พิมพ์ดาวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า ราวกับว่าเธอได้ยินอะไรผิดไป
“คุณพูดว่าอะไรนะคะ?” เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
ธีรภัทรยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเจ้าเล่ห์
“คุณได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ผมเสนอที่จะช่วยเหลือครอบครัวของคุณ แลกกับการที่คุณต้องแต่งงานกับผมเป็นเวลา 1 ปี”
“มันไร้สาระ!” พิมพ์ดาวโพล่งขึ้น น้ำเสียงเธอสั่นเครือด้วยความโกรธ “ฉันไม่มีวันแต่งงานกับคุณ!”
“ใจเย็นก่อนลูก” เจ้าสัวพิชิตแตะมือเธอเบา ๆ เพื่อให้เธอสงบลง เขาหันไปมองธีรภัทรด้วยสายตาครุ่นคิด
“คุณธีรภัทร นี่เป็นข้อเสนอที่ค่อนข้าง…สุดโต่งไปหน่อย”
“สุดโต่ง?” ธีรภัทรหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหน้า วางข้อศอกลงบนโต๊ะ “เจ้าสัวครับ ผมคิดว่าคุณเองก็คงรู้ดี ว่าตอนนี้คุณไม่มีทางเลือกมากนัก”
พิมพ์ดาวกัดริมฝีปากแน่น เธออยากเถียงแต่ก็รู้ว่าคำพูดของธีรภัทรไม่ผิดนัก ครอบครัวของเธอกำลังจะล้มละลาย หนี้สินพอกพูน และถ้าไม่มีใครช่วยเหลือ พ่อของเธออาจถูกฟ้องล้มละลาย และน้องชายของเธอคงต้องออกจากโรงเรียนแน่ ๆ
เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดอารมณ์ที่ตีตื้นขึ้นมา “ฉันจะหาทางออกเอง”
“ฉันไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับคุณเพื่อแก้ปัญหาของครอบครัว”
ธีรภัทรยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมกริบจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน
“งั้นหรือ?”
ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางผ่อนคลายแต่แฝงไปด้วยความเหนือกว่า
“ถ้าอย่างนั้น พวกคุณลองดูหนทางอื่นก่อนก็ได้ หากคุณอยากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ค่อยติดต่อผมกลับมา”
คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลงกลางใจของพิมพ์ดาว แต่เธอทำได้เพียงจ้องมองเขาด้วยความขุ่นเคือง ในขณะที่เจ้าสัวพิชิตได้แต่มองไปทางชายหนุ่มพลางคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อไม่เห็นมีใครพูดอะไรแล้ว ธีรภัทรจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”
พูดจบก็เดินออกจากห้องอาหารไปอย่างอารมณ์ดี
คฤหาสน์วรากร
บรรยากาศในห้องนั่งเล่นตึงเครียดราวกับมีพายุพัดผ่าน เจ้าสัวพิชิตวางเอกสารหนาปึกลงบนโต๊ะรับแขก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเครียด
“นี่คือรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้สินของตระกูลเรา และคาดว่าจะมีหมายศาลมาที่บ้านเราในอีกสามวัน”
พิมพ์ดาวตัวแข็งทื่อ เธอหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านด้วยมือสั่น ๆ และสิ่งที่เธอเห็นทำให้หัวใจของเธอร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ไม่จริง…” เธอพึมพำออกมาเบา ๆ
“พ่อก็อยากให้มันไม่เป็นความจริง” เจ้าสัวพูดออกมาด้วยเสียงอ่อยพร้อมกับมองไปที่ทุกคน และกลับมาหยุดที่หน้าของพิมพ์ดาว
“เราจะแก้วิกฤตนี้ได้ยังไงค่ะ” เสียงหญิงสาวราวกับกระซิบออกมา เธอรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่แค่ยังไม่อยากยอมรับมัน
“และถ้าหากไม่มีเงินก้อนใหญ่มาช่วยเหลือ ตระกูลวรากรจะต้องประกาศล้มละลายในเวลาไม่กี่เดือน” เสียงทุ้มต่ำของเจ้าสัวตอบคำถามของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนด้วยความปวดใจ
