“พี่ชาย!”
ซิ่นฮวาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางบุรุษหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เพราะนางเป็นแค่เด็กห้าขวบจึงได้แต่แหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อได้เห็นแววตาประหลาดใจของเขา
“เจ้ามองเห็นข้ารึ” ชายหนุ่มถามแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า ทำให้เด็กหญิงไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา
“ข้ามีสองตาย่อมมองเห็นพี่ชาย” เด็กหญิงยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าเห็นพี่ชายหลายครั้งแล้ว ไยพี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า”
บุรุษหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไร เขามองเห็นนางตั้งแต่วันที่นางกับพี่ชายฝาแฝดของนางลืมตาแล้ว คอยเฝ้ามองนางเติบโตเช่นเดียวกับที่มองดูมารดาของนาง แต่เขาไม่รู้เลยว่า เด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้มองเห็นเขาเช่นกัน เด็กหญิงยื่นมือไปจับเส้นผมนุ่มสลวยของเขาขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เหมือนที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเลย” เด็กหญิงส่งยิ้มกว้าง “ท่านแม่บอกว่าพี่ชายเป็นสหายของท่านแม่”
“ฮืม” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“คนอื่นมองไม่เห็นท่าน มีแต่ข้าที่มองเห็น” ราวกับค้นพบของล้ำค่า เด็กหญิงตัวน้อยแสดงความดีใจเป็นรอยยิ้มจนแก้มของนางเหมือนก้อนแป้งกลมๆ
เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ไม่คิดว่าลูกสาวของว่านหนิงเหมยมองเห็นเขาเช่นนี้ อึดใจต่อมาเขารับรู้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาทางเขาและเด็กน้อย ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนทำท่าจะหายตัวไป แต่มือเล็กๆ นั้นคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ก่อน
“พี่ชาย ข้าจะได้เจอพี่ชายอีกไหม”
“เจ้าอยากพบข้า?”
“อือ” เด็กหญิงพยักหน้าแรงๆ
“ข้าไม่ใช่มนุษย์ ไม่ควรพบเจอเจ้าบ่อยๆ” เขาปลดมือของเด็กหญิงออกอย่างเบามือ รับรู้การเข้ามาใกล้ของใครบางคน เขารีบหมุนตัวก้าวเดินจากมาไม่สนใจแววตาเสียใจของเด็กน้อย
“ฮวงหลง!”
ร่างสูงเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงถึงกับชะงัก เขาหันขวับกลับมามองเด็กหญิงผู้นั้นด้วยความตกตะลึง
แต่นางกลับยิ้มออกมา
“ชื่อของพี่ชายคือฮวงหลงใช่ไหม?”
เห็นเขาหันหลังให้นางปวดใจนัก แต่พอนึกได้ลองเรียกชื่อเขาออกไปกลับรั้งพี่ชายผู้นั้นไว้ได้ นางเคยพูดคุยกับท่านแม่เรื่องที่นางมองเห็นชายเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงแต่ไม่มีผู้อื่นเห็น ท่านแม่จึงกระซิบบอกความลับนี้แก่นาง
“เจ้า!” น่าตายนัก! ต้องเป็นว่านหนิงเหมยที่บอกเด็กน้อยเป็นแน่ “นามของข้ามิใช่สิ่งที่เจ้าจะเอามาพูดเล่นเช่นนี้”
“คราวหน้าพี่ชายมาหาข้าอีกนะ ข้าอยากเจอพี่ชาย”
ซิ่นฮวายิ้มให้ควาททรงจำในวัยเด็กของตนเอง นางจำใบหน้าและท่าทางเหมือนกลายเป็นก้อนหินของเขาได้ดียิ่ง
‘ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็มิได้ จะหัวเราะก็ไม่ออก’
ไม่รู้เหตุใดนางจึงเห็นเขา แม้กระทั่งซิ่นหลิงซึ่งเป็นฝาแฝดกับนางยังมองไม่เห็น มีแต่มารดาเท่านั้นที่เข้าใจและเชื่อว่านางเห็นชายผู้นั้นจริงๆ
“เจ้าไม่ควรเรียกพี่ชายมาปรากฏกายบ่อยๆ นะ”
“เหตุใดข้าจะเรียกพี่ชายมาพบข้าไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
“พี่ชายผู้นั้นเป็นเทพมังกรดิน ย่อมมีภารกิจที่ต้องทำมากมายนัก เขาไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้าหรอกนะ” มารดาวางมือบนศีรษะน้อยๆ ของนางแล้วยิ้มอ่อนโยน
“ภารกิจ? ภารกิจอะไรเจ้าคะ”
มารดาหัวเราะเบาๆ พยายามหาคำอธิบายให้ลูกสาวตัวน้อยแล้วเอ่ยออกมา “ช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนอย่างไรลูก”
