หลิงเวยเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากฟงชินหยางเพียงแต่นางกำลังรู้สึกผิดอย่างมหันต์และเริ่มตระหนักขึ้นมา
หากว่าวันหนึ่งข้างหน้าบุรุษข้างกายของนางในยามนี้เกิดรักปักใจกับใครจนไม่อาจถอนใจแล้วเขาจักต้องทำอย่างไร
นี่มิใช่ว่านางเป็นต้นเหตุให้บุรุษเช่นเขาหมดหนทางแห่งตนในภายภาคหน้าเลยหรือและบางทีเขาอาจจะมีสตรีในดวงใจอยู่แล้วก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นมิใช่ว่านางมาเป็นมารหัวใจของเขาหรอกหรือไร
หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งหม่นแสงในชีวิตดวงตาเริ่มรื้นน้ำใสจนต้องรีบยกชายผ้าขึ้นมาปาดออกไปในทันที
“เจ้าเป็นอะไรไปเวยเอ๋อร์ ปลื้มมากหรือไร” ฟงชินหยางถามหลิงเวยในฉับพลันด้วยรอยยิ้มตรงมุมปากพร้อมสายตาคาดคั้นซ่อนแววประชดประชันในที
หลิงเวยรีบปรับอารมณ์ของตนแล้วตอบคำเสียงเบา “เจ้าค่ะ ข้ากำลังรู้สึกปลื้มใจยิ่งนัก ต้องขออภัยท่านทั้งสอง” นางตอบคำแก้ต่างพลางยกยิ้มงดงามส่งให้บิดาและมารดาของสามี
“เรียกท่านพ่อท่านแม่” ฟงชินหยางก้มหน้าเข้าหาพลางเอ่ยกระซิบดุดันเสียงเบาใส่หูของหลิงเวย
หญิงสาวรีบปรับคำพูดในทันทีก่อนจะถูกใครบางคนกินหูของนางเข้าไปทั้งใบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าหลิงเวยของฝากตัวเจ้าค่ะ ข้าขอสัญญาว่าจะทำตัวดีๆ ว่านอนสอนง่าย เป็นสะใภ้ที่ดี ไม่สร้างความลำบากใจให้สามีเจ้าค่ะ”
เสียงแว่วหวานดังออกมาภายใต้จิตสำนึกที่มีทั้งหมด นางขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้เขาลำบากใจ ไม่ว่ากรณีใด หากวันหนึ่งเขาต้องการครองคู่กับสตรีที่เขารักปักใจ นางจะจากไปโดยไม่เรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้นในทันที
บิดามารดาของฟงชินหยางได้แต่ก้มมองสะใภ้ตรงหน้าอย่างเอื้อเอ็นดูถึงแม้ว่านางจะมาจากตระกูลหลิงที่มิได้สนิทสนมกับตระกูลฟงแต่ประการใด ทั้งนี้พวกเขายังไม่นิยมการจับคู่แบบคลุมถุงชนโดยที่บุตรชายไม่เต็มใจ หากบุตรชายรักใครนั่นหมายความว่าพวกเขาย่อมรักด้วย และยิ่งดีใจนักหนาที่บุตรชายคนโตหัวรั้นนิสัยร้ายกาจไม่เหมือนใครผู้นี้ได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีหลังจากที่พวกเขารบเร้าอยู่เป็นนาน เนื่องจากฟงชินหยางสนใจแต่การศึกมิใคร่สนใจสตรีนางใด ไม่แม้แต่จะพาใครมาให้ทำความรู้จัก ครั้นพาแม่สื่อมาก็ทำท่าทางน่ากลัวใส่บรรดาแม่สื่อจนพวกนางไม่กล้าย่างกรายเข้ามาเยี่ยมเยือน นี่นับว่าเป็นเรื่องดียิ่งนักที่บุตรชายผู้นี้มีเมียเสียที บรรยากาศมืดดำอึมครึมในจวนคงลดลงไม่น้อย
หลังจากได้รับคำอวยพรอีกสองสามประโยคและสิ่งของอันเป็นมงคลจากสองผู้เฒ่าตรงหน้า
ฟงชินหยางจึงจับประคองร่างงามข้างกายให้ลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้เยื้องออกไปเพื่อที่ว่าจะได้ให้น้องชายและน้องสาวยกน้ำชาตามลำดับประเพณี
เมื่อยกน้ำชาเสร็จสรรพตามด้วยการรับประทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าครอบครัว บรรยากาศของโต๊ะอาหารภายในครอบครัวนี้จึงเป็นไปด้วยมิตรไมตรีจนหลิงเวยรับรู้ได้
ทุกคนแสดงออกชัดเจนว่าเอ็นดูหลิงเวย ทำให้หลิงเวย นึกชมชอบครอบครัวใหม่อยู่ไม่น้อย
“อาซ้อลองชิมนี่” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินเอ่ยคำพลางจับถ้วยอาหารหน้าตาน่าทานมาวางเอาไว้ให้ตรงหน้าหลิงเวย