เธอหันไปมองเจ้าสัวพิชิต ดวงตาของพ่อเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและความเหนื่อยล้า เธอรู้ว่าเขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ทุกอย่างมันยากเกินไป
“และตอนนี้คนที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเรามีแค่คุณธีรภัทรเท่านั้น” เจ้าสัวพูดต่อเมื่อลูกสาวไม่ได้พูดอะไรอีก
พิมพ์ดาวเม้มริมฝีปากแน่น “เขาไม่มีเหตุผลอะไรต้องช่วยเราถ้าไม่มีแผนอะไรอยู่ในใจ”
เจ้าสัวถอนหายใจ
“เขาอาจจะสนใจในตัวลูกก็ได้ พ่อได้ข่าวว่าเขายังไม่มีแฟน และไม่สนใจผู้หญิงคนไหน ค่อนข้างจะเย็นชา เราไม่เคยไปมาหาสู่กัน แต่เมื่อเรามีปัญหาเขากลับยื่นมือเข้ามาช่วย ถ้าไม่ใช่ว่าสนใจในตัวลูกจะเป็นอะไรได้อีก”
เจ้าสัวพยายามพูดจาหว่านล้อมลูกสาว เขาก็ไม่มีทางเลือกจริง ๆ
“ถ้าเขาสนใจหนูจริง คงไม่ยื่นข้อเสนอการแต่งงานแค่ปีเดียวหรอกค่ะ” หญิงสาวยังไม่ละความพยายาม เธอรู้สึกไม่ไว้วางใจผู้ชายคนนี้เลย ลางสังหรณ์บอกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
“หา แต่งแค่ปีเดียว จากนั้นลูกสาวแม่ต้องเป็นหม้ายอย่างนั้นเหรอ แม่ไม่ยอมหรอก” คุณหญิงจินดาโวยวายออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปกอดลูกสาวไว้ พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา
“คุณหญิง สัญญาหนึ่งปีนั้น ผมว่าน่าจะเป็นการดูใจกันว่าไปด้วยกันได้หรือเปล่า ถ้าหากลูกเรากับเขาไปด้วยกันได้ ตระกูลเราก็สามารถรอดพ้นวิกฤตนี้ได้ และได้เกี่ยวดองกับนักธุรกิจยักษ์ใหญ่ไม่ดีหรือยังไง” เจ้าสัวพยายามปลอบภรรยาของตัวเองให้มองไปอีกมุม
“ไม่มีทางออกอื่นอีกแล้วเหรอค่ะ คุณ” น้ำเสียงของคุณหญิงเริ่มอ่อนลง
“ไม่มีจริง ๆ หนูดาว พ่อขอโทษจริง ๆ นะ” เจ้าสัวขอโทษลูกสาวอย่างจนใจ หากเป็นเมื่อก่อนแค่มีใครมาจีบลูกสาว เขายังจะกำจัดทิ้งไป ไม่ต้องพูดถึงเงื่อนไขบ้าบอเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ
พิมพ์ดาวหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่อย่างแน่วแน่
“โอเคค่ะ เพื่อครอบครัว หนูจะยอมแต่งงานกับเขา หนูจะทำตัวให้ดีที่สุด”
“พี่ดาว...ผมดรอปเรียนไว้ก่อนก็ได้นะฮะ พี่ไม่ต้องเสียสละตัวเองอย่างนี้หรอกนะฮะ” ภัทรพล หรือ ภัทร น้องชายของพิมพ์ดาว ในวัย 20 ปี กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย ปี 2
พิมพ์ดาวหันไปหาน้องชายแล้วยิ้มบาง ๆ ให้
“ไม่ได้นะภัทร เราอยู่ปีสองแล้ว ทนหน่อยอีกแค่สองปี เราก็จบแล้ว ใครจะไปรู้พี่อาจจะได้เลิกกับหมอนั่นก่อนก็ได้” ร่างบางพยายามฝืนยิ้มออกมาไม่ให้น้องชายต้องกังวล
“ผมจะรีบเรียนให้จบเพื่อมาช่วยพี่ กับพ่อนะฮะ”
“ดีมากเลยจ๊ะ” ดาวเอื้อมมือไปลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู
“งั้นพรุ่งนี้พ่อจะรีบติดต่อไปที่คุณธีรภัทรเพื่อยืนยันข้อตกลงนะ” เจ้าสัวหันมายืนยันกับพิมพ์ดาวอีกครั้ง
“รบกวนคุณพ่อแจ้งเขาด้วยค่ะ ว่าดาวจะเข้าไปหาเขาที่บริษัทเอง”
เจ้าสัวพิชิตพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “จะให้พ่อไปด้วยมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดาวไปคนเดียวดีกว่า มีเรื่องถามเขาด้วยเช่นกันค่ะ” พิมพ์ดาวตอบพร้อมกับมองออกไปข้างหน้าอย่างคนใช้ความคิด