นางกลอกตาไปมา เขามา ‘เล่น’ กับนางไม่ได้ แต่หากมีเรื่องเดือดร้อนก็ย่อมมาได้สินะ ด้วยเหตุผลนี้นางผู้รักความยุติธรรมตั้งแต่เด็ก นางและซิ่นหลิงมักแต่งกายเหมือนกันออกไปเที่ยวเล่นนอกตำหนักอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่นางพบผู้คนเดือดร้อน นางเป็นต้องเรียก ‘พี่ชาย’ ออกมาช่วยเหลือทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะทำหน้าบึ้งตึง ดุดัน ขึงตาใส่นางอย่างไร นางกลับไม่เคยกลัวเขาสักครั้ง
“ถ้าพี่ชายไม่มาท่านคิดว่าข้าซึ่งเป็นเด็กหญิงตัวเล็กบอบบางจะจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร”
เขาอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงก็เปลี่ยนใจเป็นเม้มปากแน่นราวกลัวว่าถ้าปริปากส่งเสียงออกมาสักคำหนึ่งจะทำให้นางหาเรื่องตอบโต้เขาได้อีก
เป็นถึงเทพมังกรดินแต่เถียงสู้เด็กห้าขวบก็มิได้ รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
แม้บิดาจะรักใคร่เอ็นดูตามใจนาง แต่ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจที่นางสนิทสนมกับเทพมังกรดินนัก มารดาเองก็คอยตักเตือนนางเสมอ
“ทำไมท่านพ่อไม่ชอบเทพมังกรดินเล่าท่านแม่ ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ นานาว่าเทพมังกรดินคุ้มครองตุนหวง ช่วยเหลือผู้คนให้พ้นภัยมาหลายครั้งหลายคราแล้ว”
นางจำได้ว่าครั้งนั้นนางถามไปอย่างไม่เข้าใจท่าทีของบิดา แต่มารดากลับหัวเราะออกมาแล้วยื่นข้อเสนอให้นาง
“ทุกปีแม่เป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน เจ้าเคยเห็นแม่บรรเลง
ผีผาในงานพิธีใช่ไหม?”นางพยักหน้าแทนคำตอบ ปีนขึ้นไปนั่งตักมารดาอย่างตั้งใจฟัง
“แม่จะให้เจ้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน...”
“ลูกอยากทำเจ้าค่ะท่านแม่” นางรีบพูดแทรกขึ้นทั้งที่มารดายังพูดไม่จบ นางเห็นสายตาตำหนิของมารดา รีบยกมือขึ้นปิดปากทำท่าสำนึกผิดที่พูดแทรกทั้งที่มารดายังพูดไม่จบประโยค
“หากเจ้าปรารถนาจะเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน เจ้าควรฝึกบรรเลงเครื่องดนตรี เจ้าชอบสิ่งใดก็จงฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ”
นางในวัยเด็กเห็นมารดาเพียบพร้อม ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน เล่นดนตรีได้ไพเราะ บางคราวก็เห็นมารดากับบิดานั่งเล่นหมากกระดานด้วยกัน ทั้งโคลงกลอนก็เรียกได้ว่าไม่ด้อยกว่าใคร นางจึงตัดสินจะเป็น ‘หญิงงาม’ แบบท่านแม่ให้ได้
เนื่องจากบิดาร่ำรวย นางจึงมีเครื่องดนตรีมากมายให้ลองหยิบจับสัมผัส นางซึ่ง...ไม่อาจเอาดีด้านวรยุทธ ต่างจากซิ่นหลิงที่อายุน้อยแต่เดินลมปราณได้แล้ว เมื่อบิดาเห็นว่านางสนใจดนตรีก็สรรหาอาจารย์มาสอนให้ นางเลือกเล่นพิณเพราะคิดไปว่ามันช่างแสนสง่างามหากนางนั่งบรรเลงบนแท่นพิธีในงานบวงสรวง ทว่านิ้วเล็กๆ ของนางต้องทนเจ็บปวดกับการฝึกดีดพิณ แต่เพราะนางตั้งใจจะเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน ทำให้นางมีความพยายามและมุ่งมั่นจนอายุเจ็ดขวบนางก็เล่นพิณเจ็ดสายได้อย่างชำนาญ และในปีต่อมานางก็เล่นพิณสิบสองสายได้อย่างไพเราะ
นางไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่กันที่นางหวังจะเป็นหญิงที่เหมาะสมเคียงข้างบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงผู้นั้น นางฝึกร่ายรำและเขียนโคลงกลอน มารดาเห็นความพยายามของนางจึงยอมให้นางเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน ในเวลานั้นนางอายุสิบสอง และหลังจากนั้นซิ่นหลิง ซาโม่ และกันอี๋ก็ออกเดินทางพร้อมองครักษ์ฝาแฝดเจิ้งหู่เจิ้งไฉ ส่วนนางอยู่กับจิ่นสือ แม้บิดามีราชกิจมากมายเพียงใดก็ยังสละเวลาฝึกวรยุทธให้จิ่นสือด้วยตนเอง
ในปีที่นางอายุสิบห้าสวมเสื้อผ้างดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม นางเพิ่งเสร็จพิธีบูชาเทพมังกรดินและขอตัวแยกกับผู้อื่นมานั่งพักในห้องของนาง นางนั่งอยู่ปลายเตียงยืดหลังตรงรอคอยการมาของใครบางคนที่นางกระซิบเรียกชื่อเขาออกไป เพราะเขาปรากฏออกมาช้าทำให้นางกระวนกระวายใจจนอ้าปากจะเรียกชื่อเขาอีกครั้ง แต่บุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงพลันมายืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”