความภักดี หลี่เฉินก็หันไปหาหลี่เคอโส่วและพูดว่า “ต่อจากนี้ไป ลานล่าสัตว์จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับผู้ว่าการเมืองหลวง เพื่อดำเนินการส่งเสริมมันเทศเบื้องต้น พวกเจ้าควรจะรวบรวมข้อควรระวังในการดูแลมันเทศให้เร็วที่สุด ทำเป็นคู่มือเพาะปลูกที่ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย”“เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง ภารกิจของพวกเจ้าจึงไม่เบาเลย” หลี่เคอโส่วกล่าวด้วยความเคารพทันที “กระหม่อมจะปฏิบัติตามพระราชดำรัสสั่งของฝ่าบาท”หลี่เฉินพยักหน้าและพูดอย่างพอใจว่า “พวกเจ้าทุกคนทำงานหนักในช่วงนี้ และตอนนี้ก็มีผลงานแล้ว สมควรได้รับรางวัล”“เดิมทีเจ้าม

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 468

    “รายงานท่านจอมพล เราได้ทำการตรวจนับสนามรบเสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้กองทัพของพวกเรามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3,600 คน บาดเจ็บสาหัสกว่า 700 คน และมีผู้เสียชีวิตในการรบ 4,200 คน ส่วนฝ่ายศัตรูถูกสังหารรวมกว่า 10,000 คน จำนวนธัญพืชและสัมภาระที่ยึดได้ สามารถใช้เลี้ยงกองทัพพวกเราได้หกวัน”หลังจากฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ซูผิงเป่ยก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจเวลานี้เขานั่งอยู่ในกระโจมหลัก ขนาบด้วยแม่ทัพใต้บัญชาการทั้งซ้ายขวา ทุกคนต่างค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้“หนึ่งแลกสาม แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ดีเท่ากับตอนที่จักรวรรดิอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แต่ผลการรบในตอนนี้ก็นับว่าไม่แย่” รองแม่ทัพคนสนิทที่ติดตามซูผิงเป่ยจากเมืองหลวงมาได้เปิดปากกล่าว“ในช่วงเวลานั้น? ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น แค่กองทัพของพวกเรามาถึง พวกตงอิ๋งก็คงโยนหมวกถอดเกราะยอมแพ้ไปนานแล้ว” ซูผิงเป่ยถอนหายใจและกล่าวว่า “ตอนนี้กองทัพของเราได้เข้าสู่เสียนเฉาและต่อสู้มาหลายวันแล้ว ถึงแม้ว่าจะกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียไปในเสียนเฉาได้เป็นจำนวนมาก แต่เมืองหลวงของเสียนเฉายังอยู่ภายใต้การควบคุมของตงอิ๋ง”“เมื่อเช้าเชื้อพระวงศ์เสียนเฉามาที่นี่อีกครั้ง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 469

    แผนการรบของซูผิงเป่ยไม่ได้เหนือชั้นอะไรนัก แต่การกรีฑาทัพทำสงคราม ขอเพียงสามารถเอาชนะได้ก็พอแล้ว ในบางครั้ง ชัยชนะก็มาจากแผนการเลิศล้ำเสียที่ไหนอย่างไรก็ตาม แม้แผนการรบนี้ดูเสถียรภาพมาก แต่ก็ยังเผยข้อบกพร่องใหญ่อยู่ ทันใดนั้นรองแม่ทัพก็สังเกตเห็นจุดนี้ เขากล่าวว่า “จอมพลซู ข้าน้อยคิดว่านี่ไม่เหมาะสม”“ถ้าแยกทหารม้าเบาและทหารราบชั้นยอด 10,000 นายออกไป กำลังรบที่เหลือของกองทัพจะอ่อนแอกว่ากองทัพตงอิ๋งอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น จอมพลซูยังเป็นผู้นำทัพบุกโจมตีด้วยตัวเอง ถ้าหากแผนการนี้ถูกตงอิ๋งมองขาดล่วงหน้า พวกเขาอาจจะมารวมตัวกันและบุกโจมตีทัพหลักของพวกเรา หากเป็นเช่นนั้นจะอันตรายมาก ท่านจอมพลโปรดใคร่ครวญอีกครั้งเถิด”ซูผิงเป่ยโบกมือแล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “การกรีฑาทัพทำสงครามจะไม่มีความเสี่ยงได้อย่างไรกัน? คนที่มาในสนามรบไม่ใช่คนที่แสวงหาความสงบสุข หากต้องการความสงบและความมั่นคง ก็กลับบ้านไปนอนกอดภรรยาจะดีกว่า ใยต้องมาที่สนามรบเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ?”“ข้าตัดสินใจแล้ว หากแผนการรบครั้งนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ความเสี่ยงที่เจ้าพูดถึงก็จะไม่มี ทุกท่านไม่ต้องพูดอีกแล้ว”“ยิ่งไปกว่านั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 470

