ติ๊ดๆๆๆ
“แจ้งฝ่ายบุคคลด้วยว่านับตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปปรับเงินเดือนของคุณมนตราเลขาของฉันเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า”
คนตัวโตที่ฉันเพิ่งจะมอบความสุขให้เขาด้วยปากเป็นครั้งแรกเอ่ยพูดกับปลายสายจนทำให้ฉันหยุดถึงกับหยุดชะงักขาเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองเขาด้วยใบหน้าสงสัย และด้วยสีหน้าอีกทั้งท่าทางของฉันที่ดูจะตื่นตกใจของฉันก็ทำให้คนที่เพิ่งออกคำสั่งเพิ่มเงินเดือนให้เอ่ยปากไขข้อสงสัยทันที
“มันเป็นสิ่งที่คุณควรจะได้รับ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ” คำตอบเพียงสั้น ๆ ที่มอบให้กับความสงสัยของฉันได้แต่ทำให้ฉันเม้มปากแน่นเอาไว้ ก่อนที่ตัวเองเลือกจะไม่ใส่ใจแล้วหันกลับเพื่อไปเก็บของของตัวเองแล้วเตรียมตัวกลับที่พักสักที...
ณ หอพักแห่งหนึ่ง
แกร๊ก ~~
ฉันเปิดประตูห้องเข้าไปด้วยสภาวะร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มที และทันทีที่ฉันเปิดประตูห้องพักเข้าไปนั้น...ฉันกลับต้องพบเข้ากับอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันถึงกับหัวใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่มทันที
“หะ...หายไปไหน ข้าวของของฉันหายไปไหนหมดเนี่ย...!!” ฉันอุทานลั่นเมื่อได้เห็นภาพของห้องตรงหน้าที่ดูว่างเปล่าจนคล้ายกับว่าไม่เคยมีใครอาศัยอยู่มาก่อนอย่างไงอย่างงั้น พร้อมกับร่างบางรีบถลาเดินเข้าไปดูห้องที่ตนเคยอยู่ทุกซอกทุกมุมด้วยใจระทึก
“นะ...นี่ฉันเข้าห้องผิดหรือเปล่า” สองขารีบวิ่งออกไปดูหมายเลขหน้าห้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เลขห้องก็ถูกต้อง...ไม่ซิ...เราก็ยังไขกลอนประตูเข้ามาได้เลยนี่หน่า มันไม่มีอะไรที่ผิดเลย จะผิดก็แต่ข้าวของหายเกลี้ยง...ถ้างั้นก็...” ฉันตั้งสติทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ความจริงบางอย่างจะตีเข้าแสกหน้าว่าห้องฉันโดนยกเค้า...!!
“ขโมย...!! ห้องฉันโดนขโมยขึ้น นิติ...!! ตำรวจ...!!”
และในขณะที่ฉันกำลังสติหลุดพร้อมกับอาการลนลานอย่างคนที่กำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นสุดขีด เสียงเคาะที่ดังขึ้นหน้าประตูก็ได้เบนความตั้งใจที่จะกดเบอร์โทรหานิติให้หันไปมองทันที
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“หรือว่านิติจะรู้แล้วก็เลยมาแจ้งข่าวซินะ” ฉันงึมงำกับตัวเองเบา ๆ และทันทีที่คิดได้แบบนั้นฉันก็รีบตรงไปเปิดประตูห้องทันที
แกร๊ก ~~
“คือฉันโดน...”