หญิงสาวก้มมองถ้วยอาหารตรงหน้าที่ถูกหยิบยื่นมาให้พลางตอบรับด้วยรอยยิ้มงดงามอย่างซาบซึ้งเด่นชัด นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ที่บ้านของนางใหญ่โตเกินไปจนทุกคนละเลยเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ ยามกินข้าวยังต้องแยกกันกินที่เรือนใครเรือนมัน นั่งกินอยู่อย่างเดียวดายในทุกๆ วันจนนางชาชิน
“ขอบใจนะ ลี่หลิน” หลิงเวยเอ่ยคำเสียงหวานอย่างปลาบปลื้มส่งให้ฟงลี่หลินก่อนคีบอาหารในถ้วยนั้นแล้วกินด้วยความรู้สึกดี
“ถูกปากหรือไม่” ฟงฮูหยินถามขึ้นมาทางลูกสะใภ้
“เจ้าค่ะท่านแม่” หลิงเวยคลี่ยิ้มรับคำเสียงหวาน
“หากชอบก็กินเยอะนะอาซ้อ” ฟงจินหมิงที่นั่งเหม่อมองพี่สะใภ้คนงามอยู่เป็นนานเอ่ยขึ้นบ้าง
“ขอบใจนะ จินหมิง” หลิงเวยหันมาคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้น้องชายคนรองของสามีทำเอาฟงจินหมิงยิ่งสายตาพร่าเลือนยกยิ้มอย่างเก้อเขินเกินหน้าเกินตา
ฟงชินหยางนั่งมองภรรยาของตนตาปริบๆ
ในยามปกติแล้วหากเขากลับมาจากประจำการที่ค่ายทหารชายแดนห่างไกลหรือสิ้นศึกนานนับปีกลับบ้านมาทุกคนมักจะเอาอกเอาใจเขามิใช่หรือไร ไยยามนี้ไม่เป็นเช่นนั้น
ดูเถิด! กระทั่งท่านพ่อผู้เคร่งขรึมยังนั่งอมยิ้มในสีหน้ามองภรรยาของเขาอย่างเมตตาใจดีในแบบที่ไม่เคยทำกับเขา
โดยเฉพาะเจ้าน้องชายตัวดีเก็บอาการเอาไว้ไม่มิดเอาเสียเลย
ชายหนุ่มเรือนร่างสูงใหญ่เริ่มโกรธกรุ่นนั่งกินข้าวเพียงลำพังอย่างเดียวดายจนน่าเห็นใจ
เมื่อกินอาหารอันโอชาเลิศรสจนหมดถ้วยหมดจาน ฟงชินหยางกับหลิงเวยจึงถูกฟงลี่หลินและฟงจินหมิงทั้งจับจูงทั้งดันแผ่นหลังพามานั่งเล่นที่ศาลาริมสระบัวของจวน เสียงหัวเราะขบขัน เสียงถกเถียงกันไปมาจึงดังลั่นจากในศาลาเป็นระยะๆที่จวนใหญ่โตแห่งนี้เป็นจวนประจำตระกูลฟงมิใช่จวนแม่ทัพและมิได้ตั้งอยู่ใกล้กับค่ายทหารแต่กระนั้นค่ายทหารก็ตั้งห่างออกไปจากตัวเมืองเพียงเจ็ดลี้เท่านั้นทำให้ไม่ลำบากอันใดในการเดินทางไปควบคุมยังค่ายทหาร ทั้งนี้เนื่องจากอดีตแม่ทัพใหญ่ฟงซือหลางและอดีตองค์หญิงเฉินซินหรูพระขนิษฐาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต้องการอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกมิใคร่ให้แยกบ้านแยกจวน สามคนพี่น้องจึงสนิทสนมกันยิ่งนัก หลิงเวยนั่งสังเกตพวกเขาทั้งสามคนอย่างละเอียด ฟงชินหยางเป็นพี่ใหญ่ที่มีท่าทางขึงขังเคร่งขรึมเฉกเช่นบิดาไม่มีผิดเพี้ยน เขาเป็นบุรุษที่ตัวโตสูงใหญ่เกินบุรุษทั่วไปสมกับที่เป็นชายชาติทหาร เป็นบุรุษผู้องอาจ ใบหน้าของเขาถึงแม้ว่าจะหล่อเหลาคมเข้มแต่ทว่าแววตากลับฉายแววเหี้ยมเกรียมดุร้ายตลอดเวลา เขามักจะทำท่าทางดุดันน่ากลัวอยู่เป็นนิตย์ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะสายงานของเขา ด้วยเพราะว่า
เขาไปทำอะไรให้ภรรยาไม่พอใจเมื่อไหร่มิทราบ ไยถึงต้องปั้นหน้าเยี่ยงนั้น ที่เขาถูกทุกคนลืมเลือนบนโต๊ะอาหารยังไม่พอหรือไร“เจ้าเป็นอะไรไป เวยเอ๋อร์” ฟงชินหยางเอ่ยเสียงที่ฟังออกได้ว่าพยายามให้นุ่มนวลทำเอาหลิงเวยพลันชะงักหลุดจากภวังค์“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานส่งให้คล้ายขอโทษในที นางกำลังทำให้บรรยากาศดีๆ เสียไป “ข้าแค่เพียงนึกถึงพี่น้องที่บ้านว่าช่างแตกต่างจากพวกท่านมากนัก” นางเลือกที่จะบอกตามตรง “พวกท่านเป็นที่น้องที่รักกันมาก ข้านึกชมชอบจากใจจริง” “แน่นอน พวกเรามีกันแค่นี้ ครอบครัวของเราก็มีกันแค่ห้าคน” ฟงลี่หลินเอ่ยออกมาอย่างฉะฉานภาคภูมิใจ “พวกเราเป็นชนกลุ่มน้อยที่รักกันมาก...” น้องเล็กของตระกูลฟงพูดจาเปรียบเทียบทั้งยังลากเสียงยาวฟังดูน่าขันจนหลิงเวยต้องยิ้มกว้างกระทั่งหลุดหัวเราะออกมารอยยิ้มกระจ่างใสกับเสียงหัวเราะแว่วหวานของสตรีตรงหน้าทำเอาฟงชินหยางเริ่มไม่ชิน นางยิ้มอย่างนี้เป็นด้วยหรือตั้งแต่เจอกันก็เอาแต่ร้องไห้บีบน้ำตา นางกดดันเขาตลอดเวลาด้วยน้ำตาคล้ายน้ำตกนั่นทั้งยังทำเขาอึดอัดจนเขาหายใจลำบากอยู่ตลอดมา และทั้งๆ ที่เขาเสียท่าให้นางถึงเพียงนั้นไยไม่ยิ้มแ
“ไม่ให้ไปก็ไม่ไป!”ฟงลี่หลินตะคอกพี่ชายเสียงดังก่อนจะนั่งลงข้างๆ หลิงเวยและเอื้อมฝ่ามือมาจับมือของหลิงเวยเอาไว้“อาซ้อไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องเสียใจไป อย่าไปคุยกับคนไม่มีน้ำใจเลย” น้องเล็กว่าอย่างนั้นพร้อมตบหลังมือของหลิงเวยเบาๆ อย่างให้กำลังใจเป็นที่สุดหลิงเวยได้แต่มองฟงลี่หลินสลับกับใบหน้าเย็นชาของฟงชินหยางอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร นางยังไม่คุ้นเคยกับใครเลยสักคนแม้แต่กับสามีของตน นางอยากร้องไห้อีกแล้วฟงชินหยางยืนมองภรรยาของตนด้วยมาดเรียบนิ่งไม่คิดจะยินยอมให้นางออกจากเรือนไปที่ใดทั้งสิ้นต่อให้นางบีบน้ำตาออกมาจนหมดเบ้าตาก็ตามชายหนุ่มคิดอย่างนั้นถึงแม้ว่าหญิงสาวผู้เป็นภรรยาจะกำลังทำท่าทางน่าสงสารน้ำตาปริ่มๆ ขอบตาทั้งยังบอกกล่าวว่าเสื้อผ้าของนางใกล้ขาดแบบนั้นเขาจะไม่มีวันเชื่อมารยาของนางที่มักจะสร้างอาการคันยุบยิบอยู่ภายในร่างกายของเขาเขาจะไม่หลงกลนางเด็ดขาด!ภายในตลาดหน้าด่านของเมืองซางอี้ที่มีร้านค้ามากมายสองข้างทางมีผู้คนเดินสัญจรไปมาไม่ขาดสายฟงลี่หลินเดินจับจูงมือของหลิงเวยไปตามทางเข้าออกร้านนั้นร้านนี้อย่างรื่นเริง ทั้งสองส่งยิ้มหวานหยดให้กันตลอดทางอย่างมีความสุขเหลือเกิน บุ
ฟงจินหมิงถึงกับตบมือของตนเสียงดังฉาดใหญ่เมื่อมองเห็นพี่ใหญ่ของตนคล้ายกับนิ่งอึ้งไป“พี่ใหญ่รักพี่สะใภ้มากและรักนางข้างเดียวจนหน้ามืดตามัวขาดสติยั้งคิดแล้ววางยานาง ใช่หรือไม่? นิสัยบ้าบิ่นดุเดือดของพี่ใหญ่ทำได้อย่างไม่ต้องสงสัย“พี่ใหญ่ช่างชั่วร้ายไร้ที่ติยิ่งนัก!”ฟงจินหมิงพูดเองสรุปเองเสร็จสรรพ ทั้งยังกล่าวโทษพี่ชายของตนเองแบบเต็มที่ พี่สะใภ้ของเขาช่างงดงามอ่อนหวานบาดตาบาดใจถึงเพียงนั้นเป็นใครก็คงอดใจเอาไว้ไม่ไหวพี่ชายของเขาช่างชั่วช้ายิ่งแล้ว...ฟงชินหยางถึงกับสะอึกก้อนขมลึกลับในลำคอจนไม่คิดจะเสวนากับน้องชายของตนอีกต่อไป เขาจึงพาใบหน้าหล่อเหลาแต่เหี้ยมเกรียมมืดครึ้มคล้ายปีศาจเพิ่มขึ้นทุกทีๆ ก้าวเท้าเดินฉับๆ เข้าไปยังร้านผ้าตรงหน้าที่ภรรยาและน้องสาวของเขาเข้าไป “กลับบ้าน!” เขาเอ่ยเสียงเข้มดุดันเมื่อเข้ามายังร้านขายผ้าแล้วเจอกับตัวการที่ทำให้น้องชายคิดการกับเขาได้ผิดมหันต์ทำให้เขากลายเป็นบุรุษอันตรายน่ารังเกียจเดียดฉันท์ “ข้ากำลังจะได้ผ้าแล้ว” หลิงเวยเงยหน้ามองคนตัวใหญ่ตรงหน้าที่คล้ายกับว่าเรือนกายของเขาจะสูงใหญ่กว่าที่เคย “เอาทั้งหมดนี่ จัดส่งที่จวนตระกูลฟง” คนตัวโตตรงหน้า หลิ
