LOGINบ้านตระกูลวัฒนวานิชเจริญ (บ้านณิชา)
เสียงส้นรองเท้าดังแผ่วเบาไปตามพื้นหินอ่อน เมื่อ ณิชา เดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทีอิดโรย ดวงตาคู่สวยดูพร่ามัวราวกับคนไม่ได้หลับทั้งคืน
“ณิชา เป็นยังไงบ้างลูก…ทำไมมีเลือด!”
เสียงของ ภารดี แม่ของเธอเอ่ยขึ้นทันทีด้วยความตกใจ
“รถชนนิดหน่อยค่ะคุณแม่ หนูให้เลขาของคุณพ่อจัดการแล้วค่ะ”
หญิงสาวตอบเบาๆ พยายามกลบความอ่อนแรงในน้ำเสียง
“ตายแล้ว! มาทำแผลก่อนเถอะลูก”
ภารดีรีบพาเธอไปนั่งที่โซฟา มือสั่นเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง
“ขอบคุณค่ะ...”
ณิชาตอบเสียงเรียบ พลางขยับผ้าพันคอให้แน่นขึ้นอีกนิด เพื่อปกปิดรอยช้ำที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้า รอยที่ไม่ควรมีใครเห็น โดยเฉพาะแม่
ภารดีนั่งลงข้างๆ พลางหยิบกล่องยามาจัดการแผลให้ลูกสาวด้วยความอาทร
“พรุ่งนี้แม่มีนัดกับป้าอรสา ลูกไปกับแม่นะลูก”
“แม่ค่ะ…จะให้หนูไปดูตัวอีกแล้วใช่ไหม?”
น้ำเสียงของณิชาปนความเหนื่อยใจ
“แม่เชื่อว่าลูกกับตาคีย์เหมาะสมกันมาก”
ภารดีพูดเสียงหนักแน่นราวกับตัดสินใจแทนลูกสาวไปแล้ว
“แต่แม่ค่ะ…”
“เพื่อครอบครัวนะณิชา”
หญิงสาวชะงัก เธอเม้มปากแน่น ก่อนถามออกมาด้วยความคับข้อง
“ครอบครัวเราลำบากขนาดนั้นเลยหรือคะ ทำไมบัตรของหนูเหลือวงเงินแค่แสนเดียว?”
“ช่วงนี้เราต้องประหยัดก่อนลูก ถึงเราจะยังมีทรัพย์สินมากมาย แต่ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก พ่อของลูกต้องใช้เงินพยุงบริษัทไว้ ถ้าได้ครอบครัวคุณลุงดำรงมาช่วย เราก็จะไม่ล้มละลาย”
“มันไม่มีทางอื่นแล้วเหรอคะ? แล้วถ้าลูกชายเขามีแฟนอยู่แล้ว… เขาไม่ชอบหนูเลยแบบนี้ เขาก็คงไม่ช่วยเราใช่ไหม?”