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจบประโยค ภาพตรงหน้าก็ปรากฏชายสวมชุดสูทสีดำยืนจังก้าอยู่หน้าห้อง และด้วยความตกใจเพราะคิดว่าชายร่างกำยำอาจจะมีเจตนาร้ายหรือไม่คนตรงหน้าก็อาจจะเป็นโจรขโมยของที่หวนกลับมา นั่นจึงทำให้ฉันรีบดันประตูเพื่อปิดหนีทันที เพียงแต่ว่ากลับถูกลำแขนแกร่งดันสู้ขืนเอาไว้ไม่ให้บานประตูปิดลงเสียก่อน
“ขอโทษด้วยครับที่ทำให้ตกใจ ผมมารับคุณมนตราตามคำสั่งของนายครับ” ชายตรงหน้าประตูเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาในครั้งนี้ ก่อนที่ฉันจะทันได้แหกปากร้องขอความช่วยเหลือ
“นะ...นาย นายไหน ฉันไม่รู้จักแล้วเลิกดันประตูฉันสักทีไม่งั้นฉันจะร้องเรียกให้คนช่วยแล้วนะ” ฉันที่ยังคงตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดรีบออกปากไล่คนตรงหน้าทันที
“นายของผมก็คือคุณวาคิมครับ ท่านให้มารับคุณมนตราครับ” คนเดิมที่ยกมือขึ้นดันประตูบอกเสียงเรียบน้ำคำหนักแน่น
“ห๊ะ...!! วะ...ว่าไงนะคะ” ฉันที่อึ้งกิมกี่กับสิ่งที่ได้ยินถึงกับลืมดันประตูทันที
“นายหรือคุณวาคิมเจ้านายของผมให้มารับคุณมนตราครับ” ชายในชุดสูทย้ำคำสั่งที่ได้รับมาอีกครั้ง
“รับฉัน รับฉันไปไหน...??” ฉันถามย้ำกลับไปด้วยความไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ อีกทั้งยังรู้สึกหวั่นในใจด้วยกลัวว่าจะถูกบุคคลที่กล่าวอ้างเรียกไปทำอะไรอีกหรือเปล่า
“ท่านให้มารับไปยังที่พักใหม่ที่ท่านเตรียมไว้ให้ครับ ส่วนข้าวของเครื่องใช้ของคุณมนตราทางพวกผมส่งคนมาขนไปจัดไว้ยังห้องใหม่เรียบร้อยแล้วครับ” ผู้ชายมาดสุขุมคนเดิมตอบคำถามที่อยู่ข้างในใจฉันจนหมดสิ้น และด้วยคำตอบของเขาก็ยิ่งทำให้ฉันสับสนมากขึ้นไปอีก
“ที่พักใหม่...อะไร ยังไงกันค่ะเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้ว...??” ฉันที่แสดงสีหน้าว่าสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากจริง ๆ และก่อนที่ฉันจะทันได้คิดอะไรเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น
กระทั่งเมื่อภาพหน้าจอปรากฏชื่อของคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในตอนนี้ คิ้วเรียวสวยได้รูปก็พลันขมวดแน่นจนแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ
“ท่านประธาน”
ฉันมองหน้าจอมือถือตัวเองก่อนจะกดรับสาย
“ค่ะท่านประธาน” ฉันกรอกเสียงตามสาย ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ลดความตื่นตระหนกลงเลยสักนิด
“คนของผมไปถึงแล้วใช่ไหม” ปลายสายตอบ เหมือนกับรู้ดีว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับฉัน
“ค่ะ แต่ว่านี่มันเรื่องอะไรกันค่ะ มนต์งงไปหมดแล้ว” ฉันถามกลับด้วยอยากได้คำอธิบายมากกว่านี้
“ก็แค่ทำตามที่เขาบอก” ปลายสายตอนเสียงเรียบ ไม่อธิบายให้ฉันเข้าใจเพิ่มเลยสักนิด
“ยังไงคะ แล้วที่คนของท่านประธานบอกว่ามารับมนต์ไปอยู่ที่อยู่ใหม่ มันคือยังไงคะ” ฉันที่ยังไม่ได้รับคำอธิบายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ยังถามออกไปไม่หยุด
“ก็ตามที่เขาบอก” ปลายสายพูดคล้ายกวนประสาท