ภายในรถม้าประจำจวนของตระกูลฟงหลิงเวยยังคงนั่งเงียบงันมองบุรุษร่างกำยำที่นั่งกอดอกอยู่ข้างกายกันภายในรถม้านางเห็นเขานั่งหน้านิ่งด้วยมาดเย็นชาสายตาคมกล้าถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังเปลือกตาภายใต้เรียวคิ้วเข้มหนาตลอดเวลาคล้ายครุ่นคิดหนักหน่วง นางจึงได้แต่นั่งมองเขาอย่างใคร่รู้แต่ไม่กล้าเอ่ยถามอันใด นางจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองเขาอยู่อย่างนั้น“จะมองข้าอีกนานหรือไม่” เสียงทุ้มใหญ่กดต่ำดังออกมาพาเอาร่างบางพลันสะดุ้งตกใจถอยหลังจนศีรษะชนกับผนังรถม้าเสียงดังป๊อก“อ๊ะ!” หลิงเวยหลุดอุทานเจ็บแปลบตรงศีรษะตน“ซุ่มซ่าม” ฟงชินหยางบ่นออกมาขณะยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น หลิงเวยเริ่มหน้าง้ำแอบบ่นในใจ เพราะใครกัน?หญิงสาวทำได้แค่มองคนปากร้ายตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเสมองผ้าม่านรถม้าเงียบกริบเจ็บศีรษะตุบๆ ฟงชินหยางลืมตาคมกริบขึ้นมาเพื่อมองภรรยาของตนอย่างจริงจังแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เรารักกันได้อย่างไร?”“หือ!?” คำถามของคนข้างกายทำเอาหลิงเวยต้องหันหน้ามามองเขาอีกคราอย่างตื่นตะลึง“หากคนที่บ้านของข้าถามเจ้า ว่าเรารักกันได้อย่างไร เจอกันที่ใด ทำไมถึงรักกัน เจ้าจะบอกพวกเขาว่าอย่า
ชายหนุ่มมองหญิงสาวตาปริบๆ นึกเข่นเขี้ยวกับอาการดื้อดึงนั่นของนาง นางช่างกล้า!ถึงแม้ฟงชินหยางจะคิดอย่างนั้นแต่มิได้ต่อคำอันใดพลันสายตาก็สบกับเรือนผมของนางที่เขาเป็นคนขมวดม้วนให้เมื่อยามเช้ามวยผมของนางนั้นเมื่อมองเปรียบเทียบกับมวยผมของสตรีออกเรือนในตลาดวันนี้นับว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่นจึงทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อเช้าคนในบ้านถึงมองนางตรงศีรษะแล้วหลุดหัวเราะขำขันออกมา เดิมทีเรื่องเรือนผมของสตรีนี้มิใช่เรื่องที่เขาใคร่สนใจไม่ว่าจะเป็นของมารดาหรือของน้องสาว แต่ว่ากับทรงผมของคนตรงหน้าคล้ายกับว่าเป็นความรับผิดชอบของเขามันเป็นความรับผิดชอบของเขาแต่เพียงผู้เดียวชายหนุ่มเริ่มครุ่นคิดอีกคราแต่ทว่าเรื่องที่คิดพลันเปลี่ยนไปเขามีนิสัยเถรตรงมีความรับผิดชอบสูงส่งในทุกๆ เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรเรื่องของคนตรงหน้าก็เช่นเดียวกันเขาคิดอย่างนั้นก่อนจะค่อยๆ เอื้อมฝ่ามือใหญ่หนาของเขาขึ้นจับมวยผมของภรรยาแล้วดึงปิ่นปักผมออกมาจนเส้นผมดำขลับของนางหลุดลุ่ยสยายปรกแผ่นหลังก่อนจะเริ่มต้นมวยผมให้นางใหม่หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจจนจมูกน้อยๆ ของตนชนกับผนังรถม้าเมื่อจู่ๆ มวยผมของนางถูกจับดึงออกอย่างนั้
สองพี่น้องต่างมองหน้ากันช่วยกันคิดหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นเพียงครู่รถม้าจึงหยุดเคลื่อนตัวลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเดินทางมาถึงจวนของตนแล้ว ฟงจินหมิงและฟงลี่หลินจึงพากันลงจากรถม้าและเมื่อสองพี่น้องพากันเดินเข้าจวนผ่านรถม้าคันแรกที่พี่ชายและพี่สะใภ้นั่งมา พวกเขาพลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะว่าหากรถม้าเข้ามาเทียบหน้าจวนแล้วและคนในรถม้าลงมาแล้วรถม้าย่อมต้องเคลื่อนตัวออกไปเพื่อที่บ่าวไพร่จะได้นำรถม้าไปเก็บที่โรงเรือนหลังจวน แต่ทว่ารถม้าคันแรกกลับนิ่ง!นั่นหมายความว่าคนข้างในยังไม่ลงมา…สองพี่น้องตระกูลฟงจึงหันหน้าเข้าหากันมองตากันอยู่อึดใจก่อนเคลื่อนกายไปทางรถม้าคันนั้นด้วยความเงียบเชียบไร้สรรพเสียงใดๆและแล้วเสียงจากภายในรถม้าพลันดัง“อ๊ะ! ข้าเจ็บ” เสียงแว่วหวานของฝ่ายสตรีดังออกมา“ทนหน่อย...ใกล้เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษพลันดังตามด้วยรถม้าโยกโยนเล็กน้อย“...!?”สองพี่น้องนอกรถม้าถึงกับยืนตัวเกร็งอ้าปากแข็งค้างมองหน้ากันนิ่งงันทั้งรูปประโยคต่อคำและรถม้าโยกแบบนั้นคืออันใด!?ไม่เพียงฟงจินหมิงและฟงลี่หลินเท่านั้นที่มีอาการคิดลึกนิ่งไป สองบุรุษและสามสตรีในอาภรณ์ทหารที่แอบตามพวกเขามาก็มีอาก