ภารดีจับมือของลูกสาวไว้แน่น
“ไม่มีทางที่ตาคีย์จะไม่ชอบหนูหรอก หนูน่ารักขนาดนี้”
ณิชาหลุบตาลง “แต่แม่คะ… ถ้าหนูแต่งเข้าไป เขาอาจจะดูถูกหนูก็ได้”
“ป้าอรสาไม่ปล่อยให้ใครมารังแกและดูถูกหนูหรอกลูก”
ภารดีถอนหายใจยาว
“หนูเติบโตมาอย่างสุขสบาย ถ้าครอบครัวเราล้มละลาย หนูก็จะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตแบบเดิมอีกนะณิชา”
หญิงสาวนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ใช่สินะ… สำหรับฉัน เงินคงสำคัญที่สุดแล้ว”
เธอหลุบตา แล้วพึมพำต่อ
“พรุ่งนี้หนูจะไปกับแม่ก็ได้ค่ะ... ถ้ามันคือทางเดียวที่จะช่วยครอบครัวได้”
ภารดีคลี่ยิ้มออกมาทันที
“ขอบใจนะลูก ขอบใจที่ยอมทำเพื่อครอบครัวของเรา”
“ค่ะแม่...” ณิชายกยิ้มจางๆ
“งั้นหนูขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“ไปเถอะลูก อาบน้ำพักผ่อนเถอะ”
ภารดีมองตามร่างของลูกสาวที่ค่อยๆ เดินขึ้นบันได ดวงตาเต็มไปด้วยทั้งความรัก… และความหวัง
เสียงเครื่องยนต์ของรถยุโรปหรูดับลงหน้าบ้าน ก่อนที่ ประสิทธิ์ จะก้าวเข้ามาในห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาถอดสูทวางลงบนพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า
“กลับมาแล้วหรือคะคุณ”
ภารดี ลุกขึ้นต้อนรับสามีด้วยรอยยิ้มบาง
“กลับมาแล้วครับ เห็นเลขาผมบอกว่ารถลูกถูกชน เป็นไงบ้างบาดเจ็บตรงไหน”
เสียงเนกไทเสียดสีกับเนื้อผ้าดังแผ่วเบา เมื่อ ประสิทธิ์ คลายมันออกจากลำคอ
ภารดี เดินเข้ามาหา รับกระเป๋าเอกสารจากมือสามีด้วยความเคยชิน
“ไม่มากค่ะ แค่หัวแตะนิดหน่อย ฉันพาไปทำแผลแล้ว…”
น้ำเสียงของเธอแผ่วลง ขณะเหลือบตามองขึ้นบันไดไปยังทิศทางที่ลูกสาวเพิ่งเดินขึ้นไป ดวงตาเต็มไปด้วยทั้งความรักและความกังวล
ประสิทธิ์ นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“แล้วเรื่องดูตัวพรุ่งนี้… ลูกยอมไปกับเราหรือยัง?”
ภารดีพยักหน้าเบา ๆ
“ก็คงต้องยอมแหละค่ะ ลูกเห็นแก่ครอบครัว”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง
“คุณนี่ก็นะ… บังคับให้ผมร่วมมือในเรื่องที่ไม่อยากทำเลย สงสารลูกจริง ๆ”
“เอาเถอะค่ะคุณ ช่วยฉันหน่อยก็แล้วกัน”
ภารดีพูดพลางวางกระเป๋าเอกสารลง
“ฉันกับอรสาคิดเหมือนกันว่าลูกเราสองคนเหมาะสมกันมาก ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ มีหรือณิชาจะยอมเปิดใจ”
“แต่คุณก็น่าจะให้พวกเขาได้เจอกันก่อน แล้วค่อยตัดสินใจด้วยตัวเองสิ” เขาว่าเสียงเรียบ
“ก็จะให้เจอกันพรุ่งนี้นั่นแหละค่ะ”
ภารดีหันมายิ้มบาง
“เรื่องแผนการก็แค่ช่วยผลักดันให้การตัดสินใจมันง่ายขึ้นเท่านั้นเอง”