“ท่านประธานค่ะ มนต์ต้องการคำอธิบายค่ะ” ส่วนฉันที่เบื่อกับการเล่นลิ้นของเขาแล้วก็ได้เอ่ยถามเสียงเข้มออกไปอย่างลืมตัว
“มาก่อนแล้วผมจะอธิบายให้ฟัง”
และไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากถามอะไรออกไปอีก ปลายสายก็กดตัดสัญญาณไปเสียดื้อ ๆ และนั่นจึงทำให้ฉันต้องจำใจตามชายชุดดำไปแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
ณ เพนท์เฮ้าส์สุดหรูใจกลางเมือง
“นายครับ ผมพาคุณมนตรามาส่งแล้วครับ” ชายคนเดิมพาฉันเดินเข้ามายังห้องสุดหรูที่อยู่ชั้นบนสุดของคอนโดใจกลางเมือง ก่อนที่เขาจะโค้งหัวเอ่ยรายงานผู้เป็นเจ้านายตัวเองที่บัดนี้นั่งอยู่บนโซฟาหลุยส์สุดหรูกำลังยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบอยู่ด้วยท่าทางสบาย ๆ
“อืม ออกไปได้แล้ว” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยเสียงเรียบ โดยไม่หันหน้ามามองคู่สนทนาเลยสักนิด
“สวัสดีค่ะท่านประธาน” ฉันเอ่ยทักทายตามมารยาท เพราะไม่ว่าเรื่องราวระหว่างเขากับฉันจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือสถานะความเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง
“นั่งซิ” เขาพูดหลังจิบบรั่นดีในมือ
และในจังหวะที่ฉันกำลังจะอ้าปากถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย
“ผมจัดการย้ายข้าวของคุณและคุณให้มาพักอยู่ห้องใต้คอนโตของผมแล้วนะ ส่วนเรื่องที่ห้องเก่าผมจัดการเคลียร์เรียบร้อยแล้วไม่ต้องเป็นกังวลไป” เขาพูดโดยที่สายตายังคงจับจ้องน้ำสีอำพันในแก้วใส และเป็นอีกครั้งที่ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามเขาออกไป เขาก็จัดการคลายข้อสงสัยที่มีอยู่ในใจของฉันแล้ว
“ไม่ต้องกังวลงั้นเหรอคะ คุณเล่นทำอะไรโดยพลการแบบนี้ นั่นมันของของมนต์ เรื่องส่วนตัวของมนต์นะคะ” ฉันที่รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เขาทำถึงกับทนไม่ไหวออกปากตำหนิเขาไป
“แล้วไง...” คิ้วเข้มเลิกขึ้นถามออกมาด้วยท่าทีไม่ยี่หระ
“แล้วไง...เหอะ...!!” ส่วนฉันที่จนใจยอมซูฮกให้กับความเอาแต่ใจของเขาจริง ๆ ถึงกับพูดไม่ออก
“เหมือนคุณจะลืมไปว่าเรายังมีข้อตกลงกันอยู่ และเมื่อไรที่ผมต้องการคุณ การที่มีคุณอยู่ใกล้ ๆ คุณก็สามารถตอบสนองผมได้ทันที” เขาที่อธิบายแบบพูดเองเออเอง ก่อนจะวางแก้วบรั่นดีในมือแล้วหันมามองหน้าฉันตรง ๆ เหมือนว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันถูกต้องแล้ว
“แต่มนต์ไม่ใช่นางบำเรอของคุณนะคะ...!!” ฉันที่เหลืออดกับการบีบบังคับของเขา จนแทบอยากจะกระโดดเข้าไปบีบคอเขาให้ได้สติสักที
แต่ทว่า...คำตอบที่คนตัวโตส่งมากลับทำให้ไฟโกรธที่คุกรุ่นอยู่กลางใจโหมลุกกระพือขึ้นมาทันที
“ก็กำลังจะเป็นอยู่นี่ไง” เขายักคิ้วใส่อย่างไม่แยแสความรู้สึกฉันแม้แต่น้อย
“คุณวาคิม...!!”
ฉันถึงกับผุดตัวลุกขึ้นยืนอย่างคนที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ พร้อมกับเตรียมตัวจะเดินกลับออกไปทันที...
(ชิ...ไม่ทงไม่ทำมันแล้วงานเลขาอะไรนี่...) ฉันคิดในใจ
และในจังหวะที่ฉันยังไม่ทันได้ก้าวเท้าแม้สักครึ่งก้าว เสียงที่เป็นดั่งคำประกาศิตก็เอ่ยเพื่อหยุดการก้าวขาของฉันเอาไว้...