ภายในศาลาริมสระบัวหน้าเรือนกลางของจวนตระกูลฟงฮูหยินฟงกำลังนั่งบรรเลงเพลงพิณอยู่ภายในศาลาโดยมีผู้นำตระกูลฟงยืนกอดอกฟังภรรยาอย่างตั้งใจด้วยแววตาที่มิเคยเสื่อมแววรักใคร่อยู่ในนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุเข้าวัยกลางคนและมีบุตรชายบุตรสาวโตมากแล้วเสียงเพลงพิณอันเป็นเอกลักษณ์ของฟงฮูหยินทั้งยังไพเราะเสนาะหูดังแว่วมาตามสายลมทำให้พี่น้องตระกูลฟงที่เดินมาตามทางระหว่างเรือนที่ปูด้วยหินอ่อนต่างพากันเดินมาตามเสียงเพลงนั้นอย่างเหม่อลอยโดยมิได้นัดหมาย“ท่านพ่อตกหลุมรักท่านแม่ด้วยเพลงนี้ล่ะ ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังเมื่อครั้งแรกที่พวกท่านเจอกัน ท่านแม่กำลังบรรเลงเพลงพิณในงานสมโภชแห่งวังหลวง” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินเอ่ยขึ้นมา“อ่า...แล้วท่านแม่ตกหลุมรักท่านพ่ออย่างไร” ฟงจินหมิงเริ่มเอ่ยตามอย่างเข้าใจความนัยของน้องสาว“ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อเป็นคนเดินเข้ามาบอกรักกับท่านแม่แบบตรงๆ อย่างองอาจเยี่ยงชายชาติทหารต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้และข้าราชบริพารหลายคน นั่นจึงทำให้ท่านแม่ประทับใจในความกล้าหาญของท่านพ่อ การบอกรักใครสักคนต่อหน้าพยานมากมายเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง” ฟงลี่หลินรีบตอบคำ“อืม...” ฟงจินหมิงยักคิ้วใ
ริมศาลาขนาดเก้าเสากลางบึงสระบัวขนาดใหญ่ภายในจวนแห่งชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นเฉินชินอ๋องยังคงอารมณ์ดีมองฟงชินหยางอย่างนึกชมชอบในตัวบุรุษตรงหน้าไม่สร่างซา หากได้เขาคนนี้มาเป็นบุตรเขยเขาคงนอนตายตาหลับเป็นแน่แท้เสียงเพลงพิณยังคงแว่วดังพาทำนองน่าฟังขับกล่อมทุกผู้คนให้ถูกครอบงำด้วยสำเนียงเสียงแว่วหวานกังวานใสเคล้าคลอไปกับอากาศในยามสายของวันสบายๆ ผสมผสานสายลมเอื่อยเฉื่อยที่โลมไล้รอบเรือนกายของบุคคลทั้งหมดที่กำลังยืนอยู่ทางด้านนอกของศาลาอันใหญ่โตโอ่อ่า จู่ๆ เสียงทุ้มห้าวของบุรุษร่างใหญ่กำยำพลันดังทำลายบรรยากาศอันดีงามเสียสิ้น“กระหม่อมมีภรรยาอยู่แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”“...”เสียงนั้นเป็นเสียงของฟงชินหยาง เขาเลือกที่จะเอ่ยกับชินอ๋องตามตรงว่าเขามีภรรยาแล้ว เมื่อในวันนี้ชินอ๋องเองก็เลือกที่จะเอ่ยกับเขาตามตรงเช่นเดียวกัน เขาสังเกตได้ตลอดมาว่าธิดาของชินอ๋องชมชอบเขา หากแต่เขาไม่อาจปฏิเสธออกมาตามตรงได้แต่อย่างใด เนื่องจากจินเยว่ชิงและพระชายาเพียงทำท่าทางก้ำกึ่งตามแบบฉบับสตรีสูงศักดิ์มิได้เปิดเผยความนัยแบบตรงไปตรงมา เขาจึงทำได้แค่เพียงรอเวลานี้เพื่อที่จะให้ชินอ๋องได้ตัดสินใจเอ่ยกับเขาออกมา เขาจ
