“อึก…อ๊ะ” เสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกมาจากกลีบปากอวบอิ่มที่เผยอออกน้อยๆ ใบหน้างามซบลงกับผ้าปูเตียงขณะจิกเล็บระบายอารมณ์ซาบซ่านรัญจวน กลิ่นกำยานหอมอ่อนแตะจมูกพาให้สติล่องลอยไปในดินแดนอันไกลโพ้น
“ท่านงดงามเหลือเกินพระสนม” เสียงแหบต่ำของบุรุษเพศดังขึ้นเหนือศีรษะ ใบหน้าคมคร้ามพิศมองดวงหน้าแดงเรื่อเย้ายวน ยิ่งต้องแสงจากเชิงเทียนคล้ายโดนมนตร์จิ้งจอกล่อลวงให้ลุ่มหลง
ร่างกำยำโหมกายด้วยจังหวะหนักหน่วงเมื่อใกล้ปลดปล่อยอารมณ์กำหนัด สะโพกกลมกลึงกระดอนตามแรงส่ง กระทบหน้าขาแกร่งเกิดเป็นเสียงดังก้องทั่วห้อง ราวกับนักรบควบขี่อาชาศึกคู่ใจยามออกรบ
“อึก…โปรดเบาแรงด้วยท่านแม่ทัพ” คนใต้ร่างร้องขอด้วยเสียงระโหยโรยแรง ดวงตาหงส์คลอหยาดน้ำจวนจะรินไหล
การรองรับบุรุษร่างใหญ่โต อีกทั้งเรี่ยวแรงมหาศาลเป็นเวลา 2 ชั่วยาม สำหรับสตรีบอบบางเช่นนางช่างหนักหนานัก
“ฮึก” คล้ายอีกคนไม่สนใจ ซ้ำกระทำหนักหน่วงขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว เมื่อทนความเจ็บแสบไม่ไหวทำได้เพียงปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลลงมา เผื่อว่ามันจะช่วยแบ่งเบาความรู้สึกเจ็บปวดนี้ลงได้บ้าง แม้สักเสี้ยวก็ยังดี
หารู้ไม่ว่าเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ สีหน้าทรมานและดวงตาคลอน้ำกระตุ้นสัญชาตญาณดิบในกายบุรุษให้ลุกโหม สอบสะโพกหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนคนรองรับแทบขาดใจตาย
แม้เจ็บปวดเจียนตายสักกี่ครั้ง กระนั้นภาพใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษผู้หนึ่งยังติดตรึงในใจมิห่างหาย มีหลายคราที่ใบหน้าแม่ทัพหนุ่มซ้อนทับกับใบหน้าพระสวามี
หลิวหานเฟิงที่นางรักยิ่ง ส่งนางมาบำเรอแม่ทัพใหญ่ ‘อวิ้นมู่’ บุรุษองอาจผู้กุมอำนาจทางการทหาร ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
กลีบดอกไม้สวยสดเปิดอ้าออกร้าวระบมหนัก เลือดสีจางติดออกมากับปลายหัวมนหยักยามขยับเข้าออก กิจกรรมเข้าจังหวะแสนเนิ่นนานพาให้เหงื่อไหลตามกรอบหน้าและอกแกร่ง กลิ่นอายบุรุษเพศเจือกลิ่นราคะฟุ้งไปทั่วห้องหับโอ่อ่า ผสานเข้ากับกลิ่นกำยานหอมอ่อน ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้มิอาจเบาแรง
วันนี้สองพี่น้องเล่นกับร่างกายนางทั้งวันยังไม่พอ สลบไปมิคาดยามฟื้นขึ้นมาถูกย่ำยีต่อโดยบุรุษอีกผู้หนึ่ง
“อึก” ร่างบางผวาเฮือกเมื่อความใหญ่โตที่ผงาดในกลีบดอกบานสะพรั่งถูกกระชากออก ก่อนความรู้สึกอุ่นรินรดบริเวณสะโพกเต่งตึง เปรอะเปื้อนน้ำสีขุ่นคล้ายเป็นศิลปะที่คนบนร่างแต่งแต้มลงบนกระดาษขาวนวล
“พักผ่อนเสียเถิด…พระสนม” เสียงแหบต่ำก้มลงกระซิบข้างหู ริมฝีปากร้อนบรรจงจูบบนแก้มนวลแผ่วเบา เป็นการกระทำที่อ่อนโยนแตกต่างจากการกระทำราวสัตว์ป่าเมื่อครู่นัก