“ทำไมล้างจานนานนักล่ะ”เขาถามขึ้นมาหลังจากเห็นฉันยังไม่ออกตามเขาไปสักที และด้วยเสียงเรียกของเขาก็ทำให้ฉันไม่มีทางเลือกจำต้องรีบจัดการงานตรงหน้าด้วยความรวดเร็วแล้วเดินตามเขาออกไป“มะ...มนต์กลับได้แล้วหรือยังค่ะ” ฉันก้มหน้าเล็กน้อยถามเขาไปตรง ๆ หลังจากคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง“ทำไมล่ะ อยู่กับผมไม่สนุกเหรอ” เขาเงยหน้าจากมือถือสุดหรูในมือขึ้นมาถามฉัน“ก็คุณเล่นแกล้งมนต์ไม่หยุดเลยนี่ค่ะ” (>///ฉันตอบเสียงเบาก้มหน้างุด“แกล้งอะไร ไหนคุณลองบอกผมมาซิ” ส่วนเขาก็ทำเป็นถามกลับด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ แต่เป็นฉันเองที่ไม่รู้จะตอบกลับเขายังไงไม่ให้ดูน่าเกลียดก็ได้แต่เม้มปากแน่น“ว่าไงล่ะ ผมแกล้งอะไรคุณ” ก่อนที่เขาจะถามย้ำและด้วยการถามย้ำอีกครั้งก็ทำให้ฉันจำต้องพูดสิ่งที่รู้สึกออกไป...“กะ...ก็สิ่งที่คุณทำกับมนต์ตั้งแต่เช้า มันแกล้งกันชัด ๆ เลยนี่ค่ะ” ฉันเงยหน้ากัดฟันตอบก่อนจะหลุบตาต่ำดังเดิม“อันนั้นผมไม่ได้แกล้ง แต่ผมเอาจริงต่างหาก” คนมาดร้ายพูดออกมาหน้าตาเฉย และด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ส่งมานั้นฉันกลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง“มันทรมานดีใช่ไหมล่ะ ร่างกายที่ถูกกระตุ้นแต่ไ
“ผมว่าผมบอกคุณไปแล้วนะว่าไม่ให้ใส่ชิ้นนั้นน่ะ”เสียงเย็นพูดก่อนจะเดินมาประชิดตัวด้านหลัง พร้อมกับหยิบเสื้อชั้นในจากมือฉันไป“ตะ...แต่ว่าข้างนอกมี...”และในจังหวะที่ฉันยังไม่ทันพูดจบ“หรือว่าไม่อยากใส่อะไรเลย...??” คนตัวโตยักคิ้วถามเอ่ยปากเอาแต่ใจแต่ทว่า...ด้วยประโยคนั้นยังไม่น่าตกใจเท่า อวัยวะบางส่วนของเขาที่ตอนนี้กำลังทิ่มแทงอยู่แถวบริเวณบั้นท้ายของฉัน และด้วยการรับรู้ได้ถึงอันตรายที่ฉันรู้ดีว่ามันจะส่งผลให้ฉันลำบากแค่ไหน ฉันก็ได้แต่รีบเด้งตัวหลบหนีอาวุธร้ายของเขา พร้อมกับเลือกที่จะใส่แค่เสื้อตัวนอกอย่างที่เขาต้องการการกระทำของฉันส่งผลทำให้คนตัวโตที่กำอำนาจในมือพอใจทันที เขาที่ยกยิ้มได้ใจใส่ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนฉันที่เห็นว่าถ้าขืนตัวเองยังอยู่ในห้องนอนกับเขาแบบนี้ต่อไปแล้วละก็ความปลอดภัยต่อพื้นสงวนคงไม่เหลืออย่างแน่นอน พอคิดได้ดังนั้นฉันจึงรีบเดินผละออกไปจากห้องนี้ทันทีแล้วรีบลงไปยังด้านล่างโดยที่หลังยังเสียววาบไม่หายหลังจากที่ฉันได้ลงมายังด้านล่างป้าแม่บ้านที่ฉันเจอก่อนหน้านี้ก็ไม่อยู่แล้ว จะมีเพียงก็แต่อาหารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วเท่านั้น และแม้ว่าฉันจะร