ในวันนี้ชินอ๋องเฉินจิ้นเหอส่งคนมาเชิญฟงชินหยางให้ไปร่วมดื่มน้ำชาเสวนาพาทีพร้อมเดินหมากล้อมกันตามปกติวิสัย ฟงชินหยางจึงเดินทางไปยังจวนของชินอ๋องในยามสายของวันโดยพาทหารหญิงคนสนิทข้างกายไปด้วยกันตามติดด้วยทหารหน้าบากนายหนึ่งตามไปด้วยอย่างมึนๆบุรุษร่างหนาใบหน้ามีแผลเป็นลากยาวหนวดเครารุงรังผู้นี้ยังคงทำหน้าที่อันหลากหลายได้ดีในทุกๆ วันไม่ว่าจะเป็นองครักษ์พิทักษ์พี่สะใภ้ เป็นหน่วยข่าวกรองไม่เปิดเผยตัวตนให้พี่ใหญ่ ทั้งยังเป็นหน่วยกล้าตายในสังกัดค่ายทหารได้อย่างแนบเนียน หลิงเวยและฟงจินหมิงเดินขนาบข้างมากับฟงชินหยางจนกระทั่งเข้ามายังภายในจวนก่อนจะถูกเชื้อเชิญจากข้ารับใช้ภายในจวนให้เดินตามไปยังทิศทางที่ข้ารับใช้บอกกล่าวว่าชินอ๋องทรงนั่งประทับรออยู่แล้วเป็นนานภายในศาลากลางสระบัวเพียงไม่นานบุคคลทั้งหมดจึงเดินมาถึงศาลาหลังใหญ่ขนาดเก้าเสาหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางบึงสระบัวขนาดกว้างขวางเมื่อฟงชินหยางเดินมาจนถึงศาลานั้น เสียงเพลงพิณแว่วหวานส่งสำเนียงทำนองเสียงใสพลันดังกังวานอยู่ภายในศาลาฟงชินหยางถึงกับชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หลิงเวยและฟงจินหมิงเองก็ไม่ต่างกัน ทั้งหมดพากันชะงักงันยืนตรึงอยู่กับท
“อันใดหรือเจ้าคะ” จินฮวาเอ่ยถามทหารหญิงคนสนิทของท่านแม่ทัพฟงในทันทีเมื่อมองเห็นผ้าปักงดงามล้ำค่ามากมายตรงหน้า “สำหรับลูกน้อยของเจ้าที่กำลังจะเกิดมา หวังว่าเจ้าคงไม่รังเกียจ” หลิงเวยบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจริงใจ“เอ่อ...มันงดงามมากเลยเจ้าค่ะ ไม่ธรรมดาเลย บุตรของข้ามิอาจเอื้อมเจ้าค่ะ” จินฮวาเอ่ยอย่างเกรงใจ ทุกวันนี้ท่านแม่ทัพฟงก็ดูแลพวกเราสองสามีภรรยาเป็นอย่างดีมากแล้ว“ข้ามีเยอะทีเดียว เจ้าอย่าได้เกรงใจ” หลิงเวยยังคงตั้งใจจริงจังในการขอโทษสตรีตั้งครรภ์ตรงหน้าจึงไม่คิดจะยินยอมให้จินฮวาปฏิเสธ “หากเจ้าไม่รับข้าเกรงว่าท่านแม่ทัพคงไม่พอใจ”“อา...เจ้าค่ะ” จินฮวายิ้มจนตาหยีรีบรับผ้าปักทั้งหมดเอาไว้ นางยอมรับว่าชมชอบอยู่ไม่น้อย ฝีมือปักผ้านี้ นางนั่งทำสิบปียังเทียบไม่ได้ “ผ้าปักพวกนี้ใส่ได้ทั้งบุตรสาวและบุตรชาย ไม่ว่าเจ้าจะได้บุตรเป็นชายหรือหญิงย่อมใช้ได้ทั้งหมด” “ขอบคุณแม่นางมากๆ เจ้าค่ะ ขอบคุณจริงๆ”สองสาวเพียงส่งยิ้มให้กันพร้อมเสียงหัวเราะสดใสดังกังวานคุยกันถูกปากถูกคอในเรื่องบุตรที่จะมีในไม่ช้าทำเอาในเวลาต่อมาเป็นฝ่ายบุรุษบ้างที่ต้องกลับกลายเป็นฝ่ายรอให้ฝ่ายสตรีเสวนาพาทีกันจนพอใจ
หลิงเวยสังเกตเห็นอาการตื่นเต้นนั้นของฟงชินหยาง นางจึงเริ่มขมวดคิ้วพันมุ่นเริ่มขัดเคืองฉับพลัน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามคำใด สตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งก็เดินนวยนาดเข้ามายังห้องโถงแห่งนี้“ท่านแม่ทัพฟง” เสียงอ่อนหวานของสตรีตั้งครรภ์ดังขึ้นทำให้หลิงเวยยิ่งเพิ่มระดับความขุ่นเคืองมองค้อนฟงชินหยางขวับๆฟงชินหยางเห็นหลิงเวยส่งสายตาสวยหวานพิฆาตมองมาจึงได้แต่เสียวสันหลังวาบๆ อย่างไม่เข้าใจอันใด ไยรู้สึกหนาว!จินฮวาผู้ไม่เข้าใจอันใดในบรรยากาศแปลกประหลาดจึงพาท้องกลมๆ ของตนเองมานั่งยังเก้าอี้บนโต๊ะอาหารตามวิสัยที่เคยกระทำมาเนื่องด้วยว่าท่านแม่ทัพฟงอนุญาตให้นางเป็นกรณีพิเศษ หลิงเวยเห็นสตรีตั้งครรภ์นางนี้ลงนั่งที่โต๊ะอาหารกับฟงชินหยางอย่างนั้นยิ่งเพิ่มระดับความโกรธกรุ่นจึงเอ่ย“ท่านแม่ทัพฟง” น้ำเสียงหวานล้ำแต่กลับแฝงความเย็นเยียบไม่ธรรมดาของหลิงเวยทำเอาฟงชินหยางถึงกับขนลุกชูชันนั่งตัวตรงแข็งทื่อกลายร่างเป็นก้อนหินก้อนใหญ่หลิงเวยยังคงเอ่ย “ท่านบอกแก่ข้าว่าไม่มีภรรยา เห็นได้ชัดว่าท่านโกหก!” ฟงชินหยางเลิกคิ้วคมเข้มขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบซ่อนคลื่นสั่นไหวในอารมณ์ในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร “ย่อมเป็น