    “แม่ทัพใหญ่ซูห่วงใยลูกดุจไข่มุกบนฝ่ามือ”หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้[footnoteRef:1] ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปรารถนาอันแรงกล้าของบิดาอย่างท่านเลย” [1: เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้ หมายถึง เมื่ออยู่ในสนามรบ อำนาจของแม่ทัพอยู่เหนือกษัตริย์ ] “นับตั้งแต่ซูผิงเป่ยเข้าสู่เสียนเฉา เขาก็ผ่านศึกสงครามน้อยใหญ่มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งล้วนประสบความสำเร็จ”“แม้ว่าตงอิ๋งจะอ่อนแอ แต่การที่สามารถเอาชนะติดต่อกันได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ซูผิงเป่ยมีความสามารถมากกว่าที่เราคิด ในเมื่อเขาเต็มใจที่จะเสี่ยง เราก็อาจปล่อยให้เขาลองได้เช่นกัน”เมื่อดูแผนการรบ หลี่เฉินก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คิดจะสู้ชี้ขาด มีทั้งความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยว การปล่อยให้เขาลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”“สิ่งที่ราชสำนักขาดไปในตอนนี้ไม่ใช่แม่ทัพ แต่เป็นแม่ทัพอายุน้อย มุ่งมั่น และกล้าได้กล้าเสียอย่างซูผิงเป่ย” เมื่อเห็นหลี่เฉินพูดเช่นนั้น ซูเจิ้นถิงก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงกำลังขมวดคิ้ว หลี่เฉินก็กล่าวด้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 471

    คำพูดของหลี่เฉินเหมือนเป็นการหยอกล้อ มากกว่าจะไปคารวะจ้าวชิงหลานจริงๆจ้าวชิงหลานเข้าใจได้ทันที ดวงตาหางหงส์ของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ในขณะจะระเบิดอารมณ์ออกมานั้น หลี่เฉินกลับหัวเราะเบาๆ และเดินไปที่แท่นบรรทมซึ่งองค์จักรพรรดิกำลังบรรทมอยู่ โดยไม่เปิดโอกาสให้จ้าวชิงหลานได้ระบายโทสะ จ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ไม่สามารถแสดงอาการออกมาได้ ซึ่งทำให้นางยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ตอนนี้เอง หลี่เฉินได้มาถึงด้านหน้าของแท่นบรรทมแล้ว องค์จักรพรรดิบนแท่นบรรทมก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อน ยกเว้นว่าเขาผอมลงเล็กน้อย ตอนนี้เขาก็ดูไม่ต่างจากผู้ประสบภัยข้างทางที่หลี่เฉินเคยเห็นถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความรักระหว่างพ่อลูกกับพ่อราคาถูกคนนี้ แต่ตอนนี้ หลี่เฉินเป็นคนที่อยากให้จักรพรรดิตายน้อยที่สุด ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วทันทีและพูดว่า “เหตุใดเสด็จพ่อถึงผอมลงเช่นนี้? พวกเจ้าปรนนิบัติรับใช้เสด็จพ่ออย่างไร?”เมื่ออำนาจของตำหนักบูรพาขยายตัว พลังของหลี่เฉินก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแค่ประโยคสั้นๆ ก็ทำให้นางกำนัลและหมอหลวงซึ่งรับผิดชอบในการปรนนิบัติรับใช้องค์จักรพรรดิหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าลง“ฝ่าบาทโ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 472