ประสิทธิ์หัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ภรรยาผมเนี่ย...จอมวางแผนตัวยงเลยจริง ๆ”
“คุณก็พูดเกินไป”
ภารดีหลุดหัวเราะตาม เสียงหัวเราะของทั้งคู่เบาแผ่ว แต่ก็ช่วยคลายบรรยากาศในห้องให้ผ่อนลงเพียงชั่วครู่
หญิงสาวเดินเข้าไปถอดสูทจากบ่าของสามีอย่างอ่อนโยน ก่อนพับเก็บอย่างเรียบร้อยในตู้ไม้ข้างผนัง แล้วหันไปสั่งแม่บ้าน
“แม่บ้านเตรียมน้ำชาและของว่างให้คุณผู้ชายด้วยนะ เดี๋ยวฉันมา”
“รับทราบค่ะคุณผู้หญิง”
แม่บ้านตอบอย่างนอบน้อมก่อนรีบไปจัดการ
ประสิทธิ์ นั่งเอนหลังลงบนโซฟาหนังแท้ เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์ที่คุ้นเคย แล้วแนบหูรอฟังเสียงปลายสาย
“พรุ่งนี้เจอกันนะ ดำรง”
เสียงของเขาแผ่วลงคล้ายคนอ่อนแรง
“ฉันอึดอัดเหลือเกิน สงสารลูกสาวจริง ๆ”
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“เอาน่า...ลองให้เด็กมันได้เจอกันก่อน ถ้ามันไม่เวิร์กจริง ๆ ก็ไม่ต้องฝืนแต่ง”
“แต่เรื่องธุรกิจของฉันนะ…”
ประสิทธิ์กดเสียงต่ำลง
“ที่บอกว่าจะล้มละลาย ช่วยจัดการข้อมูลให้ดีหน่อย ตาคีย์มันไม่ใช่คนโง่ เดี๋ยวโป๊ะแตกก่อนงานจะเริ่ม”
“เออ รู้แล้วน่า!” ดำรงตอบอย่างอารมณ์ดี
“บริษัทของตาคีย์กับของกู มันแยกกันชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“ก็ดี…” ประสิทธิ์พ่นลมหายใจ
“ว่าแต่ลูกสาวฉันมันใช้เงินเก่งเหลือเกิน ถ้าแต่งไป ครอบครัวมึงจะไม่รังเกียจใช่ไหม ไม่ใช่ว่ากูไม่มั่นใจนะ แต่กลัวจะไปลำบากเขา”
เสียงหัวเราะดังลอดมาจากปลายสาย
“มึงคุยกับเศรษฐีอยู่นะไอ้ประสิทธิ์ เงินของตาคีย์ก็คือเงินของลูกสาวมึงนั่นแหละ ถ้าแต่งกันเมื่อไหร่...ทุกอย่างก็รวมเป็นของครอบครัวเดียวกัน ฮ่า ๆ ๆ”
“พูดแบบนี้ฉันก็หายห่วงไปครึ่งหนึ่งละ”
ประสิทธิ์หัวเราะเบา ๆ แต่แววตากลับยังแฝงความกังวล
“อย่าห่วงเลยเพื่อน ครอบครัวกูรักหนูณิชาอยู่แล้ว”
“ใช่...แต่ขอให้ลูกชายมึงรักด้วยก็แล้วกัน”
น้ำเสียงของประสิทธิ์เต็มไปด้วยความจริงจัง
“มึงวางใจเถอะ กูเชื่อว่าตาคีย์ต้องรักหนูณิชาแน่ ๆ มึงเชื่อกูเถอะ” ดำรงตอบหนักแน่น
“เออ ๆ ได้ งั้นไว้พรุ่งนี้เจอกันเพื่อน”
“เจอกัน ประสิทธิ์”
เสียงวางสายดัง ติ๊ด ความเงียบกลับเข้าครอบคลุมทั่วห้องอีกครั้ง
ประสิทธิ์เอนหลังพิงโซฟา หลับตาแน่น — ความโล่งใจที่ได้ยินคำรับปากจากเพื่อน...กลับไม่อาจกลบความรู้สึกผิดที่กัดกินอยู่ในใจได้เลย
