ติ๊ดๆๆๆ
“แจ้งฝ่ายบุคคลด้วยว่านับตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปปรับเงินเดือนของคุณมนตราเลขาของฉันเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า”
คนตัวโตที่ฉันเพิ่งจะมอบความสุขให้เขาด้วยปากเป็นครั้งแรกเอ่ยพูดกับปลายสายจนทำให้ฉันหยุดถึงกับหยุดชะงักขาเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองเขาด้วยใบหน้าสงสัย และด้วยสีหน้าอีกทั้งท่าทางของฉันที่ดูจะตื่นตกใจของฉันก็ทำให้คนที่เพิ่งออกคำสั่งเพิ่มเงินเดือนให้เอ่ยปากไขข้อสงสัยทันที
“มันเป็นสิ่งที่คุณควรจะได้รับ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ” คำตอบเพียงสั้น ๆ ที่มอบให้กับความสงสัยของฉันได้แต่ทำให้ฉันเม้มปากแน่นเอาไว้ ก่อนที่ตัวเองเลือกจะไม่ใส่ใจแล้วหันกลับเพื่อไปเก็บของของตัวเองแล้วเตรียมตัวกลับที่พักสักที...
ณ หอพักแห่งหนึ่ง
แกร๊ก ~~
ฉันเปิดประตูห้องเข้าไปด้วยสภาวะร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มที และทันทีที่ฉันเปิดประตูห้องพักเข้าไปนั้น...ฉันกลับต้องพบเข้ากับอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันถึงกับหัวใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่มทันที
“หะ...หายไปไหน ข้าวของของฉันหายไปไหนหมดเนี่ย...!!” ฉันอุทานลั่นเมื่อได้เห็นภาพของห้องตรงหน้าที่ดูว่างเปล่าจนคล้ายกับว่าไม่เคยมีใครอาศัยอยู่มาก่อนอย่างไงอย่างงั้น พร้อมกับร่างบางรีบถลาเดินเข้าไปดูห้องที่ตนเคยอยู่ทุกซอกทุกมุมด้วยใจระทึก
“นะ...นี่ฉันเข้าห้องผิดหรือเปล่า” สองขารีบวิ่งออกไปดูหมายเลขหน้าห้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เลขห้องก็ถูกต้อง...ไม่ซิ...เราก็ยังไขกลอนประตูเข้ามาได้เลยนี่หน่า มันไม่มีอะไรที่ผิดเลย จะผิดก็แต่ข้าวของหายเกลี้ยง...ถ้างั้นก็...” ฉันตั้งสติทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ความจริงบางอย่างจะตีเข้าแสกหน้าว่าห้องฉันโดนยกเค้า...!!
“ขโมย...!! ห้องฉันโดนขโมยขึ้น นิติ...!! ตำรวจ...!!”
และในขณะที่ฉันกำลังสติหลุดพร้อมกับอาการลนลานอย่างคนที่กำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นสุดขีด เสียงเคาะที่ดังขึ้นหน้าประตูก็ได้เบนความตั้งใจที่จะกดเบอร์โทรหานิติให้หันไปมองทันที
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“หรือว่านิติจะรู้แล้วก็เลยมาแจ้งข่าวซินะ” ฉันงึมงำกับตัวเองเบา ๆ และทันทีที่คิดได้แบบนั้นฉันก็รีบตรงไปเปิดประตูห้องทันที
แกร๊ก ~~
“คือฉันโดน...”
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจบประโยค ภาพตรงหน้าก็ปรากฏชายสวมชุดสูทสีดำยืนจังก้าอยู่หน้าห้อง และด้วยความตกใจเพราะคิดว่าชายร่างกำยำอาจจะมีเจตนาร้ายหรือไม่คนตรงหน้าก็อาจจะเป็นโจรขโมยของที่หวนกลับมา นั่นจึงทำให้ฉันรีบดันประตูเพื่อปิดหนีทันที เพียงแต่ว่ากลับถูกลำแขนแกร่งดันสู้ขืนเอาไว้ไม่ให้บานประตูปิดลงเสียก่อน
“ขอโทษด้วยครับที่ทำให้ตกใจ ผมมารับคุณมนตราตามคำสั่งของนายครับ” ชายตรงหน้าประตูเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาในครั้งนี้ ก่อนที่ฉันจะทันได้แหกปากร้องขอความช่วยเหลือ
“นะ...นาย นายไหน ฉันไม่รู้จักแล้วเลิกดันประตูฉันสักทีไม่งั้นฉันจะร้องเรียกให้คนช่วยแล้วนะ” ฉันที่ยังคงตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดรีบออกปากไล่คนตรงหน้าทันที
“นายของผมก็คือคุณวาคิมครับ ท่านให้มารับคุณมนตราครับ” คนเดิมที่ยกมือขึ้นดันประตูบอกเสียงเรียบน้ำคำหนักแน่น
“ห๊ะ...!! วะ...ว่าไงนะคะ” ฉันที่อึ้งกิมกี่กับสิ่งที่ได้ยินถึงกับลืมดันประตูทันที
“นายหรือคุณวาคิมเจ้านายของผมให้มารับคุณมนตราครับ” ชายในชุดสูทย้ำคำสั่งที่ได้รับมาอีกครั้ง
“รับฉัน รับฉันไปไหน...??” ฉันถามย้ำกลับไปด้วยความไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ อีกทั้งยังรู้สึกหวั่นในใจด้วยกลัวว่าจะถูกบุคคลที่กล่าวอ้างเรียกไปทำอะไรอีกหรือเปล่า
“ท่านให้มารับไปยังที่พักใหม่ที่ท่านเตรียมไว้ให้ครับ ส่วนข้าวของเครื่องใช้ของคุณมนตราทางพวกผมส่งคนมาขนไปจัดไว้ยังห้องใหม่เรียบร้อยแล้วครับ” ผู้ชายมาดสุขุมคนเดิมตอบคำถามที่อยู่ข้างในใจฉันจนหมดสิ้น และด้วยคำตอบของเขาก็ยิ่งทำให้ฉันสับสนมากขึ้นไปอีก
“ที่พักใหม่...อะไร ยังไงกันค่ะเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้ว...??” ฉันที่แสดงสีหน้าว่าสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากจริง ๆ และก่อนที่ฉันจะทันได้คิดอะไรเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น
กระทั่งเมื่อภาพหน้าจอปรากฏชื่อของคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในตอนนี้ คิ้วเรียวสวยได้รูปก็พลันขมวดแน่นจนแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ
“ท่านประธาน”
ฉันมองหน้าจอมือถือตัวเองก่อนจะกดรับสาย
“ค่ะท่านประธาน” ฉันกรอกเสียงตามสาย ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ลดความตื่นตระหนกลงเลยสักนิด
“คนของผมไปถึงแล้วใช่ไหม” ปลายสายตอบ เหมือนกับรู้ดีว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับฉัน
“ค่ะ แต่ว่านี่มันเรื่องอะไรกันค่ะ มนต์งงไปหมดแล้ว” ฉันถามกลับด้วยอยากได้คำอธิบายมากกว่านี้
“ก็แค่ทำตามที่เขาบอก” ปลายสายตอนเสียงเรียบ ไม่อธิบายให้ฉันเข้าใจเพิ่มเลยสักนิด
“ยังไงคะ แล้วที่คนของท่านประธานบอกว่ามารับมนต์ไปอยู่ที่อยู่ใหม่ มันคือยังไงคะ” ฉันที่ยังไม่ได้รับคำอธิบายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ยังถามออกไปไม่หยุด
“ก็ตามที่เขาบอก” ปลายสายพูดคล้ายกวนประสาท
