สายลมเอื่อยพัดกลิ่นหอมของบุปผาลอยเข้ามาทางหน้าต่าง ผมสีหมึกจรดกลางหลังขยับปลิว บางส่วนคลอเคลียแก้มสีชมพูระเรื่อ
สตรีในอาภรณ์แดงปักลายดอกโบตั๋นนั่งเหม่อมองออกไปในสวนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ เครื่องหน้างามล้ำเป็นเอกพานพบเพียงครั้งเดียวชั่วชีวิตนี้มิมีผู้ใดลืมได้ลง
“พระสนม คืนนี้จะมีแขกเพคะ” ‘ลี่ถิง’ นางกำนัลคนสนิทเดินเข้ามาพร้อมถาดในมือ อิงอี้หรานครางรับในลำคอไม่แม้แต่จะหันมามอง
ลี่ถิงวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะตรงหน้าพระสนม บรรจงรินน้ำชาร้อนลงในถ้วยใบเล็ก ควันสีขาวลอยออกมาส่งกลิ่นหอมอ่อนของใบชาแตะจมูก ขนมรูปทรงคล้ายดอกไม้ถูกวางลงข้างกันก่อนที่นางจะเก็บถาดและถอยออกไป
ลี่ถิงเข้าใจท่าทีเหินห่างที่อิงอี้หรานแสดงออก เมื่อ พระสนมรู้ว่าแท้จริงแล้วนางคือคนขององค์ชายหลิวหานเฟิง มาตั้งแต่แรก
ความไว้วางใจดั่งสหายเพียงคนเดียวจึงสั่นคลอน
อิงอี้หรานยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ขบคิดว่าแขกในค่ำคืนนี้จะเป็นผู้ใดหนอ ก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏบนใบหน้า เมื่อพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว
ร่างขาวเนียนถูกนางกำนัลคนสนิทถูด้วยใยนุ่ม ขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดทั่วทุกซอกมุม ชโลมกลิ่นหอมลงบนร่างแลอาภรณ์ ทว่าแม้จะล้างหรือบรรจงจรุงเครื่องหอมยังไงก็มิมีวันหมดจรด ในใจอิงอี้หรานรู้ดีว่าร่างกายนี้แปดเปื้อนมากเพียงใด
ค่ำคืนมืดมิดไร้ซึ่งแสงจันทร์เฉกเช่นใจดวงน้อย เมฆหนาปกคลุมจนยากที่จะพบพานกับแสงสว่าง ร่างกายเย้ายวนถูกประทินด้วยเครื่องหอม กำยานที่สกัดจากบุปผาถูกจุดไว้ข้างเตียง ลี่ถิงและนางกำนัลทั้งสองถอยออกไปนอกห้องเมื่อทำหน้าที่เสร็จสิ้น
อิงอี้หรานหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ไม่ใช่กายแต่เป็นใจ ก่อนที่ดวงตาหงส์จะปรือขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออก ใบหน้าหล่อเหลาคือสิ่งแรกที่ได้เห็น ร่างสูงโปร่งของบัณฑิตผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยกิริยาน่ามอง
เขาคือ ‘ซือจิ้ง’ บุตรชายบุญธรรมของท่านราชครู ถูกเลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นที่สามภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ด้วยอายุยังน้อยหากแต่มีความสามารถเปี่ยมล้น ทั้งยังได้รับความไว้วางพระทัยจากองค์จักรพรรดิมิต่างจากผู้เป็นบิดา อนาคตสดใสรุ่งโรจน์เสียยิ่งกว่าโคมไฟนับพันนับหมื่นที่ถูกจุดให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียอีก
หากได้มาเป็นคนขององค์ชายหลิวหานเฟิง คงไม่ต่างจากติดปีกให้พยัคฆ์ ภายภาคหน้าอาจกลายเป็นกุนซือประจำพระองค์ ดั่งเขี้ยวเล็บของมังกรที่นั่งบนบัลลังก์
อิงอี้หรานยิ้มตอบคนที่เดินเข้ามาหา แม้ในใจขมขื่นเพียงใดทำได้แค่ยินยอม นอนทอดกายให้บุรุษแปลกหน้าเชยชมราวกับบุปผาริมทาง
