คำพูดนี้ ต้าสิงฮ่องเต้ที่อยู่ในอาการหนัก ราวกับได้ยินพระองคทรงขยับปลายนิ้วเบาๆ ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้หากไม่สังเกตก็คงไม่มีใครเห็นหลี่เฉินนั่งตัวตรง มองต้าสิงฮ่องเต้ลึกซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวออกจากตำหนักเฉียนชิงวันรุ่งขึ้น ราชสำนักเปิดประชุมเช้าตามปกติหลี่เฉินยืนอยู่บนแท่นพระที่นั่ง เคียงข้างบัลลังก์มังกร สายตากวาดมองหมู่ขุนนางที่ยืนเรียงรายด้านล่าง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เหล่าขุนนาง หากมีเรื่องให้กราบทูล ก็กล่าวมา หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุม"แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องสายตาของหลี่เฉินแวบมองไปยัง หลี่อิ๋นหู่ โดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น เขารู้ว่า นี่คือการโจมตีระลอกแรกของจ้าวเสวียนจีที่ผ่านมาในการประชุมเช้า หากเขาไม่อนุญาต หลี่อิ๋นหู่จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแต่วันนี้ เขาไม่ได้เรียกหลี่อิ๋นหู่มา ทว่าหลี่อิ๋นหู่กลับมาเองณ จุดเวลาอันอ่อนไหวเช่นนี้ ความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจมองข้ามเป็นไปตามคาด หลังจากที่หลี่เฉินกล่าวจบ หลี่อิ๋นหู่ก็ก้าวออกมาทันที "กราบทูลองค์รัชทายาท ข้ามีเรื่องจะทูล"มันเริ่มขึ้นแล้วและผู้เปิดฉาก คือหลี่อิ๋นหู่เองหลี่เฉินหรี่ตา
ราชโองการสำนึกผิด!ราชโองการสำนึกผิด หมายถึงราชโองการที่ใช้แถลงถึงความผิดและบาปกรรมของตนเองพูดให้ชัดเจนก็คือ หนังสือสารภาพผิดหรือคำสารภาพผิดระดับสูงสุดแต่ปัญหาก็คือ ในเมื่อเป็นราชโองการ ก็ต้องเป็นฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งนี้ได้และฮ่องเต้ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของราชสำนักในยุคศักดินา ครองแผ่นดินเป็นของตระกูล เป็นเจ้าเหนือหัวของไพร่ฟ้าทั้งปวง เขาจะทำผิดได้อย่างไร?ฮ่องเต้ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนให้เป็นผู้ถูกต้องตลอดเวลา ไม่มีวันทำผิด และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาลหากภาพลักษณ์นี้พังทลาย ฮ่องเต้ก็จะมีอีกสมญานามหนึ่งว่า ฮ่องเต้โง่เขลาและหากมีการออกราชโองการสำนึกผิด นั่นหมายถึง ฮ่องเต้ได้ยอมรับด้วยตนเองว่าเป็น ฮ่องเต้โง่เขลาดังนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหวาเซี่ย ฮ่องเต้ที่เคยออกราชโองการสำนึกผิด มีอยู่เพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นและพวกเขาแทบทั้งหมดออกคำสั่งนี้ในสถานการณ์เดียวกันเมื่อแคว้นของตนกำลังเผชิญปัญหาภายในและภายนอกจนใกล้ล่มสลายในช่วงเวลานี้ เพื่อเรียกความศรัทธาจากไพร่ฟ้า และเพื่อรวมพลังจากเหล่าขุนนางและแม่ทัพ ฮ่องเต้ จะออกราชโองการสำนึกผิดเน
"ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ทำสิ่งใด จะใช้ส่วนตัวหรือเติมเต็มคลังหลวงก็ตาม แต่ความจริงก็คือองค์รัชทายาทได้เป็นตัวอย่างที่เลวร้ายไปแล้ว หากในอนาคตขุนนางคนอื่นมีงานมงคลหรือไว้ทุกข์ พวกเขาก็สามารถรับของขวัญเป็นจำนวนมากเช่นนี้ได้กระนั้นหรือ? เช่นนี้ไม่ใช่การส่งเสริมลมร้ายและอธรรมดอกหรือ?"คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ดังก้องไปทั่วพระที่นั่งในขณะนี้ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม เป็นแบบอย่างของขุนนางที่ซื่อสัตย์และสุจริตจนกระทั่งหลี่เฉินจ้องมองเขาแล้วกล่าวขึ้นว่า "ดีมาก จ้าวอ๋อง ในที่สุดก็กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา""ในราชสำนัก คงมีอีกหลายคนที่คิดเช่นเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่?"สายตาของหลี่เฉินกวาดไปทั่วหมู่ขุนนางในพระที่นั่งไท่เหอก่อนเอ่ยอย่างเยือกเย็น "ผู้ใดคิดเช่นเดียวกับจ้าวอ๋อง ก้าวออกมาให้ข้าเห็นหน่อยสิ"ทั่วทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบงันจ้าวอ๋อง เป็นผู้ที่ออกตัวขัดแย้งกับองค์รัชทายาทโดยตรง แต่ผู้ใดที่มีสมองย่อมไม่กล้าออกมาสนับสนุนเขา โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่เช่นนี้ การเลือกข้างผิดพลาด อาจหมายถึงชีวิตขุนนางที่สามารถก้าวเข้ามาในพระที่นั่งไท่เหอ และมีสิทธิ์ร่วมต
คำกล่าวของฟู่อวี้จือราวกับเป็นเข็มกระตุ้นหัวใจให้กับบรรยากาศอันตึงเครียดในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางทุกคนต่างสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองฟู่อวี้จือ“เงินเดือนขุนนาง ค่าใช้จ่ายของราชสำนัก ค่าจ้างทหาร ตลอดจนการบรรเทาภัยพิบัติ ล้วนมีระเบียบและกฎเกณฑ์ คลังหลวงเก็บภาษีได้ในแต่ละปี แม้ไม่เพียงพอสำหรับทุกค่าใช้จ่าย แต่ก็สามารถจ่ายได้บางส่วน องค์รัชทายาทจะมาใช้เล่ห์กลปั่นหัวผู้คนและบิดเบือนความจริงได้อย่างไร?”คำพูดเพิ่งจบลง ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมากลางคัน“ใต้เท้าฟู่ คำกล่าวนี้ผิดถนัดแล้ว”ประโยคเปิดหัวคล้ายกัน แต่เปลี่ยนผู้พูดไปเป็นสวีฉังชิงเขายืนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนกล่าวว่า “ค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างนั้นแน่นอนว่าต้องใช้เงินจากคลังหลวง แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธคือคลังหลวงขาดแคลนมาหลายปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ปีที่แล้วเกิดภัยพิบัติ ฝ่าบาททรงเมตตาต่อราษฎร จึงยกเว้นภาษีในหลายพื้นที่ นั่นจึงทำให้ไม่เพียงแต่รายได้จากภาษีลดลง แต่คลังหลวงยังต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ รายรับกับรายจ่ายที่สวนทางกันเช่นนี้ ใต้เท้าฟู่คิดว่าช่องว่างมันมากเพียงใดกัน?”“ปีที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะองค์รัชท