“ท่านประธานค่ะ มนต์ต้องการคำอธิบายค่ะ” ส่วนฉันที่เบื่อกับการเล่นลิ้นของเขาแล้วก็ได้เอ่ยถามเสียงเข้มออกไปอย่างลืมตัว
“มาก่อนแล้วผมจะอธิบายให้ฟัง”
และไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากถามอะไรออกไปอีก ปลายสายก็กดตัดสัญญาณไปเสียดื้อ ๆ และนั่นจึงทำให้ฉันต้องจำใจตามชายชุดดำไปแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
ณ เพนท์เฮ้าส์สุดหรูใจกลางเมือง
“นายครับ ผมพาคุณมนตรามาส่งแล้วครับ” ชายคนเดิมพาฉันเดินเข้ามายังห้องสุดหรูที่อยู่ชั้นบนสุดของคอนโดใจกลางเมือง ก่อนที่เขาจะโค้งหัวเอ่ยรายงานผู้เป็นเจ้านายตัวเองที่บัดนี้นั่งอยู่บนโซฟาหลุยส์สุดหรูกำลังยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบอยู่ด้วยท่าทางสบาย ๆ
“อืม ออกไปได้แล้ว” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยเสียงเรียบ โดยไม่หันหน้ามามองคู่สนทนาเลยสักนิด
“สวัสดีค่ะท่านประธาน” ฉันเอ่ยทักทายตามมารยาท เพราะไม่ว่าเรื่องราวระหว่างเขากับฉันจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือสถานะความเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง
“นั่งซิ” เขาพูดหลังจิบบรั่นดีในมือ
และในจังหวะที่ฉันกำลังจะอ้าปากถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย
“ผมจัดการย้ายข้าวของคุณและคุณให้มาพักอยู่ห้องใต้คอนโตของผมแล้วนะ ส่วนเรื่องที่ห้องเก่าผมจัดการเคลียร์เรียบร้อยแล้วไม่ต้องเป็นกังวลไป” เขาพูดโดยที่สายตายังคงจับจ้องน้ำสีอำพันในแก้วใส และเป็นอีกครั้งที่ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามเขาออกไป เขาก็จัดการคลายข้อสงสัยที่มีอยู่ในใจของฉันแล้ว
“ไม่ต้องกังวลงั้นเหรอคะ คุณเล่นทำอะไรโดยพลการแบบนี้ นั่นมันของของมนต์ เรื่องส่วนตัวของมนต์นะคะ” ฉันที่รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เขาทำถึงกับทนไม่ไหวออกปากตำหนิเขาไป
“แล้วไง...” คิ้วเข้มเลิกขึ้นถามออกมาด้วยท่าทีไม่ยี่หระ
“แล้วไง...เหอะ...!!” ส่วนฉันที่จนใจยอมซูฮกให้กับความเอาแต่ใจของเขาจริง ๆ ถึงกับพูดไม่ออก
“เหมือนคุณจะลืมไปว่าเรายังมีข้อตกลงกันอยู่ และเมื่อไรที่ผมต้องการคุณ การที่มีคุณอยู่ใกล้ ๆ คุณก็สามารถตอบสนองผมได้ทันที” เขาที่อธิบายแบบพูดเองเออเอง ก่อนจะวางแก้วบรั่นดีในมือแล้วหันมามองหน้าฉันตรง ๆ เหมือนว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันถูกต้องแล้ว
“แต่มนต์ไม่ใช่นางบำเรอของคุณนะคะ...!!” ฉันที่เหลืออดกับการบีบบังคับของเขา จนแทบอยากจะกระโดดเข้าไปบีบคอเขาให้ได้สติสักที
แต่ทว่า...คำตอบที่คนตัวโตส่งมากลับทำให้ไฟโกรธที่คุกรุ่นอยู่กลางใจโหมลุกกระพือขึ้นมาทันที
“ก็กำลังจะเป็นอยู่นี่ไง” เขายักคิ้วใส่อย่างไม่แยแสความรู้สึกฉันแม้แต่น้อย
“คุณวาคิม...!!”
ฉันถึงกับผุดตัวลุกขึ้นยืนอย่างคนที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ พร้อมกับเตรียมตัวจะเดินกลับออกไปทันที...
(ชิ...ไม่ทงไม่ทำมันแล้วงานเลขาอะไรนี่...) ฉันคิดในใจ
และในจังหวะที่ฉันยังไม่ทันได้ก้าวเท้าแม้สักครึ่งก้าว เสียงที่เป็นดั่งคำประกาศิตก็เอ่ยเพื่อหยุดการก้าวขาของฉันเอาไว้...