งานเลี้ยงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราแขกผู้มีอิทธิพลในแวดวงธุรกิจต่างทยอยเข้าร่วมทุกคำเชิญ ทุกการจับมือ…ล้วนแฝงไว้ด้วยผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นประสิทธิ์และดำรงคือหนึ่งในผู้ถือบัตรเชิญประสิทธิ์มาพร้อมกับ ณิชาขณะที่ดำรงพา คีรติ มาร่วมงานเช่นเดียวกันและแน่นอน…หากพูดถึงงานที่ผลประโยชน์เดินนำหน้าเช่นนี้ชื่อของ ธันวา ย่อมไม่อาจหายไปจากรายชื่อแขกได้เสียงดนตรีแจ๊สคลอเบา ๆ ลอยอบอวลไปทั่วห้องจัดเลี้ยงแชนเดอเลียร์สะท้อนแสงระยิบระยับเหนือศีรษะณิชาในชุดราตรีสีครีมยาวพลิ้วความเรียบหรูตัดกับผิวขาวผ่อง ทำให้เธอโดดเด่นราวกับแสงจันทร์กลางห้องไม่ว่าจะก้าวไปทางไหน ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เธอโดยไม่รู้ตัวขวัญเดินควงแขนมากับเตชทัตทั้งคู่เป็นที่รู้กันดีในวงสังคมว่ามีแพลนจะแต่งงานกันในกลางเดือนหน้า“ณิชา ทางนี้!”ขวัญเรียกด้วยรอยยิ้มดีใจณิชากำลังจะก้าวเข้าไปหาเพื่อนแต่สายตาของเธอกลับชะงักค้างหญิงสาวผมยาว ผิวขาวลูกครึ่งในชุดราตรีสีดำเข้ารูปยืนเคียงข้างชายคนหนึ่ง…คนที่เธอเคยรักสุดหัวใจ“พี่คีย์…”ณิชาอุทานแผ่วเบา ราวกับกลัวเสียงของตัวเองจะดังเกินไปครึ่งเดือน…ครึ่งเดือนเต
มือของคีรติกำแน่น หัวใจเหมือนถูกบีบจนเจ็บ เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้สงบที่สุด“ขวัญ… ถ้าไปถึงแล้ว ดูแลณิชาก่อนนะ พี่จะไปเดี๋ยวนี้”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนขวัญจะเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล“พี่คีย์จะมาจริง ๆ เหรอคะ ถ้าณิชารู้ว่าพี่มา ทุกอย่างที่พี่ทำมาก่อนหน้านี้มันจะพังหมดนะคะ”“พี่แค่จะไปดูให้แน่ใจว่านิชาปลอดภัย แค่นั้นจริง ๆ”เขาตอบเสียงหนัก แต่แฝงความห่วงใยที่ปิดไม่มิด“พี่คีย์อดทนไว้นะคะ เพราะถ้ามีใครเห็นพี่แวะเวียนหรือข้องเกี่ยวกับณิชา ข่าวลือที่ปล่อยออกไปจะไม่น่าเชื่อถือทันที”ขวัญเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดต่อ“ไม่ต้องห่วงนะคะ ณิชาขวัญดูแลได้ ขวัญโทรหาพี่เตให้มาช่วยแล้วค่ะ”คีรติหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ขอบใจมากนะขวัญ… งั้นพี่ฝากณิชาด้วย”สายถูกตัดลง แต่ความเป็นห่วงในใจเขากลับหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม“รักเธอมากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย มันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง”เขาพึมพำคนเดียวห้อง VIP – Diva Dee Bar“ณิชา… ทำไมดื่มหนักขนาดนี้”ขวัญเอ่ยเสียงหลง เมื่อเห็นเพื่อนรักนอนพับอยู่บนโซฟา ร่างกายอ่อนแรงแทบไม่มีสติเจ๊ดีถอนหายใจยาว สีหน้าฉายแววเป็นห่วง“เจ๊ให้เด็กพามาที่ห้อง