หลายวันผ่านไป...ภายในค่ายทหารยังคงฝึกหนักเสียงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างดังเดิม มีการซ้อมเคลื่อนพลเคลื่อนทัพดังเดิม มีการผลิตอาวุธอันทรงพลังตามคำสั่งของท่านแม่ทัพตามเดิม มีกฎระเบียบที่แสนจะเคร่งครัดไม่มีลดหย่อนดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมและเพิ่มเติมมาก็คือท่านแม่ทัพฟงผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยอยู่เหนือผู้ใดกำลังถูกสตรีอัปลักษณ์นางหนึ่งครอบงำ หลิงเวยยังคงดูแลจัดการเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ดูแลทำแผลที่ได้รับจากการฝึกหนักดูแลเรื่องอาหารการกินให้ฟงชินหยางเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะยังคงตีเนียนทำตัวเป็นเพียงทหารหญิงรับใช้คนสนิทให้เขาโดยหาได้เปิดเผยฐานะจริงๆ ของตนไม่ ด้วยยังคงยึดมั่นในคำสั่งของแม่สามีเป็นอย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ฟงชินหยางก็ยังคงให้ความร่วมมือกับภรรยาตัวน้อยเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน เขาย่อมตามใจภรรยาในทุกๆ เรื่องโดยไม่ถามหาเหตุผลอันใดให้มากความ ในยามกลางวันนางอยากเป็นทหารหญิงรับใช้ให้เขาก็ให้เป็นไป เพียงแต่ในยามค่ำคืนนางต้องตามใจเขาในทุกกระบวนท่าลีลารักที่เขามอบให้ภายในห้องโถงของเรือนท่านแม่ทัพฟงบนโต๊ะอาหารที่มีกับข้าวมากมายหน้าตาน่าทานถูกจัดการเป็นพิเศษเพื่อท่านแม่ทัพฟงแต่เพียงผู้เดียวหลิงเวย
ฟงชินหยางเฝ้ากลืนกินภรรยาตัวน้อยตักตวงความสุขจากร่างบางนุ่มนิ่มพร้อมตอบกลับจัดให้ด้วยความสุขไม่ต่างกันหลิงเวยแหงนหน้าปรือตามองคนตัวใหญ่ด้วยสายตาหยาดเยิ้มฉ่ำน้ำสบเข้าไปในดวงตาคู่คมที่กำลังทอประกายร้อนแรงก่อนถูกเขาปล้นลมหายใจด้วยจุมพิตเร่าร้อนเคล้าคลึงด้วยอารมณ์รัญจวนให้ยิ่งกระพือหวามไหวหัวใจเต้นเร่าๆ แทบทะลุออกมานอกอก ปลายลิ้นของทั้งสองโรมรันพัลวันก่อนจะลากไล้พันกันอีกเพียงครู่แล้วปล่อยออกจากกันเพื่อให้อิสระในการส่งเสียงครางครวญยามเมื่อเส้นทางปลายฝันเริ่มกระชั้นเข้ามาซึ่งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็มิรู้ได้ เส้นทางฝั่งฝันระยิบระยับของพวกเขาช่างมีมากเส้นนักหนา พวกเขาไต่เส้นฝันกันทั้งวันทั้งคืนไม่รู้กี่เส้นต่อกี่เส้น กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนเตียงตั่งขาโก่งขางอคนสองคนร่างสองร่างที่กำลังสอดประสานเข้าออกรุนแรงยังคงเร่าร้อนไต่ระดับพายุอารมณ์โดยไม่มีเก็บข่มใดๆกายหนาหยาบแกร่งกระแทกกระทั้นกระตุ้นเร้าให้ร่างบางสั่นสะท้านขึ้นลงไม่หนักไม่เบามอบความกระสันเสียวซ่านสาดเข้าใส่จนมีบางอย่างสาดกระเซ็นคล้ายระลอกคลื่นของสายธารคล้ายลาวาร้อนฉ่าท่วมทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มอ่อนนุ่มจนชุ่มชื้นถึงแม้จะมิได้เอื้อนเอ่ย ถึงแ
หลิงเวยหน้าแดงก่ำไม่สร่างซาเมื่อถูกบุรุษตัวใหญ่หนากระทำตามใจไม่เปลี่ยนแปลงแต่ทว่านางยังคงเชื่อฟังคำสั่งของแม่สามีเป็นอย่างดีถึงการปลอมตัวในครั้งนี้“ท่านไม่ควรทำตัวอย่างนี้กับสตรีแปลกหน้า” หลิงเวยเอ่ยคำเพื่อตักเตือนฟงชินหยางขณะถูกเขาช้อนร่างขึ้นอุ้มแล้วพานางมาวางบนเตียงนอนเตียงเดิมหลังจากที่เขาเข้ามาหานางตามคำเรียกหาแล้วพานางอาบน้ำใส่ผ้าแต่ทว่าเขากลับถอดผ้าของนางออกแล้วอุ้มนางมาที่เตียงนอน นางยังขาสั่นอยู่เลยทำต่อไม่ไหวเสียแล้ว“ลืมเรื่องเมื่อคืนแล้วหรือไร ไยความจำสั้น นี่มิใช่ว่าเราควรทำความรู้จักกันให้มากเข้าไว้หรอกหรือ” ฟงชินหยางยังคงให้ความร่วมมือในการปลอมตัวของภรรยาตัวน้อยเป็นอย่างดีขณะกำลังขึ้นคร่อมนางแบบทั้งตัว“หากว่าเรารู้จักกันแล้วอย่างไร ภรรยาของท่านคงไม่ยินดี” หลิงเวยตีมึนถามเจ้าของแผงอกแข็งตึงที่กำลังเบียดเสียดกับหน้าอกนุ่มๆ ของนางอย่างต้องการลองหยั่งเชิงเขา“อา...