    “เสด็จแม่ ลูกคารวะเสด็จพ่อเสร็จแล้ว ตอนนี้ให้ลูกไปส่งเสด็จแม่กลับตำหนักดีหรือไม่?”หลี่เฉินหันกลับมาพูดกับจ้าวชิงหลานเมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนี้ พวกเขาแค่รู้สึกว่าองค์รัชทายาททรงกตัญญู แต่จ้าวชิงหลานรู้ว่าในท้องของหลี่เฉินเต็มไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี และไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเมื่อเห็นผู้คนรอบข้างยกย่องหลี่เฉิน จ้าวชิงหลานก็รู้สึกแค้นใจจนแทบคลั่งใบหน้าสวยพลันเย็นชาราวกับมีชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่ จ้าวชิงหลานกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น องค์รัชทายาทมีราชกิจมากมายที่ต้องจัดการ เช่นนั้นก็รีบไปจัดการเถอะ” พูดจบ จ้าวชิงหลานก็หมุนตัวเดินออกไป หลี่เฉินก้าวตามทันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในฐานะบุตรชาย ส่งเสด็จแม่กลับพระตำหนักแล้วค่อยไปสะสางราชกิจก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นหลี่เฉินตอแยไม่เลิก จ้าวชิงหลานก็ยิ่งโมโห ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด กลับได้ยินหลี่เฉินกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่ากั๋วจิ้วเหยีย ได้เข้าร่วมสมาคมที่เรียกว่าสมาคมเหวินหยวนเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากการสืบสวนของหน่วยบูรพาก็พบว่า สมาคมนี้จัดกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมตลอดทั้งวัน สมาคมาดังกล่าวไม่คิดจะรับใช้ประเทศ แต่กลับหารือเรื่องกิจของรัฐได้ทุ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 473

    จ้าวชิงหลานรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกหลี่เฉินปั่นหัว การถูกบดขยี้สติปัญญาเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธเป็นพิเศษ “ก็เจรจากันได้”หลี่เฉินดูเหมือนจะไม่กลัวถูกน้ำเดือดลวก เขากางมือแล้วพูดว่า “สมาคมเหวินหยวนจะถูกลงดาบอย่างแน่นอน แต่เมื่อไหร่ เคลื่อนไหวอย่างไร แล้วจะจัดการกับผู้นำสมาคมอย่างจ้าวไท่ไหลเช่นไรนั้น ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ”“หากฮองเฮาทรงมีความคิดดีๆ ก็สามารถพูดให้ข้าฟังได้”จ้าวชิงหลานอ่านสีหน้าของหลี่เฉินออก จึงกล่าวหัวเราะเยาะไปว่า “พูดให้ฟัง? ถ้ามันสอดคล้องกับความปรารถนาของเจ้า เจ้าก็จะรับฟัง แต่ถ้าหากไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของเจ้า เจ้าก็จะบอกว่าวังหลังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ใช่หรือไม่?” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ “เสด็จแม่ทรงพระปรีชา”“หลี่เฉิน!”จ้าวชิงหลานไม่สามารถระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านได้อีกต่อไป นางกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าอยากจะดูสิว่า เจ้าจะหยิ่งผยองไปได้อีกนานแค่ไหน เจ้าทั้งสวนกระแสทั้งหุนพลันแล่นเช่นนี้ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ยิ่งไม่เห็นหัวเหล่าขุนนางอยู่ในสายตา เจ้าอย่าลืมไปว่า ทุกอย่างย่อมต้องถึงเวลาชำระสะสาง”“ชำระสะสาง”หลี่เฉินกล่า

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1069

    เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1068

    ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1067

    สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1066

    ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1065

    “ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1064

    เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1063

    ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1062

    “เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1061

    จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status