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก“ท่าน...อ่ะ...คุณวาคิมค่ะ” ฉันเคาะประตูเอ่ยปากเรียก“...............”ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก“คุณวาคิมค่ะ” ฉันเรียกคนที่อยู่ในห้องอีกครั้งแกร๊ก ~~“ใครวะ...เสียงดังแต่เช้า”เสียงสบถพร้อมกับภาพตรงหน้าที่ปรากฏภาพของชายหนุ่มยืนเปลือยกายท่อนบนโชว์หราตรงหน้า เรือนร่างอันกำยำที่มีมัดกล้ามสวยงามประดับอยู่นั้นเมื่อบวกเข้ากับเขาที่ยืนเอามือเท้าประตูพร้อมกับยีหัวด้วยความหงุดหงิด ช่างทำให้ภาพทั้งหมดทั้งมวลตรงหน้ากลับดูเซ็กซี่จนคนที่ได้เห็นถึงกับลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว“...อึก...” (O///O)ลำคอระหงถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกหลังได้ลอบมองเรือนร่างดั่งเทพเซียนปั้นตรงหน้า ก่อนที่ตัวเองจะรีบเก็บสายตาหื่นกระหายอย่างไม่ทันตั้งตัวเอาไว้ด้วยความรวดเร็วแล้วเปลี่ยนเป็นสายตานิ่งสงบดังเดิมแทน“ขะ...ขอโทษค่ะ ท่านประ...เอ่อ...คุณวาคิม ถ้าอย่างนั้นมนต์ขอตัวลงไปรอข้างล่างแล้วกันนะคะ” ฉันก้มหน้าเอ่ยเสียบเรียบทั้งที่ใจยังเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่เป็นจังหวะ“อ้าว...อ๋อคุณเองหรอ...ไม่ต้องหรอกเข้ามาสิ” คนตัวโตที่ยังคงงัวเงียตื่นไม่เต็มตา พูดก่อนจะเดินนำเข้าไปภายในห้อง“ท่าน...เอ่อ...คุณวาคิมต้องการให้มน
ฉันที่นั่งทบทวนกับตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเขาอย่างคนที่ปลงตก“เฮ้อ...แค่นี้ใช่ไหมคะที่ท่านประธานต้องการ” ฉันถอนหายใจก่อนจะบอกออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย“วาคิม...!!”“ค่ะ...??” (O.O) ?“เวลาอยู่กับผมต่อไปนี้ให้เรียกผมว่า...วาคิม ท่านประธานมันดูห่างเหินไปนิดนะถ้ามองในฐานะ...” เขาปรายตาเจ้าเล่ห์เล็กน้อย หลังจากบอกถึงสิ่งที่เขาต้องการ“ได้ค่ะ”“มีอะไรสงสัยอีกไหม” เขาจิบบรั่นดีในมือต่อ ก่อนจะถามโดยไม่หันมามองฉัน“ในฐานะใหม่ที่ท่านประธาน เอ๊ย คุณวาคิมมอบให้ มนต์ต้องทำอะไรบ้างคะ” ฉันถามเพราะไม่รู้จริง ๆ เพราะฉันไม่เคยเป็นนางบำเรอให้ใครมาก่อน“ก็ทำเหมือนที่เคยทำ เพียงแต่...” เขาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ“เมื่อผมต้องการคุณต้องพร้อมเสมอ”คำพูดที่ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะด้วยสายตาที่เขาส่งมาให้บ่งบอกได้ดีว่าเขาต้องการแบบนั้นจริง ๆ“ได้ค่ะ” ฉันรับคำอีกครั้ง ด้วยใบหน้านิ่งเรียบแบบเดิม แม้ว่าข้างในหัวใจมันจะปวดหนึบกับคำพูดและการกระทำของเขา“มีอะไรอีกไหมคะ มนต์จะได้ขอตัวไปพักผ่อนก่อน” ฉันพูดออกไปแบบนั้นเพราะรู้สึกอยากพักผ่อนจริง เนื่องจากวันนี้ทุกสิ่งอย่างที่ฉันเจอมามันหน