ข้าจะบอกว่าอย่างไรดี อืม...” ฟงชินหยางทำท่าคิดหนักบางอย่าง “ข้าควรบอกว่ายังไม่มีภรรยา”“...!”และอีกคราที่หลิงเวยต้องส่งค้อนวงใหญ่ใส่ฟงชินหยางชายหนุ่มไม่สนใจดวงตาสวยใสที่กำลังมองค้อนขวับๆ ตรงหน้า เขายังคงก้มหน
“เจ้าหน้าบาก”“...!”เส้นเสียงทุ้มห้าวคำรามออกมาจากแม่ทัพฟงผู้ยิ่งใหญ่ทำเอาคนถูกเรียกถึงกับหางคิ้วกระดิกมุมปากกระตุกไม่คิดจะถามชื่อแซ่กันเลยรึพี่ใหญ่!ฟงชินหยางยืนถมึงทึงเอ่ยสั่งการเสียงดังไปทางบุรุษตัวโตที่ใบหน้ามีหนวดเครารุงรังพร้อมรอยแผลเป็นลากยาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางลานกว้าง “เจ้าจงตามไปไต่สวนห้าคนนี้ร่วมกับรองแม่ทัพจิ่น เข้าใจหรือไม่เจ้าหน้าบาก”ฟงจินหมิงจึงลุกขึ้นยืนนิ่งๆ จ้องมองฟงชินหยางด้วยมาดไม่ธรรมดาพร้อมสายตาคมกล้าเอ่ยออกมา “ขอรับท่านแม่ทัพฟง”ฮึ่ม! ชื่อเจ้าหน้าบากก็ได้!“ออกไปให้หมด!” แม่ทัพหนุ่มคำรามอีกคราพาเอาเหล่าทหารกล้ารีบประสานมือเสียงดังพรึ่บพั่บก้มหัวคำนับแล้วรีบหมุนตัวจากไปอย่างไวฟงชินหยางจึงเดินตรวจตราภายในค่ายตามวิสัย ทุกทิศที่สายตาคมปลาบมองปราดไป เหล่าทหารทั้งหลายได้แต่อกสั่นขวัญแขวนรีบตรึงตัวขึงขังทำหน้าที่รับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มกำลังคนใดฝึกยิ่งฝึกหนัก คนใดแบกหามยิ่งแบกหาม คนใดกวาดลานยิ่งกวาดลาน คนใดแอบหลับยิ่งต้องตื่นเต็มตาหาไม่แล้วคงไม่แคล้วได้หลับไปตลอดกาล ความเจ้ากฎเจ้าระเบียบเที่ยงตรงไม่อาจดูแคลน ความโหดเหี้ยมแต่เปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรมไม่อา
บนเตียงนอนหนานุ่มภายในห้องนอนของเรือนประจำตำแหน่งแม่ทัพหลิงเวยสะลึมสลือตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวตุบๆ รู้สึกพะอืดพะอมทั้งยังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงมากมายนักนางพยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่งพลันรู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางหว่างขาและยิ่งปวดหนึบยิ่งกว่าตั้งแต่ช่วงเอวลงไปนางรู้สึกคล้ายเอวจะเคล็ดเสียด้วยอา...สะโพกระบมไปหมดผิวเนื้อของนางถึงขั้นบวมน้ำเลยเชียวหญิงสาวนั่งระลึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนอันร้อนแรงถึงจิตถึงใจกับฟงชินหยางสามีของนางนางพอจะจำได้เลือนรางว่านางรู้สึกแปลกๆ หลังจากที่ดื่มเหล้าของเขาเข้าไปหลังจากนั้นบนเตียงนอนนี้นางก็ถูกเขาจัดการเสียหลายท่าไม่ว่าจะเป็น นอนหงายฉีกขา นั่งผสานชันเข่า นอนคว่ำโก่งโค้ง นอนคว่ำคร่อมหลัง คลานเข่าเดินหน้า กึ่งนอนที่ขอบเตียง กระทั่งท่ายืนหันหน้าหันหลัง เขาขืนใจนางได้ทุกท่วงท่าด้วยลีลาร้ายกาจ แต่...อืม...หรือว่าเป็นนางที่ขืนใจเขาหลิงเวยสลัดศีรษะเบาๆ กะพริบตาขึ้นลงไล่ความมึนงงให้หลุดออกไป เห็นได้ชัดว่าในเหล้านั้นมียาบางอย่าง หากนางไม่เป็นคนดื่มมันแน่นอนว่าคนที่ดื่มมันย่อมต้องเป็นฟงชินหยางและหากว่านางมิได้เข้ามาแทรกกลางแน่นอนว่าคนที่มานอนที่เตียงนี่ย่