“กระหม่อมซือจิ้ง ถวายพระพรพระสนม”
“ไม่ต้องมากพิธี ท่านและข้าต่างรู้ดีว่าต้องทำอะไร” อิงอี้หรานปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากกาย ไม่มีท่าทีกระดากอายสักเพียงนิดปรากฏให้เห็น แม้ทั้งร่างเปลือยเปล่าไร้ซึ่งใดปกปิด
“ท่านไม่คิดที่จะต่อต้านบ้างเลยหรือ” ซือจิ้งมองการกระทำนั้นพลันขมวดคิ้ว อดที่จะถามมิได้
“ต่อต้านงั้นหรือ” อิงอี้หรานชะงักไปหนึ่งจังหวะ นางทวนคำเสียงแผ่ว เสียงนั้นไม่ต่างจากกลีบบุปผาแตะบนผิวน้ำ ใบหน้างามล้ำเงยขึ้นสบตาผู้ถาม ราวกับจะค้นหาความหมายในแววตาคู่นั้น เมื่อไม่พบสิ่งใดจึงแค่นเสียงขึ้นจมูก กล่าวไปอีกหนึ่งประโยค
“ถ้าข้าทำเช่นนั้นแล้วจะมีประโยชน์อันใด” ‘ในเมื่อข้าไม่มีผู้ใดเลย’ สิ่งที่คิดอยู่ภายในใจไหนเลยอยากให้ผู้อื่นรับรู้ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะจางหายกลายเป็นเพียงรอยยิ้มการค้าที่ฉาบบนใบหน้า
นางตัวคนเดียว ถูกคนในตระกูลรังเกียจ พระสวามีซึ่งเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวทำราวกับนางมิมีชีวิตจิตใจ เช่นนี้จะหันหน้าไปพึ่งผู้ใดได้อีก
“เพราะอย่างนี้ถึงยอมตกเป็นเบี้ยหมากให้ผู้อื่นงั้นหรือ” ซือจิ้งเข้าประชิดตัวพระสนม กักร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขน อิงอี้หรานมองดวงตางดงามคู่นั้น ก่อนที่สายตาจะเลื่อนมองไฝเม็ดเล็กที่แต้มอยู่ใต้ตาข้างซ้าย ทั้งที่มันควรจะเป็นตำหนิ ทว่ากลับยิ่งขับให้ดวงตาของเขาเฉียบคมมากยิ่งขึ้น ราวกับจะมองทะลุปรุโปร่งเข้ามาในใจของนาง
“แล้วท่านคิดว่าข้ามีทางเลือกอื่นงั้นหรือ” อิงอี้หรานไล่ความคิดไร้สาระนั้นออกจากสมอง ใบหน้างามก้มลงต่ำ มือลอบกำแน่นอย่างคับข้องใจ แม้อยากต่อต้านเพียงใดทำได้แค่คิดเพียงชั่วครู่ เมื่อมองไปทางใดไม่พบคนของตนแม้เพียงสักคน
“บุปผางามล่มเมืองเช่นท่าน ใยจะมิมีทางเลือก”
“ความงามของท่าน หากให้บุรุษเชยชมแล้วเด็ดทิ้ง แทนที่จะนับรอวันแห้งเหี่ยว มิสู้ใช้ใบหน้าและเรือนร่างนี้ให้เป็นประโยชน์ดีกว่าหรือ” นิ้วเรียวเชยคางพระสนมให้เงยขึ้นมาสบตา อิงอี้หรานมองดวงตาเรียวรีคู่นั้นอย่างเผลอไผล มันเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตที่นางไม่มี ประกายเจิดจ้ากระแทกจนดวงตา พร่าเบลอ
ความมุ่งมั่นฉายชัดในนั้น แม้ถูกพายุโหมกระหน่ำร้อยพันครั้งก็ไม่มีวันสั่นคลอน
“บุปผาที่ถูกผู้อื่นใช้เป็นบันไดเดินขึ้นสู่บัลลังก์ เหตุใดมิใช้ความงามนี้แผ้วถางทางให้ตน ก้าวขึ้นเป็นใหญ่แทนเล่า” ลมอุ่นรินรดข้างใบหูเมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าใกล้ กระซิบเสียงแผ่วทว่าดังก้องในหัวคนฟัง ก่อนจะเลื่อนลงมายังลำคอระหง คลอเคลียไม่ห่างสูดกลิ่นหอมอ่อนเข้าจมูก
“รู้ตัวหรือไม่ว่ากล่าวสิ่งใดออกมา” อิงอี้หรานเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดอาจหาญเช่นนี้จากขุนนางผู้รับใช้ใกล้ชิดองค์จักรพรรดิ
นี่ไม่ต่างจากคิดก่อกบฏเลยมิใช่หรือ!!