“ถ้าคุณก้าวขาออกไปจากที่นี่ก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากผมแม้แต่ก้าวเดียวแล้วล่ะก็ รับรองเลยได้ว่าคลิปการช่วยตัวเองพร้อมกับเสียงหวาน ๆ ที่ครางเรียกชื่อผมจะถูกโชว์หราทุกหน้าแพลตฟอร์มโซเชียลอย่างแน่นอน” คนเจ้าเล่ห์พูดประโยคแสนร้ายกาจออกมาอย่างไม่รู้สึกผิดอะไร อีกทั้งประโยคเหล่านั้นก็ถึงกับทำให้ฉันตัวชาวาบไปทั้งร่างทันที“มะ...หมายความว่ายังไงคะ...!!” ก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายพลันกระตุกวูบทันทีที่ได้ยินคำขู่ ก่อนจะพยายามข่มใจให้สงบลง ด้วยพอคิดได้ว่าเขาอาจจะแค่ขู่เฉย ๆ เพราะนับตั้งแต่ที่ฉันทำงานอยู่ห้องเดียวกับเขามา ฉันยังไม่เคยเห็นกล้องวงจรปิดสักตัว“ก็หมายความตามที่พูด” คนเจ้าเล่ห์ยักคิ้วขึ้นจนดูท่าทียียวน พร้อมกับยกแก้วบรั่นดีบนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้งแล้วจิบน้ำสีอำพันด้วยท่าทางสบาย ๆ อีกครั้ง“คุณโกหก...!!” ฉันกัดฟันกรอดอย่างไม่เชื่อ แม้ในใจจะภาวนาขอให้สิ่งที่ฉันได้ยินไม่เป็นความจริง แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันต้องพลันหวั่นใจขึ้นมาอีกครั้งก็คือ...นับตั้งแต่ที่ฉันทำงานกับเขามา...เขายังไม่เคยโกหกเลย...!!“ผมว่าคุณรู้จักผมดีนะคุณมนต์” คนตรงหน้าที่เหมือนจะรู้ดีว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ตอบกลับมาอย่างรู้เท่าทันใ
ติ๊ดๆๆๆ“แจ้งฝ่ายบุคคลด้วยว่านับตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปปรับเงินเดือนของคุณมนตราเลขาของฉันเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า”คนตัวโตที่ฉันเพิ่งจะมอบความสุขให้เขาด้วยปากเป็นครั้งแรกเอ่ยพูดกับปลายสายจนทำให้ฉันหยุดถึงกับหยุดชะงักขาเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองเขาด้วยใบหน้าสงสัย และด้วยสีหน้าอีกทั้งท่าทางของฉันที่ดูจะตื่นตกใจของฉันก็ทำให้คนที่เพิ่งออกคำสั่งเพิ่มเงินเดือนให้เอ่ยปากไขข้อสงสัยทันที“มันเป็นสิ่งที่คุณควรจะได้รับ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ” คำตอบเพียงสั้น ๆ ที่มอบให้กับความสงสัยของฉันได้แต่ทำให้ฉันเม้มปากแน่นเอาไว้ ก่อนที่ตัวเองเลือกจะไม่ใส่ใจแล้วหันกลับเพื่อไปเก็บของของตัวเองแล้วเตรียมตัวกลับที่พักสักที...ณ หอพักแห่งหนึ่งแกร๊ก ~~ฉันเปิดประตูห้องเข้าไปด้วยสภาวะร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มที และทันทีที่ฉันเปิดประตูห้องพักเข้าไปนั้น...ฉันกลับต้องพบเข้ากับอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันถึงกับหัวใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่มทันที“หะ...หายไปไหน ข้าวของของฉันหายไปไหนหมดเนี่ย...!!” ฉันอุทานลั่นเมื่อได้เห็นภาพของห้องตรงหน้าที่ดูว่างเปล่าจนคล้ายกับว่าไม่เคยมีใครอาศัยอยู่มาก่อนอย่างไงอย่างงั้น พร้อมกับร่างบางรีบถลาเดินเข้าไปดูห้องที