ห้องทำงานของประธานบริษัท อัครเดชากุล กรุ๊ป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญครับ”
“คุณธีร์ค่ะ คุณพิมพ์ดาว วรากรขอเข้าพบค่ะ”
ธีรภัทรเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร มุมปากกระตุกยิ้ม “ให้เธอเข้ามา”
เมื่อเลขาเดินออกไป ชายหนุ่มเดินไปนั่งไขว่ห้างที่โซฟารับแขกแทน มือแกร่งยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์
พิมพ์ดาวเดินเข้ามาในห้องทำงานของธีรภัทรด้วยความประหม่า หญิงสาวเดินมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ
“สวัสดีครับ คุณดาว เชิญนั่งครับ” ร่างสูงผายมือเชื้อเชิญออกไป
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ เธอนั่งลงอย่างสง่างาม แม้ภายในใจจะวุ่นวาย
“วันนี้มาหาผมถึงที่นี่ คุณน่าจะมีคำตอบให้ผมแล้วใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ก่อนที่ฉันจะให้คำตอบคุณ ฉันขอถามคำถามข้อหนึ่งได้มั้ยค่ะ” พิมพ์ดาวรู้สึกประหม่าอย่างมาก แต่เธออยากรู้เหลือเกินว่าชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงยื่นข้อเสนอนี่ออกมา
“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่”
ธีรภัทรยิ้มบาง ๆ “ผมต้องการเพียงสิ่งเดียว…คุณ”
หัวใจของพิมพ์ดาวกระตุกวูบ คำพูดของเขาชัดเจน แต่เธอรู้ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น
เธอหลับตา สูดหายใจลึก แล้วเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาแน่วแน่ “ตกลง…ฉันจะแต่งงานกับคุณ”
ธีรภัทรพยักหน้าอย่างพอใจ “ดี เราจะจัดงานแต่งภายในหนึ่งเดือน”
พิมพ์ดาวไม่ตอบ เธอรู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล แต่เพื่อครอบครัวของเธอ เธอไม่มีทางเลือกอื่น…
พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพูดเสียงสั่นว่า "ฉัน… ฉันพร้อมแล้ว ที่จะให้โอกาสคุณอีกครั้ง"ธีรภัทรเบิกตากว้าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้า เขายกมือขึ้นกุมมือของพิมพ์ดาวแน่น ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด"ขอบคุณนะพิมพ์ดาว… ขอบคุณที่ยอมให้โอกาสผม…"ปริญมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน"ผมยินดีกับพวกคุณทั้งสองคนจริง ๆ" ปริญพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปหาธีรภัทรธีรภัทรลุกขึ้นยืนหันไปมองปริญ ปริญยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า"ฉันกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่ขอให้รู้ไว้ ถ้านายทำให้พิมพ์ดาวเสียใจแม้แต่นิดเดียว… ฉันจะกลับมา และพาพิมพ์ดาวกับลูกหนีไปจากนายทันที"ธีรภัทรมองสบตาปริญด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าตอบ"ฉันสัญญา… ฉันจะไม่มีวันทำให้พิมพ์ดาวเสียใจอีก"ปริญยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะตบไหล่ธีรภัทรเบา ๆทันใดนั้น…"แด๊ดดี้! แม่!"เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นก่อนที่พัตเตอร์จะวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก เด็กน้อยวิ่งตรงมาหาธีรภัทรกับพิมพ์ดาว ก่อนจะกระโดดกอดพวกเข