ทันทีที่ณิชาเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับเขา“เพี้ยะ!”ฝ่ามือเล็กฟาดลงบนใบหน้าของคีรติอย่างแรง เสียงดังชัดเจนจนบรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นมาทันที“อยากบอกเลิก ทำไมไม่บอกต่อหน้าฉันล่ะ มาเฟียสายโหด ความกล้ามีแค่นี้เองเหรอ?”ดวงตาของเธอแดงก่ำ เต็มไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวด จนเขาแทบมองไม่เห็นความรักที่เธอเคยมีให้เขาอีกแล้ว“ถ้าไม่รักกันแล้ว ก็บอกกันตรง ๆ ไม่ต้องบอกแล้วหนีหน้าแบบนี้ ไม่ต้องกลัวฉันไม่รั้งใครไว้ทั้งนั้นเพราะณิชาไม่ใช่คนที่รอให้ใครมาบอกเลิกถ้าจะจบ…ฉันจะเป็นคนจบเอง”เธอสูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่น“ที่มาวันนี้ ฉันไม่ได้มาทวงความรัก ไม่ได้มาอ้อนวอน แค่อยากมาทำให้ทุกอย่างมันจบ ไม่ต้องค้างคา”ณิชาหยิบบัตรเครดิตที่เขาเคยให้ไว้สองสามใบออกมาจากกระเป๋า แล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าเขาเสียงบัตรกระทบโต๊ะดัง แปะ แผ่วแต่หนักหน่วงเหมือนตอกย้ำจุดจบของความสัมพันธ์“ของของคุณ ฉันเอามาคืน และหวังว่าต่อจากนี้ เราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”เธอจ้องหน้าเขาตาเขม็ง“คนหลายใจอย่างคุณ ไม่คู่ควรที่จะมาเคียงข้างฉัน”ณิชาหลับตา กลืนน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาลง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่เจ็บปวดที่สุดออกมา
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป อาการของณิชาดีขึ้น เธอจึงกลับมารักษาตัวต่อที่กรุงเทพ“พี่ณิชาอยากทานอะไรบอกพอร์ชได้นะครับ เดี๋ยวพอร์ชออกไปซื้อให้”พอร์ช น้องชายแท้ ๆ เข้ามาช่วยดูแลและเทคแคร์พี่สาวอย่างใกล้ชิด“ยังไม่อยากทานอะไรเลย ช่วงนี้กินไม่ค่อยลง”ณิชาตอบเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองแม่ที่ยืนจ้องเธออยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง“แม่ค่ะ… ณิชาเลิกกับพี่คีย์แล้วนะ เขาบอกเลิกณิชา เขากลับไปหาแฟนเก่าของเขาค่ะ”ภารดีสบตากับลูกสาว เธอรู้ดีว่าณิชากำลังเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเยียวยาอย่างไร“ถ้าลูกสองคนเลิกกันแบบนี้ งานแต่งก็คงต้องยกเลิก แม่เสียใจด้วยนะลูก”“แม่ไม่คิดจะต่อว่าพี่คีย์เลยเหรอคะ ที่เขาทำกับลูกสาวแม่ได้ถึงขนาดนี้… หนูเจ็บนะคะแม่”น้ำตาของณิชาเริ่มคลอขึ้นจนแทบจะไหล พอร์ชเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเบี่ยงประเด็นทันที"ความรักคือเรื่องของคนสองคน ลูกโตแล้วก็ลองผิดลองถูก แม่ไปยุ่งไม่ได้หรอก แต่แม่จะคุยกับอรสาให้เขาจัดการลูกชายเขาแล้วกัน""ไม่ต้องค่ะแม่ ต่อให้เขากลับมาขอคืนดี ณิชาก็ไม่กลับไปหาเขาแล้ว"ณิชาเม้มปากแน่น“พี่ณิชา ไปเที่ยวต่างประเทศกันไหมครับ แผลพี่ก็ดีขึ้นแล้ว ไปพักผ่อนสักหน่อย เดี๋ยวอะไรก็ดีขึ้นนะพี่