“กระหม่อมไม่ใช่คนพูดจาเลื่อนลอย ซ้ำยิ่งไม่ใช่คนเลอะเลือน หากท่านอยากปีนขึ้นจากหลุมดำมืดนี้ กระหม่อมสามารถช่วยท่านได้” ซือจิ้งผละออกมาเพียงเล็กน้อยเพื่อสบกับดวงตาสั่นไหวของคนใต้ร่าง มันมีทั้งความหวาดกลัวและความลังเลใจอยู่ในนั้น แม้จะเป็นเพียงระลอกคลื่นเล็กน้อย ทว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“ไม่ว่าคำพูดของท่านจะสวยหรูเพียงใด สุดท้ายท่านก็ไม่ต่างจากผู้ที่ตนเองกล่าวหา ใช้ข้าเป็นหมากเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว” อิงอี้หรานตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแม้มิได้ตวาด ดวงตาเย็นชาสบกับคนที่มองอยู่เพื่อให้เขารับรู้ว่านางไม่ได้หัวอ่อนปานนั้น ถึงตอนนี้รอยยิ้มบางที่ประดับบนใบหน้าเองก็เลือนหายไปแล้ว
“ท่านหลุดพ้นจากการเป็นบุปผาให้บุรุษมากหน้าเชยชม ส่วนกระหม่อมได้ในสิ่งที่ต้องการ เรียกว่าผลประโยชน์ร่วมกันจะเหมาะกว่ากระมัง” ซือจิ้งช่างมีวาทศิลป์ยิ่งนัก นอกจากจะไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้ว ยังมีวิธีโน้มน้าวใจให้คล้อยตาม น้ำเสียงนุ่มทุ้มนั้นหรือก็ชวนฟัง
“สิ่งที่ท่านปรารถนาคือสิ่งใด” อิงอี้หรานยังคงหวาดระแวง ยิ่งอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ไม่ชัดเจน ทว่ากล้ากระทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าจุดมุ่งหมายจะยิ่งใหญ่กว่าเพียงไร
“กระหม่อมบอกได้เพียงสิ่งนั้นไม่ส่งผลเสียต่อท่านอย่างแน่นอน” คำตอบคล้ายมิได้ตอบนี้ทำให้อิงอี้หรานขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้ขบคิดกลับถูกจู่โจมด้วยริมฝีปากอุ่น ฉกชิมความหวานจากคนบนเตียงอย่างไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไปราวกับจะหลอกล่อให้หลงไปในสวนบุปผา มัวเมาไปกับรสสัมผัสวาบหวามมิต่างจากผึ้งได้ลิ้มลองเกสรดอกไม้เป็นครั้งแรก กวาดต้อนไปทั่วโพรงปากเพื่อหาน้ำหวาน
“เช่นนี้แล้วจะร่วมมือกับกระหม่อมหรือไม่” ดวงตาสีนิลมองร่างอ่อนระทวยในอ้อมแขนกำลังหอบหายใจเข้าปอดด้วยดวงตาเลื่อนลอย ถามเอาคำตอบขณะที่อีกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว คาดว่ายังหาทางออกจากสวนบุปผามิเจอกระมัง
“ตกลง” อิงอี้หรานตอบกลับหลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจ ทว่าแท้จริงก็คิดตกตั้งแต่แรก เพียงต้องการความมั่นใจเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งใดที่ซือจิ้งต้องการ หากช่วยให้หลุดพ้นจากหมากกระดานนี้ได้ นางก็ไม่สนใจวิธีการ
“แล้วท่านจะไม่เสียใจภายหลังแน่นอน กระหม่อมให้สัญญา” ซือจิ้งยิ้มอย่างพึงใจ นิ้วเรียวลูบใบหน้างามอย่างแผ่วเบา ก่อนก้มลงจุมพิตมอบรางวัลให้อิงอี้หรานอ่อนระทวยอีกรอบ
ปรนนิบัติบุรุษมานักต่อนัก ไม่เคยมีครั้งไหนได้รับความอ่อนโยน ทะนุถนอมราวกับนางเป็นบุปผาแสนบอบบางเช่นนี้มาก่อน
ยามกายแกร่งแทรกเข้ามาในร่างก็แสนนุ่มละมุน ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอออกหอบหายใจด้วยความรัญจวน ใบหน้าแดงระเรื่อมีเหงื่อเม็ดเล็กไหลลงตามกรอบหน้า อกอวบสะท้านขึ้นลงตามจังหวะ นิ้วมือทั้งห้าสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