ร่างอ่อนแรงนอนคว่ำหน้าในท่าเดิมเมื่อไม่อาจขยับตัวได้อย่างใจนึก ผ้าผืนหนาถูกห่มให้อย่างเบามือก่อนรับรู้ได้ว่าตอนนี้นางอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อรู้สึกปลอดภัยดวงตาปรือปรอยจึงค่อยปิดลง ขับน้ำปริ่มขอบตาให้รินไหลอาบแก้ม
ความเหนื่อยล้าทำให้หลับสนิทภายในหนึ่งลมหายใจ ทว่าความเจ็บปวดกลับเหมือนฝันร้ายที่ต้องเผชิญทั้งยามหลับใหลและยามตื่น
“หน้าที่ของเจ้าคือการช่วยองค์ชายสามให้ได้ขึ้นครองบัลลังก์” น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือกระแสกดดันสายหนึ่ง พาให้คนฟังสั่นสะท้านหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ
เพราะนางรู้ดี ‘หน้าที่’ ที่บิดากล่าวหมายถึงสิ่งใด
“แม้ต้องแลกด้วยความเจ็บปวดของลูกอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ถึงกระนั้นเสียงหวานเจือสะอื้นยังคงถามกลับ ดวงตาหงส์คลอหน่วยด้วยหยาดน้ำที่พยายามกักเก็บไว้อย่างสุดความสามารถ
แต่จะมีประโยชน์อันใด เมื่อแววตาคู่นั้นเปิดเปลือยทุกความรู้สึก
“เจ้าต้องเสียสละเพื่อตระกูล” ทว่าเหมือนบุรุษผู้มีดวงตานิ่งสงบดุจผืนฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิดจะมองไม่เห็น หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะไม่ได้สนใจ เมื่อเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ไร้ซึ่งความเห็นใจ แม้ตอนนี้ใบหน้างดงามจะเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตามากมายเพียงใดก็ตาม
“ต่อให้เจ็บปวดเจียนตายก็ต้องทำ หรือต้องให้ย้ำว่าเพราะเหตุใด” ประโยคแสนใจร้ายยังคงถูกเอื้อนเอ่ย ก่อนจากไปไม่วายทิ้งท้ายคำพูดโหดร้ายไว้อย่างเลือดเย็น เปรียบดั่งตราบาปที่คอยตอกย้ำทุกเมื่อเชื่อวัน
“เพราะนี่คือชะตากรรมที่เจ้าต้องเผชิญ”
‘อิงอี้หราน’ บุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีกรมพระคลัง สตรีผู้มีใบหน้างดงามดั่งดอกเหลียนฮวาอันบริสุทธิ์ เรือนร่างเย้ายวนดุจดอกเหมยกุ้ยฮวา บุปผางามล่มเมืองที่ไม่ว่าบุรุษใด พานพบเป็นต้องลุ่มหลง
เพียบพร้อมด้วยรูปลักษณ์และสติปัญญา หญิงสาวทั่วทั้งแคว้นต่างอิจฉาตาร้อนกับความงามเป็นเอกนี้
โชคร้ายเดียวที่นางมี คงเป็นเพียงเกิดมาพร้อมดวงกินพี่กินน้อง ฮูหยินที่กำลังตั้งครรภ์แท้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ อนุที่ยังคงไม่มีบุตรไร้ทีท่าว่าจะมีในเร็ววัน ต่อให้รับอนุเข้ามาเพิ่มกี่คนต่อกี่คนผลลัพธ์ยังคงเดิม
ตระกูลขุนนางเก่าแก่ขาดบุตรชายสืบสกุล
ความรุ่งโรจน์ในอดีตเริ่มเสื่อมถอย
หนทางเดียวที่จะทำให้ตระกูลอิงอยู่รอด ซ้ำยังรักษาตำแหน่งในราชสำนักไว้อย่างมั่นคง คือการส่งมอบบุตรีตบแต่งเป็นพระสนมขององค์ชายสามหลิวหานเฟิง ผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์มากที่สุด