ปริญยืนมองหลังของธีรภัทรที่เดินจากไปจนลับสายตา เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบเครื่องอัดเสียงขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คลื่นความรู้สึกบางอย่างกระเพื่อมอยู่ในอก เขารู้ดีว่าธีรภัทรรักพิมพ์ดาวมากแค่ไหน คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดเพื่อเอาใจ แต่เป็นคำพูดที่มาจากหัวใจอย่างแท้จริงปริญก้มมองเครื่องอัดเสียงในมือ ก่อนจะกำมันไว้แน่น และตัดสินใจเดินตรงไปที่รถของตัวเอง เขาสตาร์ทรถและมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของพิมพ์ดาวทันทีบรรยากาศในบ้านของพิมพ์ดาวเงียบสงบ มีเพียงเสียงของลมที่พัดผ่านหน้าต่าง ปริญนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น โดยมีพิมพ์ดาว พ่อ แม่ และน้องชายของเธอนั่งอยู่ล้อมรอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด"ปริญ... มีอะไรเหรอ?" พิมพ์ดาวถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสงสัยปริญสบตากับเธอ ก่อนจะยกเครื่องอัดเสียงขึ้นมา"ฉันอยากให้พวกเธอได้ยินสิ่งนี้" เขาพูดช้า ๆ ก่อนจะเปิดเครื่องอัดเสียงทันทีที่เสียงของธีรภัทรดังขึ้น ความเงียบก็ปกคลุมทั่วห้อง"ผมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น..."ดวงตาของพิมพ์ดาวเบิกกว้าง หัวใจเธอเต้นแรงเม
เสียงเครื่องบินที่กำลังลดระดับลงล้อแตะกับรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้พิมพ์ดาวที่กำลังยืนรออยู่หน้าเกทขาเข้าหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังประตูที่กำลังเปิดออก ผู้โดยสารทยอยเดินออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของพ่อ แม่ และน้องชายที่เดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต พิมพ์ดาวรีบสาวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะโผเข้าสวมกอดมารดาแน่น ร่างบางสั่นไหวเล็กน้อยอย่างตื้นตัน“คุณแม่... คุณพ่อ...” พิมพ์ดาวน้ำตาคลอเบ้า“แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน” น้ำเสียงอบอุ่นของมารดาทำให้พิมพ์ดาวกอดท่านแน่นขึ้น ก่อนจะหันไปกอดบิดา และสุดท้ายคือ ภัทร น้องชายที่ยืนกอดอก มองพี่สาวด้วยสีหน้ากึ่งดีใจ กึ่งเคืองขุ่น“กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ” พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่คุณหญิงจินดาและเจ้าสัวพิชิตพยักหน้า แม้รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านทั้งสองจะดูขมขื่นเล็กน้อยก็ตาม“กลับมาก็ดีแล้วล่ะ จะได้ดูแลพิมพ์ดาวกับหลานให้ดี ๆ เสียที” เจ้าสัวพิชิตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม แววตาเย็นชานั้นทำให้พิมพ์ดาวรู้ดีว่าเขายังไม่ให้อภัยธีรภัทร
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลอดผ่านม่านสีขาวภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสงบอย่างน่าประหลาด พิมพ์ดาวนั่งเฝ้าธีรภัทรอยู่ข้างเตียง ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวของชายหนุ่มที่ยังคงหลับสนิทเธอวางมือลงเบา ๆ บนหลังมือของเขา แม้ไม่อยากยอมรับ แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงทุกครั้งที่ได้สัมผัสเขาแบบนี้"อืม..."เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นจากริมฝีปากของธีรภัทร ก่อนที่เปลือกตาของเขาจะขยับเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขากวาดมองไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของพิมพ์ดาว"พิมพ์..." เสียงของเขาแหบพร่าและอ่อนแรง แต่แฝงไว้ด้วยความดีใจอย่างชัดเจน "เธอกับลูก... ปลอดภัยใช่มั้ย?"