เมื่อสวีฉังชิงก้าวออกมา บรรยากาศในพระที่นั่งไท่เหอก็พลันคึกคักขึ้นทันทีเหล่าขุนนางจากสำนักราชเลขาต่างออกมาตอบโต้โจมตีสวีฉังชิง แต่ฝ่ายตำหนักบูรพาเองก็ไม่ได้อ่อนข้อให้เช่นกันด้วยการนำของสวีฉังชิง ขุนนางฝ่ายตำหนักบูรพาก็เริ่มลุกขึ้นมาโต้กลับ แม้ว่าจำนวนจะน้อยกว่า อายุโดยรวมจะอ่อนกว่า อีกทั้งตำแหน่งก็ไม่สูงเท่ากับฝ่ายสำนักราชเลขา แต่พวกเขาก็หาได้เกรงกลัวไม่ปะทะกันไปมา เพียงไม่กี่คำก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามโกรธจนแทบกระอักเลือดท้ายที่สุด ด้วยการส่งสัญญาณของซูเจิ้นถิง กองทัพก็ลงมาร่วมวงด้วยบรรดาเหล่านายทหารผู้หยาบกระด้างเหล่านี้ โดยปกติแล้วไม่มีสิทธิ์และโอกาสมากนักในการแสดงความคิดเห็นในพระราชสำนัก แต่เมื่อมีโอกาสเข้ามาถึง พวกเขาก็ไม่รีรอการปะทะคารมระหว่างบัณฑิต แม้จะแหลมคม แต่ก็มักเต็มไปด้วยถ้อยคำสูงส่งและซับซ้อน ทว่าเมื่อฝ่ายทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง คำพูดที่ออกมากลับเป็นภาษาชาวบ้านที่เรียบง่ายแต่กระแทกใจพระที่นั่งไท่เหอวุ่นวายจนแทบกลายเป็นตลาดสดจ้าวเสวียนจีที่เฝ้าสังเกตการณ์โดยไม่กล่าวอันใดมาตลอด เหลือบมองสวีฉังชิงท่ามกลางฝูงชน พลางถอนหายใจอย่างเงียบงันก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยให
“ผู้อาวุโสหมายความว่า ให้ข้าสละตำแหน่ง แล้วให้จ้าวอ๋องขึ้นมาแทนหรือ?”เสียงของหลี่เฉินหนักแน่น ก้องกังวานไปทั่วพระที่นั่งไท่เหอจ้าวเสวียนจีหาได้หวั่นไหวไม่ สีหน้าสงบนิ่ง ทว่าคำพูดกลับเฉียบคมและหนักแน่น “องค์รัชทายาททรงตรากตรำเพื่อราชสำนักมาเนิ่นนาน ถึงเวลาสมควรพักผ่อนเสียบ้าง ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์พี่น้องเหนือสิ่งอื่นใด ให้จ้าวอ๋องช่วยแบ่งเบาภาระพระองค์ ถือเป็นเรื่องที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานแน่นอน”“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว!”หลี่อิ๋นหู่ตื่นเต้นจนตัวสั่น เขาแทบจะมองเห็นภาพตนเองยืนอยู่ข้างบัลลังก์มังกร และยิ่งไปกว่านั้น ภาพที่เขาได้นั่งบนบัลลังก์ด้วยตนเองเริ่มแจ่มชัดขึ้นทุกทีแต่ละภาพที่แล่นเข้ามาในหัว ล้วนทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่านเขาหันไปมองหลี่เฉิน กล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความหมายลึกซึ้ง “องค์รัชทายาท ข้าน้อยแม้ความสามารถด้อยกว่า แต่ก็เต็มใจแบ่งเบาภาระของพระองค์ ขอองค์รัชทายาทได้โปรดเห็นแก่ความหวังดีของข้าด้วย”เสียงของหลี่เฉินเย็นชา ทว่าเปี่ยมด้วยอำนาจ เขาแม้แต่จะปรายตามองหลี่อิ๋นหู่ยังไม่คิดจะทำ “ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้าพูด ถอยไปซะ!”สีหน้าของหลี่อิ๋นหู่แข็งค้างทันทีถูกตว