“บอกเลิกแล้ว…ก็อย่ากลับมาอีกแล้วกันคุณคีรติ”คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในหัวไม่ใช่เพราะความแรงของถ้อยคำแต่เพราะคำว่า คุณคีรติ ที่เธอเลือกใช้มันชัดเจนเกินไปชัดเจนว่าเธอโกรธและโกรธเขาจริง ๆคีรติเงยหน้าขึ้น สบตากับเตชทัต แววตาแดงก่ำอย่างคนที่กำลังจะพัง“แค่เธอเรียกกูแบบนั้น…กูก็รู้แล้วว่าณิชาไม่เหลือความอ่อนโยนให้กูอีกแล้ว”เขาหัวเราะแผ่ว ๆ อย่างขมขื่น“กูควรดีใจใช่ไหมวะ ทุกอย่างมันตรงตามแผนเป๊ะแต่ทำไม…ทำไมกูเจ็บแทบขาดใจขนาดนี้”เตชทัตตบไหล่เพื่อนเบา ๆ“อดทนไว้ไอ้คีย์ อีกแค่เดือนเดียว เราจะปิดทุกอย่างให้จบ”คีรติส่ายหน้าช้า ๆ“กูไม่รู้ว่ากูจะทนได้ถึงหนึ่งเดือนไหม”เสียงเขาแผ่วลง“หรือพอถึงตอนนั้น…ณิชาอาจไม่รักกูแล้วจริง ๆ”“ณิชาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล” เตชทัตพยายามปลอบ“ถ้ามึงได้อธิบาย เธอน่าจะฟังมึง”คีรติหัวเราะในลำคอ“มึงพูดเหมือนไม่รู้จักณิชา”เขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า“คุณหนูขี้วีนของกู…ที่ผ่านมาเธอไม่เคยวีนใส่กู เพราะเธอรักแต่จากนี้ไป กูไม่มั่นใจเลยว่าเธอจะเกลียดกูมากแค่ไหน”เตชทัตถอนหายใจยาว“แล้วจะทำยังไงได้วะ”เขามองเพื่อนอย่างเข้าใจ“มึงเป็นคนเลือกทางนี้เอง ไอ้คีย์”คีรติกำม
อ่านข้อความปรากฏบนหน้าจอพี่ไม่ได้รักณิชาแล้วโลกทั้งใบของณิชาราวกับหยุดหมุนดวงตาที่พร่าเลือนค้างอยู่กับตัวอักษรไม่กี่คำหัวใจเต้นแรงผิดจังหวะ ราวกับถูกกระชากออกจากอกทั้งเป็น“…ไม่รักแล้ว?”เสียงเธอแผ่วเบา จนแทบไม่ได้ยินตัวเองมือที่กำโทรศัพท์เริ่มสั่นน้ำตาหยดลงไม่ขาดสายหยดแล้วหยดเล่า…เหมือนหัวใจที่ร้าวไม่หยุด“โกหก…”ณิชาส่ายหน้าแรง ๆ“พี่โกหก…พี่คีย์โกหกณิชา…”เธอพยายามพิมพ์ตอบแต่ตัวอักษรกลับพร่าเลือนเพราะน้ำตาที่ไหลไม่หยุดจู่ ๆ ความเจ็บแปลบก็แล่นขึ้นจากหน้าอกแรงจนเธอสะดุ้งเฮือก“อ๊ะ!”มือหนึ่งกุมหน้าอก อีกมือยันเตียงลมหายใจเริ่มติดขัดหัวใจเต้นแรงและถี่ผิดปกติ“หายใจ…หายใจสิณิชา…”เธอพึมพำกับตัวเอง แต่ยิ่งพยายามกลับยิ่งแน่นน้ำตาไหลผสมเสียงสะอื้นร่างกายที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่เริ่มต่อต้าน“เจ็บ…”เธอร้องออกมาเบา ๆความเจ็บที่แผลซี่โครงร้าวปะทุขึ้นทันที เมื่อร่างกายเกร็งจากอารมณ์ที่ถาโถมขวัญที่ยืนอยู่ข้างเตียงตกใจสุดขีด“ณิชา! ณิชา ใจเย็น ๆ ณิชาเป็นอะไร...พยาบาล...พยาบาลค่ะ”เธอรีบกดออดเรียกพยาบาล ก่อนจะพยายามประคองร่างเพื่อนให้เอนลง“พี่คีย์ไม่รักณิชาแล้ว…”ณิชาพูดทั้งน้ำตา“เ