พิมพ์ดาวเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ความเป็นห่วงเป็นใยของเขาที่มีต่อเธอและพัตเตอร์ ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาโดยไม่รู้ตัว"พวกเราปลอดภัย..." เธอตอบเสียงเบา ก่อนจะก้มลงไปใกล้เขา "คุณน่ะสิ เป็นยังไงบ้าง?"ธีรภัทรยิ้มบาง ๆ แม้ใบหน
วันต่อมา – หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์พิมพ์ดาวยืนอยู่หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์ในช่วงเย็น ขณะที่ธีรภัทรยืนอยู่ข้าง ๆ เขาใส่สูทสีเข้ม ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่พัตเตอร์กำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ที่สนามเด็กเล่น"ขอบคุณนะคะ ที่มารับพัตเตอร์ด้วยกันทุกวัน" พิมพ์ดาวพูดเบา ๆธีรภัทรหันไปมองเธอ รอยยิ้มบางปรากฏบนริมฝีปาก "ไม่เป็นไรครับ ผมอยากมาอยู่กับพวกคุณ"พิมพ์ดาวหลุบตาลง เธอรู้สึกว่าธีรภัทรกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เธอเปิดใจ แต่เธอยังไม่กล้าที่จะเชื่อใจเขาเต็มร้อยทันใดนั้น…"พิมพ์ดาว!!"เสียงแหลมสูงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น ทำให้พิมพ์ดาวและธีรภัทรหันไปมองทันทีร่างของกานต์รวีในชุดเดรสสีดำแนบเนื้อพุ่งตรงเข้ามาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ในมือของเธอมีมีดคมกริบเล่มหนึ่ง"กานต์รวี!" ธีรภัทรร้องเสียงดัง ขณะที่กานต์รวีพุ่งเข้าหาพิมพ์ดาวด้วยความเร็ว"แกต้องตาย!!"พิมพ์ดาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาทั้งสองข้างของเธอเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น เธอได้แต่มองปลายมีดที่กำลังพุ่งเข้าหาอย่างตกตะ
แสงแดดยามเช้าสาดกระทบผ่านม่านสีขาวในห้องนอนของคอนโดฯ หรูใจกลางเมือง พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ขณะที่เสียงนกร้องแว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง ร่างบางขยับกายเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงของพัตเตอร์ที่ตะโกนเรียกเธอ"มามี๊~ ตื่นได้แล้วครับ!"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มือเรียวเสยผมยาวสลวยของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไป"มามี๊ตื่นแล้วครับลูก เดี๋ยวมามี๊จะออกไปเดี๋ยวนี้"พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้องนอนก็พบกับพัตเตอร์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าห้อง ในชุดนักเรียนที่ถูกแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มือเล็ก ๆ ถือกล่องนมไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามากอดขาเธอแน่น"พัตเตอร์ตื่นเช้าจังเลยค่ะ" พิมพ์ดาวลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของเขา"พัตเตอร์ไม่ได้ตื่นเองนะครับ" เด็กชายเงยหน้ามองเธอ ดวงตากลมโตใสซื่อเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา"แด๊ดดี้โทรปลุกพัตเตอร์เองต่างหาก!"พิมพ์ดาวชะงัก หัวใจเต้นกระตุกเมื่อได้ยินคำว่า 'แด๊ดดี้'"คุณธีรภัทรจะมาเหรอคะ?" เธอถามด้วยความสงสัยพัตเตอร์พยักหน้าแรง