“อ๊ะ แรงกว่านี้” เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสูงจนยากที่จะหยุดยั้ง ร่างบอบบางบิดเร่าไปมาอย่างทนไม่ไหว สุดท้ายร้องขอให้อีกคนทำเรื่องน่าอายอย่างใจกล้า เนื่องด้วยที่ผ่านมาได้รับแต่ความรุนแรงจนร่างกายเริ่มชินชา ไม่คุ้นเคยกับความอ่อนละมุนจนกลายเป็นความทรมานเช่นนี้
“ท่านชอบความรุนแรงหรือพระสนม” สะโพกสอบอัดกระแทกแรงขึ้นตามคำขอ จังหวะหนักหน่วงเร่งให้ร่างงามไปถึงจุดแตกดับ เพียงไม่นานกระตุกเกร็งขับน้ำหวานสีใสออกมาเคลือบลำลึงค์ที่ยังคงสอดไว้ในร่าง
ซือจิ้งขยับต่อเมื่อเขาเองก็เริ่มทานทนไม่ไหว โพรงอ่อนนุ่มรัดแน่นยิ่งกว่าเดิมในตอนที่อิงอี้หรานสุขสม มันตอดกระตุกจนปลายหัวปริ่มน้ำแทบจะหลั่งของเหลวออกมา ความอ่อนโยนถูกแทนที่ด้วยความเร่าร้อน เมื่ออารมณ์กำหนัดพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด
ทว่าในความหนักหน่วงก็ยังคงมีความนุ่มนวลในทุกการกระทำ อิงอี้หรานรับรู้ได้จนเผลอใจเต้นผิดจังหวะ ความอ่อนหวานไร้ที่มาก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบในใจ โดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว
“อ๊ะ…ซือจิ้ง”
เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าบุรุษผู้ร่วมรักมิถูกทับซ้อนด้วยใบหน้าของพระสวามี เป็นครั้งแรกที่ริมฝีปากอ้าออกเพื่อครางชื่อของบุรุษอื่น
ยาสีเขียวคล้ำที่บรรจุในถ้วยถูกกรอกเข้าไปในริมฝีปากสีซีด ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวยามปลายลิ้นรับรสขมปร่า มันกระจายไปทั่วปากก่อนที่จะไหลลงคอ จากร่างกายเย็นเหยียบแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มในไม่กี่ลมหายใจ มันคือยาสูตรใหม่ ที่ถูกหนิงซูเหวินคิดค้นขึ้นมา มีฤทธิ์แรงกว่าเดิมอีกหนึ่งเท่าตัว “องค์ชาย…ได้โปรด หม่อมฉันต้องการมากกว่านี้” สุ่ยชิงบิดตัวไปมาอย่างทรมาน รสสวาทธรรมดาดูเหมือนจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ ความเร่าร้อนรุนแรงต่างหากคือสิ่งที่นางปรารถนา “ดี…ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความสุขสมเจียนตายเชียวล่ะ” หนิงซูเหวินพอใจยิ่งนัก ยาของเขาให้ผลที่ดีเกินคาด ร่างกายของสุ่ยชิงคงพร้อมสำหรับสิ่งที่ตระเตรียมไว้ให้แล้ว “อ๊ะ…อ้า…องค์ชาย” สุ่ยชิงใช้ดวงตาหยาดเยิ้มมองตามลำลึงค์ร้อนผ่าวที่ถูกเคลื่อนออก โพรงนุ่มกระตุกรัดอากาศให้รู้สึกวูบโหวงในท้อง “ไม่ต้องกังวล อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้ครอบครองมันสมใจแน่” หนิงซูเหวินอุ้มร่างที่กำลังบิดเร่าไปมาด้วยความต้องการไปที่คอกม้า อาชาศึกโตเต็มวัยกำลังกลัดมัน เห็นดังนั้นหนิงเฟยฉีที่ตามมาไม่ห่างจึงอดที่จะถามไม่ได้ “เสด็จพี่ นางจะรับไห