หญิงสาวที่พอได้ลองใช้ชีวิตเองได้ตัดสินใจเอง บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง เธอที่ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าชีวิตจะพังทลายเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ถึงเพียงนี้ ทั้งความเป็นจริงของการใช้ชีวิตด้วยตัวเองครั้งแรก ทั้งความรักครั้งแรกกับผู้ชายคนแรก ร่วมถึงการมีเซ็กซ์ครั้งแรก มันช่างขัดกับสิ่งที่เธอเคยคิดจินตนาการเอาไว้ไหนจะเรื่องราวในนิยายที่เธอเคยอ่านมามากมายยามที่ต่อสู้กับความอ้างว้าง ทำไมมันช่างแตกต่างกับความเป็นจริงที่ได้พบเจอราวฟ้ากับเหว ภาพจำของสุภาพบุรุษในเรื่องราวเหล่านั้นที่เคยอ่าน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระนางที่พอตื่นขึ้นมาจากค่ำคืนสวาท แล้วพบว่าตัวพระเอกได้พรากความบริสุทธิ์ของนางเอกไปแล้ว พระเอกนั้นก็จะโอบกอดปลอบประโลมและเต็มใจที่รับผิดชอบต่อนางเอกทุกอย่าง...แต่ทว่าในความเป็นจริง...สิ่งที่หญิงสาวใสซื่อไม่เคยตระหนักเลยยามที่เธอเสพสื่อเหล่านั้นก็คือ...เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ตัวอักษรที่เอาไว้ล่อหลอกหญิงสาวที่อ่อนต่อโลกใบนี้ให้ลุ่มหลง แล้วคิดว่าคำพูดที่ร้อยเรียงผ่านการปรุงแต่งออกมาตามความปรารถนาของนักเขียน มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง...โดยเฉพาะความคิดตื้นเขินที่
เสียงสะอื้นที่ยังคงเปล่งออกมาไม่หยุด อีกทั้งยังมาพร้อมกับภาพความทรงจำมากมายเกี่ยวกับชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไปก็ยังถาโถมเข้ามาเหมือนแอลกอฮอล์ที่ราดลงบนแผลสดให้ปวดแสบภาพเรื่องราวของเขานับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน จวบจนมาถึงยามที่ทุกอย่างได้สิ้นสุดลงเมื่อครู่ มันได้ฉายเข้ามาแม้จะเจ็บปวดเสมือนกับว่าสมองต้องการบอกให้หญิงสาวเลิกคิดถึงเขาได้แล้ว และให้มันจบเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่ตัวเองจะได้เริ่มต้นใหม่ ด้วยเพราะชีวิตของหญิงสาวยังไปได้อีกไกลเกินกว่าจะมาทิ้งให้กับผู้ชายชั่ว ๆ พรรค์นี้...เพียงแต่ใจเจ้ากรรมกลับดันคิดต่างกับสมองอยู่เสมอ...ความรักที่มักจะมาพร้อมกับความโง่เขลา และเมื่อบวกเข้ากับหญิงสาวที่ไร้เดียงสามากเกินไปบนโลกใบนี้ก็ได้กลบสติสัมปชัญญะที่ควรมีจนหมดสิ้น เธอที่ยังเพ้อพกถึงภาพความทรงจำวันวานให้ยิ้มหวาน ผสมปนเปกับความรู้สึกผิดที่ตัดสินใจทำอะไรโง่ ๆ ลงไปจนทำให้เขาเกลียด ใบหน้าสวยอ่อนโยนที่บัดนี้กลับยิ้มทั้งน้ำตาเหมือนคนบ้ายามที่คิดไปถึงเมื่อครั้งวันวานที่ได้พบกัน...มันเป็นภาพความทรงจำของหญิงสาวที่มีต่อชายหนุ่มในวันแรกของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาลัย ภาพที่ยังคงติดตราตรึงใจไม่ลืมเลือน
ผมนึกไปถึงนิสัยของตัวเองพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ ให้กับคำพูดและการแสดงของหญิงสาว ก่อนที่ผมจะไม่รอช้าตอกหน้าเธอกลับไปอย่างต้องการให้เธอรู้ว่าผมไม่ใช่ไอ้ไก่อ่อนที่จะมาให้เธอหลอกได้ง่าย ๆ“หึ...เธออย่ามาพูดมัว ๆ นะคนอย่างฉันเนี่ยนะ จะบอกรักเธอ ผู้หญิงที่มานอนให้ผู้ชายเอาง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะคู่ควรกับให้ฉันบอกรัก เธอนี่มันเรียนคณะไหนเนี่ย เอกมโนโทจินตนาการหรือเปล่า” ประโยคร้ายกาจที่ยังคงส่งออกไปไม่หยุดได้แต่ทำให้หญิงสาวที่ได้ฟังอึ้งด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าเทพบุตรที่ตัวเองหลงรักจะกลายเป็นซาตานได้ในชั่วข้ามคืนน้ำตาพลันไหลออกจากดวงตาสวยพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ส่งมาเหมือนกำลังจะขาดใจตายเสียตรงนั้น แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มที่เจนจัดในสนามกามารมณ์อ่อนใจลงเลยแม้แต่น้อย เขาที่เห็นมานักต่อนักแล้วกับมารยาหลังเสร็จกิจ สุดท้ายแล้วผู้หญิงพวกนี้คงไม่พ้นต้องการเงินอย่างแน่นอน“เลิกมารยาเถอะฉันเจอมานักต่อนักแล้ว ไอ้ที่พร่ำเพ้อพรรณนาไม่หยุดอยู่เนี่ยเพราะอยากได้เงินใช่ไหม เฮ้อ...ซวยจริง ๆ เอาเลขบัญชีมาเดี๋ยวฉันโอนให้” สีหน้าที่เต็มไปด้วยความรำคาญอย่างไม่ปิดบัง หยิบโทรศัพท์ที่อยู่ด้านหลังกระเป๋ากางเกงข
รสชาติน้ำเมาที่โดยปกติมักจะขม แต่พอได้ดื่มสังสรรค์กับคนรู้ใจก็กลายเป็นถูกปากขึ้นมาทันที แก้วแล้วแก้วเล่าที่ถูกสาดให้ไหลผ่านลงคออย่างต่อเนื่องไม่หยุดก็ค่อย ๆ พรากสติสัมปชัญญะที่มีจนแทบจะกลายเป็นศูนย์กระทั่งเมื่อสิ่งสุดท้ายที่ความทรงจำถูกบันทึกเอาไว้อย่างเลือนราง นั่นก็คือภาพที่ผมถูกใครบางคนที่มีรูปร่างบอบบางอรชรกำลังโอบประคองกึ่งพยุงเพื่อให้ผมเดินไป“พะ...พี่วาคิมค่ะค่อย ๆ เดินนะคะ”เสียงหวานที่พูดด้วยอาการเหนื่อยหอบบอกในขณะที่เจ้าตัวกอดเอวของผมแน่น ส่วนผมที่ได้แต่พยายามเพ่งมองแม้สายตาจะฝ้าฟางเต็มทีแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายก็พอมองออกว่าร่างบางที่มีกลิ่นหอมเป็นของหญิงสาวหน้าตาสะสวย เธอที่ประคองร่างผมเดินไปอย่างทุลักทุเล แม้ว่าจิตใต้สำนึกที่เหลืออยู่จะยังสงสัยว่าเธอคนนี้เป็นใครแต่ทว่า...ด้วยภาพลักษณ์ของคนตรงหน้ากลับทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าที่จะรู้สึกระแวง เพราะหญิงสาวตรงหน้านี้ดูไม่น่ามีพิษมีภัยเลยสักนิดเดียว...จากนั้นเมื่อความรู้สึกกังวลใจได้หมดลงไป ร่างที่ถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ครอบงำก็พลันสูญสิ้นการควบคุมอย่างสิ้นเชิง ภาพการโอบประคองจากหญิงสาวร่างนุ่มตัวหอมที่ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเ
ปัง...!!“กรี๊ดดดดด ~~”ฉันที่กำลังยืนเกร็งตัวนับตั้งแต่ที่เห็นว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นใคร ถึงกับหน้าถอดสี ร้องเสียงหลง พร้อมกับขาที่ก้าวขยับออกไปอย่างลืมตัวด้วยเป็นห่วงคนตรงหน้า และด้วยอากัปกิริยาที่ฉันแสดงออกมาอย่างอัตโนมัติของจิตใต้สำนึก ก็ทำให้คนด้านข้างเจ้าของมัจจุราชสีดำวาวที่เพิ่งปล่อยลูกตะกั่วออกไปเมื่อครู่ไม่พอใจ“หึ...ออกอาการเชียวนะ” มือที่โอบกอดเอวแน่นก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นจับที่ต้นแขนเล็กแน่นแทน พร้อมกันที่ดวงตาคมกริบได้ปรายมองมาอย่างเอาเรื่องส่วนฉันที่หน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยใจทั้งหวาดหวั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า อีกทั้งยังกลัวว่าคนตรงหน้าที่หัวใจถวิลหาจะเกิดอันตรายถึงชีวิตแต่ทว่า...ลูกปืนที่ถูกส่งมาสกัดยังพื้นตรงหน้าชายหนุ่ม กลับไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวแม้แต่น้อยเพียงแต่ด้วยสายตาอาฆาตของเจ้าของมือหนาที่กำลังกอบกุมต้นแขนเธออยู่มากกว่าที่ทำให้เขากลัว สายตาที่ส่งไปมองยังหญิงสาวมันทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวมากกว่านี้ ด้วยกลัวว่ามันจะเป็นอันตรายกับเธอ นั่นจึงทำให้เขาทำได้เพียงแค่เอ่ยปากเรียกหญิงสาวที่กำลังถูกชายอีกคนพันธนาการไว้อยู่เท่านั้น“มนต์...มา
ปึ้ง...!! ปัง...!!เสียงประตูที่เปิดเข้ามาอย่างแรงจากการกระแทกที่ไม่แน่ใจว่ามาจากมือหรือเท้ากันแน่ อีกทั้งยังมาพร้อมกับเสียงปืนที่ยิงขู่ขึ้นฟ้า และด้วยการปรากฏตัวของผู้มาใหม่ก็ส่งผลทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที จนแขกเหรื่อที่อยู่ในงานต่างแตกตื่นกรีดร้องกันระงมและในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะดูวุ่นวายไปกว่านี้ คุณไผ่ที่มองภาพตรงหน้าด้วยความพึงพอใจก็ได้พูดผ่านไมค์เพื่อทำลายความวุ่นวายที่มี โดยที่ฉันยังคงได้แต่ยืนอึ้งไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อคนที่หัวใจถวิลหาออกมา“อะ...อ้าว...คุณวาคิมนี่เองนึกว่าใคร อุตส่าห์ให้เกียรติมาร่วมงานแต่งของผมกับภรรยาถึงที่ขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องแสดงความยินดีเสียงดังแบบนี้ก็ได้ครับ” เสียงทุ้มต่ำแต่ทรงพลังและอำนาจอย่างไม่เกรงกลัวปืนที่อยู่ในมือของผู้มาใหม่ ที่ตอนนี้กำลังแสดงสีหน้าถมึงทึงบอกบุญไม่รับอยู่ยังหน้าประตู แถมคนพูดเย้ยหยันยังยื่นมือออกมาโอบเอวหญิงสาวที่ยืนข้างกายแล้วดึงเข้าหาแนบตัวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ“ใครเมียมึง มนต์เป็นคนของกู วันนี้กูไม่ได้มาแสดงความยินดีห่าเหวอะไรทั้งนั้น กูมาตามคนของกูคืน” ชายหนุ่มเอ่ยปากพูดในขณะที่กำปืนในมือแน่นพร้อมมีเรื่องเต็มที่ โดยท