อิงอี้หรานแม้นมีชะตากาลกิณีต่อตระกูล ทว่าน่าขันนักเมื่อนางมีชะตาเสริมส่งบุรุษผู้สูงศักดิ์ ซึ่งภายภาคหน้าจะได้เป็นถึงกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน
อำนาจอันหอมหวานที่ต้องแลกมาด้วยเรือนร่างอันบอบช้ำ และหัวใจแตกสลายของสตรีนางหนึ่ง
ยาสีเขียวคล้ำที่บรรจุในถ้วยถูกกรอกเข้าไปในริมฝีปากสีซีด ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวยามปลายลิ้นรับรสขมปร่า มันกระจายไปทั่วปากก่อนที่จะไหลลงคอ จากร่างกายเย็นเหยียบแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มในไม่กี่ลมหายใจ มันคือยาสูตรใหม่ ที่ถูกหนิงซูเหวินคิดค้นขึ้นมา มีฤทธิ์แรงกว่าเดิมอีกหนึ่งเท่าตัว “องค์ชาย…ได้โปรด หม่อมฉันต้องการมากกว่านี้” สุ่ยชิงบิดตัวไปมาอย่างทรมาน รสสวาทธรรมดาดูเหมือนจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ ความเร่าร้อนรุนแรงต่างหากคือสิ่งที่นางปรารถนา “ดี…ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความสุขสมเจียนตายเชียวล่ะ” หนิงซูเหวินพอใจยิ่งนัก ยาของเขาให้ผลที่ดีเกินคาด ร่างกายของสุ่ยชิงคงพร้อมสำหรับสิ่งที่ตระเตรียมไว้ให้แล้ว “อ๊ะ…อ้า…องค์ชาย” สุ่ยชิงใช้ดวงตาหยาดเยิ้มมองตามลำลึงค์ร้อนผ่าวที่ถูกเคลื่อนออก โพรงนุ่มกระตุกรัดอากาศให้รู้สึกวูบโหวงในท้อง “ไม่ต้องกังวล อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้ครอบครองมันสมใจแน่” หนิงซูเหวินอุ้มร่างที่กำลังบิดเร่าไปมาด้วยความต้องการไปที่คอกม้า อาชาศึกโตเต็มวัยกำลังกลัดมัน เห็นดังนั้นหนิงเฟยฉีที่ตามมาไม่ห่างจึงอดที่จะถามไม่ได้ “เสด็จพี่ นางจะรับไห
นางกำนัลหายตัวไปอย่างปริศนาเป็นเรื่องที่กำลังโด่งดังในขณะนี้ ซ้ำนางกำนัลที่หายตัวไป ล้วนแต่เป็นผู้มีหน้าตาหมดจรดงดงาม มีคนคาดเดาไปต่างๆนานา บ้างก็ว่าพวกนางถูกลักพาตัวไปโดยผู้มีอำนาจ บ้างก็ว่าพวกนางถูกซื้อตัวไปเป็นนางอุ่นเตียงในราคาสูงลิ่ว บ้างก็ว่าพวกนางหนีตามคนรัก ทว่าความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น องค์จักรพรรดินีไม่ได้นิ่งนอนใจ มีคำสั่งให้หน่วยวิหควาโยสืบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน “อึก…ซี๊ด” ร่างบอบบางกระตุกเกร็งขณะที่กลีบบุปผาถูกกดลงให้รับกับลำลึงค์ที่กำลังตั้งแข็ง ดวงตาเหลือกขึ้นด้านบน ขณะที่ลิ้นจุกปาก ความอุ่นร้อนทะลักเข้ามาในโพรงนุ่มก่อนที่นางจะแน่นิ่งไป ไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต “พวกท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง…หากเสด็จแม่รู้เข้าจะทำเช่นไร” ร่างที่เพิ่งเสร็จสมนั่งหอบหายใจบนเก้าอี้ แขนขาถูกมัดแน่นหนาทว่ากลางกายกลับสุขสม มองพระเชษฐาทั้งสองด้วยสายตาตำหนิ “อย่ากลัวไปเลยน่า เสด็จแม่ไม่รู้หรอก ก็แค่นางกำนัลตัวเล็กๆหายไปไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” ‘หนิงเฟยฉี’ ตวัดตามองพระอนุชา เขาคลายเชือกออกหลังจากพอใจ ปล่อยร่างสูงให้เป็นอิสระ “สิ่งที่น่าส
ฤดูพ้นผ่าน กาลเวลาผันเปลี่ยน สิ้นสุดรัชสมัยจักรพรรดิองค์ก่อน อิงอี้หรานก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดินี ใช้สกุลเดิมของมารดา แคว้น ‘หลิว’ จึงเปลี่ยนเป็นแคว้น ‘หนิง’ สกุลอิงเป็นตระกูลกบฏเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ถูกกวาดล้าง ทว่าก็ไร้สิ้นซึ่งอำนาจ “อ๊ะ…ข้ากำลังตั้งท้องอยู่นะ” หนิงอี้หรานรู้สึกตัวตื่นยามที่ช่วงล่างถูกบางอย่างค่อยๆสอดใส่เข้ามาในร่าง มันแข็งกร้าวและร้อนผ่าว ทั้งยังมีขนาดไม่ธรรมดา นางนอนตะแคงในอ้อมแขนที่กำลังโอบกอดไว้อย่างทะนุถนอม มือของเขาลูบไปบนหน้าท้องนูนป่องของนางอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าลูกน้อยที่กำลังนอนหลับจะตื่น ทั้งที่เขาเองนั่นแหละที่กำลังรบกวนการพักผ่อนของนาง “กระหม่อมจะทำเบาๆ หากท่านง่วงก็นอนเสียเถิด” น้ำเสียงนุ่มละมุนกระซิบชิดริมหู เขาทำอย่างที่พูดเมื่อลำลึงค์ขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวล ถึงกระนั้นใครจะไปหลับลงกันเล่า!! ซือจิ้งประทับริมฝีปากลงบนเส้นไหมหอมกรุ่น สูดดม กลิ่นกายเย้ายวนที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายของจักรพรรดินีเข้าไปเต็มปอด ความเหนื่อยล้าจากการกรำงานหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาถูกความงดงามเบื้องหน้าปัดเป่าไ
“อื้อ…อื้อ” “หม่อมฉันมาหาพระองค์แล้วเพคะ ทรงคิดถึงหม่อมฉันไหมเพคะ” เรียวนิ้วลูบไล้ไปบนกรอบหน้าซีดเซียว ดวงตาหงส์ทอดมองร่างที่เคยสง่างาม ทว่าบัดนี้กลายเป็นเพียงคนพิการ แขนขาด้วนกุดพันไว้ด้วยผ้าสีขาวที่มีเลือดซึมออกมา ร่างถูกมัดไว้บนเตียงในห้องซอมซ่อ ร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตี บางจุดมีแผลพุพองคล้ายถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง “ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากนี่เอง” รอยยิ้มงดงามประดับบนใบหน้า นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูด ภาษาใบ้ของผู้ที่ไม่มีลิ้น!! “หม่อมฉันมีของมาฝากด้วยนะเพคะ” อิงอี้หรานชูห่วงเหล็กที่อยู่ในมือขึ้นมา อีกข้างถือเข็มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติไว้ เพียงเท่านั้นร่างที่นอนเปลือยกายอยู่เริ่มดิ้นพล่าน ขณะที่ อิงอี้หรานใช้เข็มลนกับเพลิงจากเปลวเทียน “อยู่นิ่งๆ สิเพคะ ถ้าหม่อมฉันพลาดขึ้นมา พระองค์จะเจ็บเอาได้นะ” เข็มร้อนถูกแทงเข้าไปในเนื้ออ่อนท่ามกลางเสียงร้องอื้ออ้าฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ามันอ่อนนุ่มเกินไป เช่นนั้นนางจึงทำให้มันแข็งตัว มือเรียววางเข็มไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกอบกุม ลำลึ
ร่างโชกเลือดแลไร้ลมหายใจของหลิวจิ้นอันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ท่ามกลางศพของทหารองครักษ์ที่มีสภาพไม่ต่างกัน “พระสนมเจียวเหม่ยเล่า” หลิวหานเฟิงใช้เท้าเขี่ยร่างพี่ชายต่างมารดาที่เขาชังน้ำหน้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเขาสองคนต่างแย่งชิงทุกสิ่งของกันและกันเสมอมา กระทั่งกลัวว่าเลือดจะเปื้อนรองเท้าจึงชักเท้ากลับ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกแล้ว “หลังจากที่รู้ว่าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ พระนางก็แขวนคอตายตามพ่ะย่ะค่ะ” ซือจิ้งรายงานผู้เป็นนายเสียงเรียบ ดวงตาล้ำลึกไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าเขาบอกไม่หมด พระสนมเจียวเหม่ยไม่ได้แขวนคอตาย ทว่าถูกจับแขวนคอต่างหากเล่า “แล้วขุนนางพวกนั้นเล่า” ขุนนางที่ว่า คือขุนนางที่ร่วมกันก่อกบฏในครั้งนี้ “ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวิ้นมู่ซึ่งได้รับหน้าที่จับกุมกบฏรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด เมื่อมันถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี “ทำได้ดีมาก ข้าจะให้ตำแหน่งที่พวกเจ้าพอใจแน่นอน” รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก วันที่เขาเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึงเสียที
“เสร็จแล้วก็ปล่อยนางเสีย” สุรเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ดวงตาหงส์มองผ่านกระจกสบตากับองค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดสีดำลายพยัคฆ์ มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ออกขณะที่ยังคงมองใบหน้าเย้ายวนที่เพิ่งสุขสม “ท่านมาเร็วกว่าที่ข้าคิด” หลิวหานตงยอมปล่อยร่างงามออกจากอ้อมแขน ลำกายใหญ่ยาวถูกถอนออกมาจากโพรงนุ่มอย่างแสนเสียดาย ลิ้นแลบเลียริมฝีปากอย่างกระหายเมื่อเห็นน้ำที่ตนปล่อยไว้เมื่อครู่ไหลย้อนออกมาทางเดิม อิงอี้หรานก้าวขาสั่นเทาลงจากเก้าอี้ เดินเข้าไปหาร่างองอาจของทายาทมังกรที่วันนี้จะได้เป็นมังกรเต็มตัว นางคุกเข่าลงกับพื้นใช้มือเรียวกอบกุมกลางกายของพระสวามีรูดขึ้นลง ลิ้นเล็กไล้เลียส่วนปลายหัว ก่อนที่จะนำมันเข้าไปในปาก ดูดเม้มจนลำกายร้อนผ่าวแข็งกร้าวคับโพรงปาก “ท่านคงไม่ว่าอะไรนะถ้าข้าจะเข้าไปในตัวนาง ขณะที่นางกำลังใช้ปากปรนเปรอท่าน” หลิวหานตงเห็นดังนั้นจึงอดใจไม่ไหว แม้ว่าเขาเพิ่งจะเสร็จสมไปเมื่อครู่ก็ตามที “หากข้าต้องการ ต่อให้เจ้ายังไม่เสร็จก็ต้องออกมา” ดวงตาคมปรายมองพระอนุชา เป็นการอนุญาตกลายๆ “ข้ามิยอมรับได้ด้วยหรือ”