นางกำนัลหายตัวไปอย่างปริศนาเป็นเรื่องที่กำลังโด่งดังในขณะนี้ ซ้ำนางกำนัลที่หายตัวไป ล้วนแต่เป็นผู้มีหน้าตาหมดจรดงดงาม มีคนคาดเดาไปต่างๆนานา บ้างก็ว่าพวกนางถูกลักพาตัวไปโดยผู้มีอำนาจ บ้างก็ว่าพวกนางถูกซื้อตัวไปเป็นนางอุ่นเตียงในราคาสูงลิ่ว บ้างก็ว่าพวกนางหนีตามคนรัก ทว่าความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น องค์จักรพรรดินีไม่ได้นิ่งนอนใจ มีคำสั่งให้หน่วยวิหควาโยสืบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน “อึก…ซี๊ด” ร่างบอบบางกระตุกเกร็งขณะที่กลีบบุปผาถูกกดลงให้รับกับลำลึงค์ที่กำลังตั้งแข็ง ดวงตาเหลือกขึ้นด้านบน ขณะที่ลิ้นจุกปาก ความอุ่นร้อนทะลักเข้ามาในโพรงนุ่มก่อนที่นางจะแน่นิ่งไป ไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต “พวกท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง…หากเสด็จแม่รู้เข้าจะทำเช่นไร” ร่างที่เพิ่งเสร็จสมนั่งหอบหายใจบนเก้าอี้ แขนขาถูกมัดแน่นหนาทว่ากลางกายกลับสุขสม มองพระเชษฐาทั้งสองด้วยสายตาตำหนิ “อย่ากลัวไปเลยน่า เสด็จแม่ไม่รู้หรอก ก็แค่นางกำนัลตัวเล็กๆหายไปไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” ‘หนิงเฟยฉี’ ตวัดตามองพระอนุชา เขาคลายเชือกออกหลังจากพอใจ ปล่อยร่างสูงให้เป็นอิสระ “สิ่งที่น่าส
ฤดูพ้นผ่าน กาลเวลาผันเปลี่ยน สิ้นสุดรัชสมัยจักรพรรดิองค์ก่อน อิงอี้หรานก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดินี ใช้สกุลเดิมของมารดา แคว้น ‘หลิว’ จึงเปลี่ยนเป็นแคว้น ‘หนิง’ สกุลอิงเป็นตระกูลกบฏเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ถูกกวาดล้าง ทว่าก็ไร้สิ้นซึ่งอำนาจ “อ๊ะ…ข้ากำลังตั้งท้องอยู่นะ” หนิงอี้หรานรู้สึกตัวตื่นยามที่ช่วงล่างถูกบางอย่างค่อยๆสอดใส่เข้ามาในร่าง มันแข็งกร้าวและร้อนผ่าว ทั้งยังมีขนาดไม่ธรรมดา นางนอนตะแคงในอ้อมแขนที่กำลังโอบกอดไว้อย่างทะนุถนอม มือของเขาลูบไปบนหน้าท้องนูนป่องของนางอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าลูกน้อยที่กำลังนอนหลับจะตื่น ทั้งที่เขาเองนั่นแหละที่กำลังรบกวนการพักผ่อนของนาง “กระหม่อมจะทำเบาๆ หากท่านง่วงก็นอนเสียเถิด” น้ำเสียงนุ่มละมุนกระซิบชิดริมหู เขาทำอย่างที่พูดเมื่อลำลึงค์ขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวล ถึงกระนั้นใครจะไปหลับลงกันเล่า!! ซือจิ้งประทับริมฝีปากลงบนเส้นไหมหอมกรุ่น สูดดม กลิ่นกายเย้ายวนที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายของจักรพรรดินีเข้าไปเต็มปอด ความเหนื่อยล้าจากการกรำงานหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาถูกความงดงามเบื้องหน้าปัดเป่าไ
“อื้อ…อื้อ” “หม่อมฉันมาหาพระองค์แล้วเพคะ ทรงคิดถึงหม่อมฉันไหมเพคะ” เรียวนิ้วลูบไล้ไปบนกรอบหน้าซีดเซียว ดวงตาหงส์ทอดมองร่างที่เคยสง่างาม ทว่าบัดนี้กลายเป็นเพียงคนพิการ แขนขาด้วนกุดพันไว้ด้วยผ้าสีขาวที่มีเลือดซึมออกมา ร่างถูกมัดไว้บนเตียงในห้องซอมซ่อ ร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตี บางจุดมีแผลพุพองคล้ายถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง “ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากนี่เอง” รอยยิ้มงดงามประดับบนใบหน้า นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูด ภาษาใบ้ของผู้ที่ไม่มีลิ้น!! “หม่อมฉันมีของมาฝากด้วยนะเพคะ” อิงอี้หรานชูห่วงเหล็กที่อยู่ในมือขึ้นมา อีกข้างถือเข็มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติไว้ เพียงเท่านั้นร่างที่นอนเปลือยกายอยู่เริ่มดิ้นพล่าน ขณะที่ อิงอี้หรานใช้เข็มลนกับเพลิงจากเปลวเทียน “อยู่นิ่งๆ สิเพคะ ถ้าหม่อมฉันพลาดขึ้นมา พระองค์จะเจ็บเอาได้นะ” เข็มร้อนถูกแทงเข้าไปในเนื้ออ่อนท่ามกลางเสียงร้องอื้ออ้าฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่ามันอ่อนนุ่มเกินไป เช่นนั้นนางจึงทำให้มันแข็งตัว มือเรียววางเข็มไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกอบกุม ลำลึ
ร่างโชกเลือดแลไร้ลมหายใจของหลิวจิ้นอันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ท่ามกลางศพของทหารองครักษ์ที่มีสภาพไม่ต่างกัน “พระสนมเจียวเหม่ยเล่า” หลิวหานเฟิงใช้เท้าเขี่ยร่างพี่ชายต่างมารดาที่เขาชังน้ำหน้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเขาสองคนต่างแย่งชิงทุกสิ่งของกันและกันเสมอมา กระทั่งกลัวว่าเลือดจะเปื้อนรองเท้าจึงชักเท้ากลับ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกแล้ว “หลังจากที่รู้ว่าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ พระนางก็แขวนคอตายตามพ่ะย่ะค่ะ” ซือจิ้งรายงานผู้เป็นนายเสียงเรียบ ดวงตาล้ำลึกไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าเขาบอกไม่หมด พระสนมเจียวเหม่ยไม่ได้แขวนคอตาย ทว่าถูกจับแขวนคอต่างหากเล่า “แล้วขุนนางพวกนั้นเล่า” ขุนนางที่ว่า คือขุนนางที่ร่วมกันก่อกบฏในครั้งนี้ “ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวิ้นมู่ซึ่งได้รับหน้าที่จับกุมกบฏรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด เมื่อมันถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี “ทำได้ดีมาก ข้าจะให้ตำแหน่งที่พวกเจ้าพอใจแน่นอน” รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก วันที่เขาเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึงเสียที
“เสร็จแล้วก็ปล่อยนางเสีย” สุรเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ดวงตาหงส์มองผ่านกระจกสบตากับองค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดสีดำลายพยัคฆ์ มือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ออกขณะที่ยังคงมองใบหน้าเย้ายวนที่เพิ่งสุขสม “ท่านมาเร็วกว่าที่ข้าคิด” หลิวหานตงยอมปล่อยร่างงามออกจากอ้อมแขน ลำกายใหญ่ยาวถูกถอนออกมาจากโพรงนุ่มอย่างแสนเสียดาย ลิ้นแลบเลียริมฝีปากอย่างกระหายเมื่อเห็นน้ำที่ตนปล่อยไว้เมื่อครู่ไหลย้อนออกมาทางเดิม อิงอี้หรานก้าวขาสั่นเทาลงจากเก้าอี้ เดินเข้าไปหาร่างองอาจของทายาทมังกรที่วันนี้จะได้เป็นมังกรเต็มตัว นางคุกเข่าลงกับพื้นใช้มือเรียวกอบกุมกลางกายของพระสวามีรูดขึ้นลง ลิ้นเล็กไล้เลียส่วนปลายหัว ก่อนที่จะนำมันเข้าไปในปาก ดูดเม้มจนลำกายร้อนผ่าวแข็งกร้าวคับโพรงปาก “ท่านคงไม่ว่าอะไรนะถ้าข้าจะเข้าไปในตัวนาง ขณะที่นางกำลังใช้ปากปรนเปรอท่าน” หลิวหานตงเห็นดังนั้นจึงอดใจไม่ไหว แม้ว่าเขาเพิ่งจะเสร็จสมไปเมื่อครู่ก็ตามที “หากข้าต้องการ ต่อให้เจ้ายังไม่เสร็จก็ต้องออกมา” ดวงตาคมปรายมองพระอนุชา เป็นการอนุญาตกลายๆ “ข้ามิยอมรับได้ด้วยหรือ”