“ข้าเป็นองค์รัชทายาท ส่วนเจ้าเป็นเพียงองค์ชายต่ำศักดิ์ เจ้ามากราดเกรี้ยวต่อราชสำนักเยี่ยงนี้ แล้วขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษเล่า? ความอาวุโสลำดับชั้นเล่า?”“ข้ามีพระราชโองการจากเสด็จพ่อ ประทานอำนาจสำเร็จราชการให้ข้าดูแลกิจการทั้งปวงของราชสำนัก หากเจ้าขัดข้า ก็เท่ากับขัดขืนเสด็จพ่อ มีสิ่งใดแตกต่างจากการก่อกบฏ?”สองประโยคของหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่แข็งค้างไม่ว่าหลี่อิ๋นหู่จะกล่าวสิ่งใด แต่ด้วยฐานะของหลี่เฉินและพระราชโองการที่พระบิดามอบให้นั้น ก็เหมือนกับชุดเกราะที่ทำให้หลี่เฉินอยู่ในสถานะไร้เทียมทานนี่คืออำนาจทางกฎหมายที่ไม่มีใครข้ามผ่านไปได้และในแผ่นดินนี้ มีเพียงต้าสิงฮ่องเต้เท่านั้น ที่สามารถเพิกถอนอำนาจนี้ได้แต่พระราชโองการนี้ เป็นสิ่งที่ต้าสิงฮ่องเต้ทรงมอบให้หลี่เฉินด้วยพระองค์เอง พระองค์จะทรงเพิกถอนมันได้หรือ?อย่างน้อย... ตอนนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้หลี่อิ๋นหู่รู้สึกอึดอัดจนแทบกระอักเลือดในเวลานี้ จ้าวเสวียนจีจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง“องค์รัชทายาท หน้าที่ของขุนนาง คือการช่วยเหลือฝ่าบาทบริหารราชกิจ แต่ในยามที่ผู้ครองอำนาจขาดวิจารณญาณ พวกเราต้องกล้าที่จะทูลทัดทาน กล้าท
องค์รัชทายาทฆ่าคนมาแล้วมากมายมีตัวอย่างนับไม่ถ้วนที่พิสูจน์ว่า ไม่มีใครที่องค์รัชทายาทไม่กล้าฆ่ามหาบัณฑิตจากสำนักราชเลขา? เขาก็เคยฆ่ามาแล้วแม้แต่ทูตจากแคว้นเหลียว เขายังสังหารต่อหน้าเย่ลู่เสินเสวียนได้เลยชื่อเสียงแห่งความโหดเหี้ยมขององค์รัชทายาท สร้างขึ้นมาจากเลือดของคนเหล่านั้นดังนั้นเมื่อเขากล่าวว่า จะฆ่าจ้าวเสวียนจี ไม่มีขุนนางคนใดในท้องพระโรงที่คิดว่าเขาไม่กล้าทำยกเว้นเพียง จ้าวเสวียนจีเพียงผู้เดียวเขาเงยหน้ามองหลี่เฉิน สีหน้าเรียบเฉย ก่อนกล่าวว่า "หากองค์รัชทายาทเห็นว่าหม่อมฉันสมควรถูกสังหาร หม่อมฉันก็ยินดีมอบศีรษะนี้ให้พระองค์ได้ลงมือ"มีบางปัญหา หากแก้ไม่ได้ ก็ตัดรากถอนโคนมันเสียแต่บางปัญหา หากแก้ไขได้ ก็ควรแก้ไขที่ตัวปัญหา การกำจัดคนที่สร้างปัญหาออกไป อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมจ้าวเสวียนจีเข้าใจเรื่องนี้ดี และหลี่เฉินก็เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นจ้าวเสวียนจีจึงไม่รู้สึกหวาดหวั่นเพราะหากหลี่เฉินเสียสติถึงขั้นสังหารเขาต่อหน้าขุนนางทั้งหมด วันพรุ่งนี้ ราชสำนักต้าฉินก็ต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆและนี่คือราคาที่หลี่เฉินไม่มีทางยอมจ่ายและเขาก็ไม่ยอมจ่ายจริงๆ“
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง