แม้หลี่เฉินจะไม่ได้รับสั่งใดๆ หรืออธิบายเพิ่มเติม แต่เฉินทงก็รู้ดีว่างานที่องค์รัชทายาททรงมอบหมายให้เขาดูแลด้วยตนเองนั้น จะต้องเป็นเรื่องลับแน่นอนยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับฮองเฮาและจ้าวไท่ไหลเพื่อความปลอดภัย เฉินทงจึงไม่ได้พาจ้าวไท่ไหลเข้าประตูใหญ่ แต่ใช้เส้นทางลับที่พวกขันที นางกำนัล และผู้ดูแลวังใช้เข้าออก โดยอ้อมเข้าประตูด้านข้างของพระราชวังหลวงระหว่างทาง เฉินทงไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงนำทางจ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกังวลเดินไปอย่างเงียบๆส่วนจ้าวไท่ไหลนั้น ใจยังคงสับสนวุ่นวาย ไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องที่บิดาของเขาต้องการฆ่าเขาได้เต็มที่ เขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรเช่นกันทั้งสองเดินกันอย่างเงียบงันเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งมาถึงหน้าตำหนักเฟิ่งสี่ทหารรักษาการณ์ นางกำนัล และขันทีในตำหนักเฟิ่งสี่ล้วนถูกเปลี่ยนให้เป็นคนของตำหนักบูรพา เฉินทงจึงสามารถพาจ้าวไท่ไหลเข้าไปได้โดยไม่มีอุปสรรคเมื่อเข้ามาในตำหนักเฟิ่งสี่แล้ว จ้าวชิงหลานที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเห็นจ้าวไท่ไหลในชุดปลอมตัวก็ถึงกับประหลาดใจ“ท่านพี่!”เมื่อเห็นจ้าวชิงหลาน จ้าวไท่ไหลก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
คำพูดของจ้าวไท่ไหลทำให้จ้าวชิงหลานถึงกับนิ่งอึ้งนางมองดูจ้าวไท่ไหลที่กำลังหมดหนทาง เบื้องหน้านางคือน้องชายที่ไร้ความหวัง จ้าวชิงหลานกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าจะโทษใครได้? หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เอาถ่าน ใช้ชีวิตก่อปัญหาไปวันๆ”“ถ้าเจ้าทำให้เขาเห็นความหวังบ้าง เขาจะทำเช่นนี้หรือ?”“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”จ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกลัวและความกดดันมาทั้งวัน ทนฟังคำตำหนิของจ้าวชิงหลานไม่ไหว ความโกรธของเขาพุ่งพล่านเขาเอ่ยด้วยความโกรธ “ต่อให้ข้าไร้ค่าเพียงใด ข้าก็ยังเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา! ข้าเป็นสายเลือดตระกูลจ้าว เป็นคนสืบทอดวงศ์ตระกูลของเขา แล้วนี่เขาตอบแทนข้าด้วยการทำเช่นนี้หรือ?”“ที่ผ่านมา ต่อให้เขาตีข้าหรือด่าข้า ข้าก็ยังเคารพและชื่นชมเขาอยู่ในใจ แต่ตอนนี้เล่า? เขาคิดจะส่งข้าไปให้เหวินอ๋องระบายความโกรธ นี่เขาเสียสติไปแล้ว ท่านพี่มองไม่ออกหรือ?”“ตั้งแต่ตำหนักบูรพาเรืองอำนาจ องค์รัชทายาทแย่งอำนาจไปจากมือเขาแทบทั้งหมด เขาก็กลัวมาตลอด กลัวว่าตัวเองจะหมดสิ้นทุกสิ่ง เขาเคยเสวยสุขกับอำนาจมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้กลับคลุ้มคลั่งเพื่อปกป้องมัน!”“เขาส่งพี่ไปให้ฮ่องเต้ก่อน แต่แล้วฮ่อง
“อย่าทำตัวเหมือนผู้ชนะที่ได้ใจในสงครามต่อหน้าข้า บอกมาเถอะว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร”คำพูดที่แข็งกร้าวของจ้าวชิงหลาน ทำให้รอยยิ้มอันภาคภูมิของหลี่เฉินหุบลง“อย่าทำหน้าบึ้งตึงไปเลย สิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำนั้นง่ายมาก”เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวชิงหลานหัวเราะเยาะ ไม่เชื่อคำพูดนั้นแม้แต่น้อยหลี่เฉินจึงพูดต่อทันที“สิ่งที่ข้าต้องการ คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย”คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของจ้าวชิงหลานหยุดนิ่งนางมองหลี่เฉินด้วยความตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่แน่ใจ“ชัดเจนหรือยัง? สิ่งที่ข้าต้องการจากท่านคือ…ไม่ต้องทำอะไรเลย”หลี่เฉินกล่าวเสริมอีกครั้งจ้าวชิงหลานมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา“ท่านต้องการให้ข้าไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับท่านพ่อของข้า ใช่หรือไม่?” จ้าวชิงหลานกัดฟันถามหลี่เฉินเพียงยิ้มโดยไม่ตอบ เพราะเขารู้ดีว่า จ้าวชิงหลานเข้าใจความหมายของเขาแล้ว“สำหรับจ้าวไท่ไหล ข้าจะจัดการเอง ตราบใดที่เขาว่านอนสอนง่าย ก็จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้”พูดจบ หลี่เฉินก็ยืดเส้นยืดสายแล้วเดินออกจากตำหนัก“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะขอตัวก่อน ช่วงนี้งานยุ่งมาก”จ้าวชิงหลานกัดริมฝีปาก ม
คำพูดของหลี่เฉิน หากพูดให้ใครฟังก็คงทำให้คนฟังเปลี่ยนสีหน้าไปทันที แต่โจวผิงอันกลับไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขากำลังคิดอย่างจริงจังหลี่เฉินไม่ได้เร่งรัด ปล่อยให้โจวผิงอันใช้เวลาครุ่นคิดโจวผิงอันเป็นคนที่มาพร้อมกับความลึกลับ หน่วยบูรพาที่เก่งกาจยังสืบได้เพียงข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ลับระหว่างเขาและพี่น้องอีกสองคนเท่านั้น และข้อมูลนี้ก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผยเองด้วยส่วนเรื่องที่พวกเขามาจากไหน มีเป้าหมายอะไร และเป็นศิษย์ของใคร กลับไม่มีใครรู้ในแผ่นดินต้าฉิน คนที่ทำให้หน่วยบูรพาทำอะไรไม่ได้มีน้อยมาก และพี่น้องตระกูลโจวก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ความลึกลับนี้ไม่ได้ขัดขวางความร่วมมือระหว่างหลี่เฉินกับโจวผิงอันโจวผิงอันเป็นผู้มีสติปัญญาและกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการสำหรับเป้าหมายและแผนการเบื้องหลังของโจวผิงอัน หลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้ เรื่องในอนาคตก็ไม่มีความหมายหลังจากคิดอย่างถี่ถ้วน โจวผิงอันจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับหลี่เฉินว่า “ทำได้ แต่ความเสี่ยงสูงมาก”หลี่เฉิน
คำพูดสั้นๆ ของโจวผิงอัน เปรียบได้กับพายุที่ทำแผ่นดินสั่นคลอนแม้แต่หลี่เฉินเองก็ยังต้องขมวดคิ้วคำพูดนี้ หากผู้ใดกล่าวออกไป ย่อมถูกนับเป็นกบฏและต้องโทษประหารชีวิต ไม่เพียงตัวเอง แต่ถึงขั้นล้างโคตรทั้งตระกูลแต่ในพระที่นั่งสีเจิ้งที่เงียบสงัดและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนอึดอัด กลับรู้สึกว่าเหมาะสมอย่างน่าประหลาดโจวผิงอันดูเหมือนไม่ใส่ใจกับความผิดร้ายแรงในคำพูดของตนเอง เขากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสงบ “ในตอนนี้ องค์ชายมีทั้งทำเลที่เหมาะสมและผู้คนที่สนับสนุน สิ่งที่ขาดไปคือโอกาสฟ้าประทาน ซึ่งโอกาสนั้นก็คือการที่ฝ่าบาทเสด็จสวรรคต เมื่อถึงตอนนั้น เส้นทางขึ้นครองบัลลังก์ขององค์ชายจะไร้อุปสรรค และเมื่อขึ้นครองราชย์ได้ จักรพรรดิองค์ใหม่ก็จะสามารถใช้โอกาสแห่งการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินกวาดล้างจ้าวเสวียนจีได้อย่างเบ็ดเสร็จ”หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ เพียงคำเดียว “กบฏ”โจวผิงอันโค้งตัวคำนับ “องค์ชายทรงพระปรีชา”“จ้าวเสวียนจีผู้นี้ เปรียบได้กับจอมคนในยุคปัจจุบัน ในประวัติศาสตร์สามก๊ก มีคำกล่าวเกี่ยวกับโจโฉว่า ‘เป็นขุนนางที่มีฝีมือในยุคแห่งความสงบ และจอมคนในยุคแห่งความปั่นป่วน’ จ้าวเสวียนจีก็คือโจโฉแห่งต้าฉิ
หลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ เสด็จพ่อยังทรงพระชนม์อยู่ ข้าย่อมไม่อาจปลงพระชนม์ได้”สำหรับหลี่เฉิน นี่ถือเป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความจริงใจโจวผิงอันยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แปลกใจกับคำปฏิเสธนั้น และตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ยังมีอีกวิธี”“บีบให้จ้าวเสวียนจีก่อกบฏ”น้ำเสียงของโจวผิงอันเยือกเย็น “ไม่ว่าจะเป็นการที่องค์ชายขึ้นครองบัลลังก์หรือวิธีอื่น เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการทำให้จ้าวเสวียนจีไม่มีทางเลือก จนต้องก่อกบฏ เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะถูกประณามจากทั่วหล้า และไม่ว่าองค์ชายจะปลดหรือประหารเขา ก็จะเป็นไปตามครรลองแห่งธรรม”“ขุนนางก่อกบฏ องค์ชายทรงสังหาร นั่นคือความชอบธรรมที่ไม่มีใครปฏิเสธได้”“เช่นนี้ จะช่วยให้ราษฎรสงบปากสงบคำ และยังป้องกันไม่ให้อ๋องแห่งแคว้นทั้งหลายใช้ข้ออ้างว่าราชสำนักสั่นคลอนเพื่อยกทัพมาปราบด้วย”คำพูดนี้กระแทกใจหลี่เฉินโดยตรงทำไมเขาไม่กำจัดจ้าวเสวียนจีตั้งแต่ต้น?เพราะหากใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการกำจัดจ้าวเสวียนจี ราชสำนักจะเข้าสู่ภาวะอัมพาตทันทีแผ่นดินจะวุ่นวาย
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของโจวผิงอัน หลี่เฉินไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ“ถอยออกไปเถอะ”หลี่เฉินมองดูโจวผิงอันที่ค่อย ๆ ถอยออกไปหลังจากคารวะอีกครั้ง ดวงตาของเขาเป็นประกายวูบไหวไม่หยุดผ่านคืนนี้ไป หลี่เฉินมั่นใจแล้วว่า หากโจวผิงอันมีใจคิดทรยศขึ้นมา เขาจะกลายเป็นคนที่จัดการได้ยากยิ่งกว่าจ้าวเสวียนจีเสียอีกแต่ตอนนี้ หลี่เฉินยังไม่อยากฆ่าโจวผิงอันโจวผิงอันผู้ชาญฉลาดประหนึ่งอสูร มีหรือจะไม่รู้ว่าหลี่เฉินหวาดระแวงเขา?แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเข้ามาและอยู่ต่อเองหลี่เฉินเองก็ไม่มั่นใจว่า หากฆ่าโจวผิงอัน จะนำพาปัญหาที่ใหญ่กว่ามาหรือไม่ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้สูงส่งกว่าแล้ว การใช้ขุนนางซื่อสัตย์เป็นทักษะหนึ่ง แต่การใช้คนเจ้าเล่ห์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นับเป็นความสามารถที่ยิ่งใหญ่กว่าโจวผิงอันก็เหมือนดาบสองคมหากใช้ผิด อาจหันกลับมาทำร้ายตัวเองได้แต่ถ้าใช้ให้ดี เขาก็จะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน หลี่เฉินก็ตัดสินใจที่จะอดทนไว้ก่อนด้วยความที่เขาคือผู้มีความรู้จากโลกอนาคตที่ล้ำหน้ากว่ายุคนี้นับพันปี หลี่เฉินเชื่อว่า หากเขาสามารถควบคุมอำนาจได้ทั้งหมด เขาจะสร้างจักรวรรดิที่แข
”องค์ชายโปรดวางพระทัย ข้ามีความมั่นใจในกองทหารอยู่ แม่ทัพส่วนมากล้วนภักดีต่อองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงโบกมือหลี่เฉินส่ายศีรษะ กล่าวว่า "แม้ว่าแม่ทัพระดับสูงส่วนใหญ่จะอยู่ฝ่ายเรา แต่พวกแม่ทัพระดับกลางล่ะ?""จงจำไว้ว่าทั้งในกองทัพหรือกรมต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่น คนที่ทำงานจริง ๆ คือตำแหน่งระดับกลาง พวกเขาคือสะพานเชื่อมระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่าง""หากแม่ทัพระดับกลางจำนวนมากทรยศไป จะทำให้แม่ทัพระดับสูงไม่มีอำนาจในกองทัพ และหากทหารชั้นล่างทั้งหมดตามแม่ทัพระดับกลางไป พวกแม่ทัพระดับสูงก็จะไร้ค่าในทันที""เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ประมาท สิ่งที่ควรระวัง ก็ต้องระวัง"ซูเจิ้นถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ข้าจะหาทางสับเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพ พวกที่ไม่จงรักภักดีจะถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งเดิม""นั่นก็เป็นวิธีหนึ่ง"หลี่เฉินกล่าวเสริมว่า "จ้าวเสวียนจีฝังรากลึกในระบบราชการมานาน แม้ว่าเขาจะมีความขัดแย้งกับกองทัพมาโดยตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนของเขาแทรกซึมอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ในการควบคุมเมืองหลวง จริง ๆ แล้วไม่ต้องใช้กำลังมากมาย ทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายก็เพียงพอ หรือถ้าเป็นทหารฝีมือดีจริง ๆ แค่เจ็
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง