นับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ ทั้งคุณวาคิมและฉันก็ต่างทำงานของตัวเอง โดยที่เขายังคงทำตัวเหมือนปกติทุกอย่างกลับมาเป็นท่านประธานมาดสุขุมดังเดิม เสมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ภาพความฝันเท่านั้น แต่สำหรับฉันมันช่างกลับตรงกันข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง เพราะถึงแม้ว่าความเจ็บตรงจุดกึ่งกลางกายสาวจะเบาบางลงมากแล้วก็ตามหลังจากได้ยาของเขามาทาทุเลา แต่ทว่า...ความรู้สึกทุกอย่างกลับยังคงชัดเจนอยู่ข้างในใจ มันยังตอกย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านั้นคือความจริง และฉันก็ไม่อาจจะทำใจลืมเลือนไม่สนใจมันได้ลงเหมือนอย่างที่เขาทำ
กระทั่งเมื่อนาฬิกาบ่งบอกว่าเวลาของการทำงานได้สิ้นสุดลงแล้ว ฉันที่กำลังยืนรอเขาเซ็นเอกสารฉบับสุดท้ายอยู่ก็ถูกคำพูด คำพูดหนึ่งดึงสติที่เหม่อลอยให้กลับมา
“เลิกงานแล้วอยู่ก่อนนะ” คนตรงหน้าพูดหลังจากจรดปากกาลงบนกระดาษใบสุดท้ายเสร็จ
“ท่านประธานมีอะไรจะให้มนต์รับใช้เหรอคะ” ฉันรับเอกสารจากเข้าเขามาแนบอก ก่อนจะเอ่ยถามไปตามหน้าที่
“การที่ผมคืนของชิ้นนั้นให้คุณไปแล้วไม่ได้หมายความว่าผมได้ในสิ่งที่ผมต้องการแล้วนะ” คนตัวโตเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมกับตัวที่เอนพิงพนักเก้าอี้ขนาดใหญ่
“ตะ...แต่ว่าเมื่อเช้า” ฉันที่รู้สึกตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะยังคงไม่ลืมสิ่งที่เขาพูดเอาไว้เมื่อเช้านี้
“ผมบอกแล้วว่าการที่คุณนอนเป็นท่อนไม้มันไม่ได้ทำให้ผมพึงพอใจเลยสักนิด” ชายตรงหน้ายังคงย้ำคำเดิมด้วยแววตาที่ส่งออกมาว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว
“กะ...ก็แล้วท่านประธานต้องการให้มนต์ทำยังไงล่ะคะ” ฉันก้มหน้านิ่งอกกระเพื่อมสั่นเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเจ็บที่ยังไม่จางหายไปจากจุดกึ่งกลางกายสาวที่พลันแทรกขึ้นมาในห้วงความรู้สึก และกลัวว่าเขาจะซ้ำรอยเดิมจนปวดร้าวอีกครั้ง
แต่แล้วเสียงเหี้ยมเยือกเย็นเอ่ยออกมาอย่างไม่ยี่หระอะไรเหมือนกับว่าคำสั่งนั้นเป็นเพียงแค่สั่งให้ทำงานง่าย ๆ อย่างเช่นไปถ่ายเอกสารเท่านั้น
“ก็ไม่แล้วไง คุณก็แค่ต้องสนองจนกว่าผมจะพอใจก็เท่านั้นเอง”
“แต่ท่านประธานค่ะ” ฉันตอบรับด้วยความตกใจ และในขณะที่ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค
“ไม่มีแต่...และนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคุณต้องมาหาผมทุกครั้งที่ผมต้องการ” คนตรงหน้าหยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้ฉันที่กำลังยืนหูอื้อหลังจากได้ยินคำพูดจากเขา ก่อนที่ฉันจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยพูดประโยคที่ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะพูดมันออกมาเลยนับตั้งแต่ที่ทำงานกับเขา
“ถ้าอย่างนั้นมนต์ขอลาออกค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นพูดพร้อมกับสายตามุ่งมั่น
“มั่นใจเหรอที่พูดออกมาแบบนี้ คุณรับผลกระทบที่จะตามได้แน่ใช่ไหม” ส่วนคนตัวโตที่หยุดเดินก่อนจะหย่อนกายลงนั่งยังมุมโต๊ะทำงานของตัวเองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเขารู้อยู่แล้วว่าฉันจะตอบยังไง
“มะ...หมายความว่ายังไงคะ” ดวงตากลมโตสั่นระริกยามช้อนขึ้นไปมองใบหน้าเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยถามด้วยหัวใจที่สั่นไหว
“ถ้าอยากรู้ก็แค่ลองดู” ก่อนที่คนใจร้ายจะยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระ เพราะเขาเองก็ไม่คิดจะพูดเล่นเหมือนกันในเมื่อเธอได้มาปลุกสัญชาตญาณดิบในกายเขาให้ลุกโชนขึ้นมาแบบนี้แล้ว เธอเองก็ต้องรับผิดชอบมันเหมือนกัน
และด้วยคำพูดของคนที่มีอำนาจในมืออย่างคนตรงหน้าแล้วนั้น ก็ทำให้ฉันได้แต่ก้มหน้าคิดทบทวนถึงผลกระทบที่จะตามมา เพราะไม่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเจ้านายของฉันเขานั้นมีอำนาจและคอนเนคชั่นมากขนาดไหน และคงไม่ต้องถามว่าถ้าหากฉันก้าวเท้าออกไปจากบริษัทนี้โดยมีคำขู่ของเขาพ่วงตามหลังมาด้วยแล้วนั้น อนาคตการทำงานของฉันคงดับสูญอย่างไม่มีชิ้นดีแน่นอน อีกทั้งไม่ต้องคิดถึงช่องทางทำมาหากินอื่นใด แม้แต่จะยืนอยู่ในประเทศนี้ได้อีกไหมก็ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
“นานแค่ไหนคะ” ก่อนที่ฉันจะกลั้นใจถามออกไปหลังจากที่ใช้เวลาคิดทบทวนอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้...อาจจะจนกว่าผมจะพอใจล่ะมั้ง” คนตั้งเงื่อนไขตอบตามความจริง เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรเขาจะเบื่อเธอหรือว่าเมื่อไรที่เขาจะเจอสิ่งใหม่ที่น่าสนใจมากกว่านี้
สิ้นคำตอบจากคนตรงหน้า หญิงสาวได้แต่ก้มหน้านึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้
“ตะ...แต่ว่าวันนี้มนต์ เอ่อ ยะ...ยังเจ็บ” ฉันที่ปลงตกกับชะตาชีวิตของตัวเองกับสิ่งที่ต้องเจอกลั้นใจพูดออกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายในขณะนี้ เพราะแม้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตัวฉันเองจะไม่อาจหลีกเลี่ยงอะไรได้อีกแล้วเพราะฉะนั้นฉันก็คงต้องเซฟตัวเองเอาไว้บ้าง
“ผมรู้...” คนตัวโต้ตอบ
“ถะ...ถ้างั้นมนต์ขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
และในจังหวะที่ฉันกำลังหมุนตัวกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองนั้น เสียงทุ้มต่ำของผู้เป็นเจ้านายและกลายมาเป็นเจ้าชีวิตก็เอ่ยขึ้น
“แต่ปากของคุณไม่ได้เจ็บนี่...!!”
ฝีเท้าที่กำลังจะเดินก้าวไปถึงกับหยุดชะงักทันที ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันหมายความว่าอะไร เพราะด้วยสารคดีทั้งแบบเอเชีย ยุโรป ที่เคยผ่านตาของฉันมาบ้างทำให้ฉันรู้ในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี เพียงแต่...พวกสารคดีเหล่านั้นฉันเคยแค่ดูเท่านั้น ฉันยังไม่เคยลงมือทำให้ผู้ชายคนไหนในชีวิตจริงมาก่อนเลยสักครั้งเดียว
และในขณะที่ฉันยังยืนตัวแข็งทื่ออึ้งกับคำพูดของคนด้านหลังอยู่นั้น เสียงรูดซิปลงช้า ๆ เฉกเช่นเดียวกับเสียงเมื่อเช้าที่ฉันได้ยิน ก่อนที่หลังจากนั้นฉันจะต้องมาปวดแสบตรงหว่างขาจนถึงเวลานี้ก็ได้ดังขึ้นแถมยังมาพร้อมกับเสียงเข้มที่เอ่ยปากออกคำสั่งอีกด้วย
“หันมาทางนี่สิ...” เสียงเข้มสั่ง
“...............” ส่วนฉันยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ด้วยเพราะรู้ดีว่าถ้าหากหันไปฉันต้องเจอกับอะไร
“ผมบอกให้หันมาไงครับ...คุณมนต์” เสียงเดิมเอ่ยย้ำพร้อมกับเพิ่มความดุดันขึ้นเล็กน้อย
“ตะ...แต่มนต์ไม่เคยทำ” ฉันพูดตะกุกตะกักพร้อมกับหันหน้าไปเผชิญลำเอ็นสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่ยื่นยาวออกมาจากกางเกงท้าสายตากลมโตให้เห็นเต็มตาอีกครั้ง
“แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่เป็นนี่ครับ ในฐานะเจ้านายผมรู้ดีว่าคุณมนต์เป็นคนเรียนรู้ไวขนาดไหน” เจ้าของลำเอ็นขนาดใหญ่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะส่งสายตาเป็นคำสั่งกลาย ๆ ว่าให้ฉันเดินเข้ามาจัดการตัวปัญหาที่อยู่ตรงหว่างขาของเขาเสีย
“ถ้าอย่างนั้นมนต์ขอไปเรียนรู้ก่อนได้ไหมคะ ละ...แล้วเดี๋ยวมนต์...” และในจังหวะที่ฉันกำลังต่อรอง
“การปฏิบัติจริงถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุดครับ” คนตัวโตพูดดักคอ ด้วยสายตาแพรวพราว
“แต่ว่า...”
“หรือคุณจะใช้ตรงนั้นทำแทน ถ้างั้นผมเองก็ไม่ติดนะ” ชายหนุ่มที่ดูไม่แยแสในอาการหวาดหวั่นของหญิงสาวสักนิด พูดพร้อมกับปรายตามองไปยังจุดกึ่งกลางกายสาว จนคนถูกมองถึงกับขนลุกซู่
สิ้นคำขู่ร่างบางถึงกับรีบตรงเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของคนใจร้ายทันที ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ หย่อนกายลงคุกเข่าแล้วจัดการเจ้าเอ็นแข็งด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ
“อ้าปากซิ...” คนตัวโตออกปากสั่ง โดยที่มือส่งมาเกลี่ยริมฝีปากนุ่มช้า ๆ
“กว้างกว่านี้ คุณก็รู้ดีว่าอ้าแค่นี้มันไม่พอกับ...” เขาออกคำสั่งย้ำอีกครั้ง ส่วนฉันก็ทำได้เพียงแค่ทำตาม
“ดีมาก จากนั้นก็ค่อย ๆ ครอบมันช้า ๆ ระวังฟันด้วยล่ะ” คำพูดที่คล้ายกับครูกำลังสอนลูกศิษย์ โดยที่ลูกศิษย์อย่างฉันก็ค่อย ๆ ครอบงำกลืนกินตัวตนของครูตรงหน้าเข้าไป
“อึก...อ่อก...อืออออ ~~ อ่อก ~~”
“อ่าาาาซ์ ~~ อย่างนั้นแหละ จากนั้นก็ดูด...ดูดให้เหมือนกับว่าคุณกำลังกินไอติมอยู่” ใบหน้าคมเข้มเชิดขึ้นร้องครางกระเส่า พร้อมกับปากที่ไม่หยุดสอนสั่ง
“อึก...อึก...จ๊วบๆๆ”
“อย่างนั้นแหละ อืมมมมม ~~ เก่งมาก”
และด้วยคำชมแสนแผ่วเบาที่ฟังดูอ่อนหวาน บวกกับช่องปากที่เหมือนจะปรับตัวเข้ากับลำเอ็นของเขาได้แล้ว ทำให้ฉันนึกครึ้มออกแรงขยับริมฝีปากกดเม้มไปยังหนังหุ้มปลอกขึ้นลงพร้อมกับดูดท่อนเอ็นนั้นเป็นจังหวะไปมา
จ๊วบๆๆ แผล็บๆๆ
“อ๊าาาา...ซี๊ดดดดด ~~ ดีมากอย่างนั้นแหละ อืมมมม ~~” เสียงครวญครางร้องคำรามออกมาไม่เป็นศัพท์ด้วยความรู้สึกเสียววาบไปทั่วเอ็นอุ่นทำให้เจ้านายหนุ่มได้แต่ประคองหัวทุยเล็กให้โยกเข้าออกเป็นจังหวะ
“อึก...อ่อก ~~” ดวงตากลมสวยถึงกับมีน้ำใสไหลคลอหลังจากถูกปลายหัวมนของท่อนเนื้อยาวที่คับปากแน่นทิ่มทะลวงไปถึงคอหอย
“เม้มปากซิมนต์...ซี๊ดดดดด ~~ ผมจะไม่ไหวแล้ว ปากคุณมันโอบรัดตัวตนผมไว้แน่นไปหมด...” คำชมระคนคำสั่งถูกป้อนใส่หญิงสาวที่ตอนนี้น้ำตาไหลเป็นทางเนื่องจากสิ่งที่อยู่ในปากคับแน่นเกินจนแทบหายใจไม่ออก
จากนั้นหัวทุยเล็กสั่นคลอนได้ไม่นาน ภายในริมฝีปากอวบก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกตอดที่ส่งมาเป็นจังหวะจากลำเอ็นเนื้อ และด้วยความหัวเร็วในการเรียนรู้ของเธอดั่งที่เจ้านายของเธอเอ่ยปากชมเอาไว้ นั่นจึงทำให้เธอไม่รอช้ารีบขยับเรียวปากให้เร็วขึ้นพร้อมกับเม้มเนื้อหยุ่นที่เป็นเสมือนปลอกครอบดุ้นเนื้อเอาไว้ เพื่อรูดเอาน้ำสีขาวขุ่นให้พวยพุ่งผ่านลำคอลงไป
“อ๊ะ...อ๊ะ...อืม...อ่าาาาส์” มือหนาที่ประคองหัวทุยของหญิงสาวเอาไว้ได้แต่รวบเรือนผมขยุ้มแน่นอย่างต้องการระบายความเสียว พร้อมกับคำรามลั่นออกมาหลังจากที่ปลายหัวมนที่อยู่ในปากหญิงสาวได้ปลดปล่อยลาวาขุ่นพุ่งออกมา
“อึก...อึก...อึก” ลำคอระหงกระดกดื่มกินน้ำรักที่ล้นอยู่เต็มปากด้วยความจำใจเพราะด้วยขนาดที่ใหญ่โตคับปากทำให้เธอไม่อาจคายน้ำคาวออกมาได้ แต่ทว่า...การกระทำของเธอนั้นกลับทำให้เจ้าของน้ำสีขาวขุ่นรู้สึกพึงพอใจในเสียงกลืนน้ำรักของหญิงสาวที่เขาฟังแล้วช่างแสนจะไพเราะเสนาะหู
“หึ...เก่งพอตัวเลยนี่หน่าแล้วบอกว่าครั้งแรก คุณมนต์คุณช่างทำให้ผมประหลาดใจอยู่เรื่อยเลยนะ” คนตัวโตเอ่ยปากชมก่อนจะถอดไอ้ตัวเจ้าปัญหาออกจากปากอุ่นชื้นแล้วจัดการจับมันเก็บกลับไปอยู่ในรังตามเดิม
“เฮือก ~~ แฮ่กๆๆ มนต์กลับได้แล้วใช่ไหมคะ แค่ก...แค่ก...” หลังจากที่ในโพรงปากสาวของฉันไร้ซึ่งของแปลกปลอมแล้วเสียงหอบเอาอากาศเข้าหายใจก็ดังสวนออกไปจนฉันไม่ได้ฟังคำพูดเหน็บแนมจากคนตรงหน้าเลยสักนิด ก่อนที่ตัวเองจะหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเตรียมตัวจะหันหลังกลับไป
และในจังหวะที่ฉันหมุนตัวกลับเพื่อจะเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองนั้น เสียงที่ดังตามหลังมาก็ทำให้ฉันรู้สึกฉงนใจเม้มปากแน่นในทันที...
หญิงสาวที่พอได้ลองใช้ชีวิตเองได้ตัดสินใจเอง บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง เธอที่ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าชีวิตจะพังทลายเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ถึงเพียงนี้ ทั้งความเป็นจริงของการใช้ชีวิตด้วยตัวเองครั้งแรก ทั้งความรักครั้งแรกกับผู้ชายคนแรก ร่วมถึงการมีเซ็กซ์ครั้งแรก มันช่างขัดกับสิ่งที่เธอเคยคิดจินตนาการเอาไว้ไหนจะเรื่องราวในนิยายที่เธอเคยอ่านมามากมายยามที่ต่อสู้กับความอ้างว้าง ทำไมมันช่างแตกต่างกับความเป็นจริงที่ได้พบเจอราวฟ้ากับเหว ภาพจำของสุภาพบุรุษในเรื่องราวเหล่านั้นที่เคยอ่าน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระนางที่พอตื่นขึ้นมาจากค่ำคืนสวาท แล้วพบว่าตัวพระเอกได้พรากความบริสุทธิ์ของนางเอกไปแล้ว พระเอกนั้นก็จะโอบกอดปลอบประโลมและเต็มใจที่รับผิดชอบต่อนางเอกทุกอย่าง...แต่ทว่าในความเป็นจริง...สิ่งที่หญิงสาวใสซื่อไม่เคยตระหนักเลยยามที่เธอเสพสื่อเหล่านั้นก็คือ...เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ตัวอักษรที่เอาไว้ล่อหลอกหญิงสาวที่อ่อนต่อโลกใบนี้ให้ลุ่มหลง แล้วคิดว่าคำพูดที่ร้อยเรียงผ่านการปรุงแต่งออกมาตามความปรารถนาของนักเขียน มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง...โดยเฉพาะความคิดตื้นเขินที่
เสียงสะอื้นที่ยังคงเปล่งออกมาไม่หยุด อีกทั้งยังมาพร้อมกับภาพความทรงจำมากมายเกี่ยวกับชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไปก็ยังถาโถมเข้ามาเหมือนแอลกอฮอล์ที่ราดลงบนแผลสดให้ปวดแสบภาพเรื่องราวของเขานับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน จวบจนมาถึงยามที่ทุกอย่างได้สิ้นสุดลงเมื่อครู่ มันได้ฉายเข้ามาแม้จะเจ็บปวดเสมือนกับว่าสมองต้องการบอกให้หญิงสาวเลิกคิดถึงเขาได้แล้ว และให้มันจบเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่ตัวเองจะได้เริ่มต้นใหม่ ด้วยเพราะชีวิตของหญิงสาวยังไปได้อีกไกลเกินกว่าจะมาทิ้งให้กับผู้ชายชั่ว ๆ พรรค์นี้...เพียงแต่ใจเจ้ากรรมกลับดันคิดต่างกับสมองอยู่เสมอ...ความรักที่มักจะมาพร้อมกับความโง่เขลา และเมื่อบวกเข้ากับหญิงสาวที่ไร้เดียงสามากเกินไปบนโลกใบนี้ก็ได้กลบสติสัมปชัญญะที่ควรมีจนหมดสิ้น เธอที่ยังเพ้อพกถึงภาพความทรงจำวันวานให้ยิ้มหวาน ผสมปนเปกับความรู้สึกผิดที่ตัดสินใจทำอะไรโง่ ๆ ลงไปจนทำให้เขาเกลียด ใบหน้าสวยอ่อนโยนที่บัดนี้กลับยิ้มทั้งน้ำตาเหมือนคนบ้ายามที่คิดไปถึงเมื่อครั้งวันวานที่ได้พบกัน...มันเป็นภาพความทรงจำของหญิงสาวที่มีต่อชายหนุ่มในวันแรกของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาลัย ภาพที่ยังคงติดตราตรึงใจไม่ลืมเลือน
ผมนึกไปถึงนิสัยของตัวเองพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ ให้กับคำพูดและการแสดงของหญิงสาว ก่อนที่ผมจะไม่รอช้าตอกหน้าเธอกลับไปอย่างต้องการให้เธอรู้ว่าผมไม่ใช่ไอ้ไก่อ่อนที่จะมาให้เธอหลอกได้ง่าย ๆ“หึ...เธออย่ามาพูดมัว ๆ นะคนอย่างฉันเนี่ยนะ จะบอกรักเธอ ผู้หญิงที่มานอนให้ผู้ชายเอาง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะคู่ควรกับให้ฉันบอกรัก เธอนี่มันเรียนคณะไหนเนี่ย เอกมโนโทจินตนาการหรือเปล่า” ประโยคร้ายกาจที่ยังคงส่งออกไปไม่หยุดได้แต่ทำให้หญิงสาวที่ได้ฟังอึ้งด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าเทพบุตรที่ตัวเองหลงรักจะกลายเป็นซาตานได้ในชั่วข้ามคืนน้ำตาพลันไหลออกจากดวงตาสวยพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ส่งมาเหมือนกำลังจะขาดใจตายเสียตรงนั้น แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มที่เจนจัดในสนามกามารมณ์อ่อนใจลงเลยแม้แต่น้อย เขาที่เห็นมานักต่อนักแล้วกับมารยาหลังเสร็จกิจ สุดท้ายแล้วผู้หญิงพวกนี้คงไม่พ้นต้องการเงินอย่างแน่นอน“เลิกมารยาเถอะฉันเจอมานักต่อนักแล้ว ไอ้ที่พร่ำเพ้อพรรณนาไม่หยุดอยู่เนี่ยเพราะอยากได้เงินใช่ไหม เฮ้อ...ซวยจริง ๆ เอาเลขบัญชีมาเดี๋ยวฉันโอนให้” สีหน้าที่เต็มไปด้วยความรำคาญอย่างไม่ปิดบัง หยิบโทรศัพท์ที่อยู่ด้านหลังกระเป๋ากางเกงข
รสชาติน้ำเมาที่โดยปกติมักจะขม แต่พอได้ดื่มสังสรรค์กับคนรู้ใจก็กลายเป็นถูกปากขึ้นมาทันที แก้วแล้วแก้วเล่าที่ถูกสาดให้ไหลผ่านลงคออย่างต่อเนื่องไม่หยุดก็ค่อย ๆ พรากสติสัมปชัญญะที่มีจนแทบจะกลายเป็นศูนย์กระทั่งเมื่อสิ่งสุดท้ายที่ความทรงจำถูกบันทึกเอาไว้อย่างเลือนราง นั่นก็คือภาพที่ผมถูกใครบางคนที่มีรูปร่างบอบบางอรชรกำลังโอบประคองกึ่งพยุงเพื่อให้ผมเดินไป“พะ...พี่วาคิมค่ะค่อย ๆ เดินนะคะ”เสียงหวานที่พูดด้วยอาการเหนื่อยหอบบอกในขณะที่เจ้าตัวกอดเอวของผมแน่น ส่วนผมที่ได้แต่พยายามเพ่งมองแม้สายตาจะฝ้าฟางเต็มทีแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายก็พอมองออกว่าร่างบางที่มีกลิ่นหอมเป็นของหญิงสาวหน้าตาสะสวย เธอที่ประคองร่างผมเดินไปอย่างทุลักทุเล แม้ว่าจิตใต้สำนึกที่เหลืออยู่จะยังสงสัยว่าเธอคนนี้เป็นใครแต่ทว่า...ด้วยภาพลักษณ์ของคนตรงหน้ากลับทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าที่จะรู้สึกระแวง เพราะหญิงสาวตรงหน้านี้ดูไม่น่ามีพิษมีภัยเลยสักนิดเดียว...จากนั้นเมื่อความรู้สึกกังวลใจได้หมดลงไป ร่างที่ถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ครอบงำก็พลันสูญสิ้นการควบคุมอย่างสิ้นเชิง ภาพการโอบประคองจากหญิงสาวร่างนุ่มตัวหอมที่ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเ
ปัง...!!“กรี๊ดดดดด ~~”ฉันที่กำลังยืนเกร็งตัวนับตั้งแต่ที่เห็นว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นใคร ถึงกับหน้าถอดสี ร้องเสียงหลง พร้อมกับขาที่ก้าวขยับออกไปอย่างลืมตัวด้วยเป็นห่วงคนตรงหน้า และด้วยอากัปกิริยาที่ฉันแสดงออกมาอย่างอัตโนมัติของจิตใต้สำนึก ก็ทำให้คนด้านข้างเจ้าของมัจจุราชสีดำวาวที่เพิ่งปล่อยลูกตะกั่วออกไปเมื่อครู่ไม่พอใจ“หึ...ออกอาการเชียวนะ” มือที่โอบกอดเอวแน่นก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นจับที่ต้นแขนเล็กแน่นแทน พร้อมกันที่ดวงตาคมกริบได้ปรายมองมาอย่างเอาเรื่องส่วนฉันที่หน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยใจทั้งหวาดหวั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า อีกทั้งยังกลัวว่าคนตรงหน้าที่หัวใจถวิลหาจะเกิดอันตรายถึงชีวิตแต่ทว่า...ลูกปืนที่ถูกส่งมาสกัดยังพื้นตรงหน้าชายหนุ่ม กลับไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวแม้แต่น้อยเพียงแต่ด้วยสายตาอาฆาตของเจ้าของมือหนาที่กำลังกอบกุมต้นแขนเธออยู่มากกว่าที่ทำให้เขากลัว สายตาที่ส่งไปมองยังหญิงสาวมันทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวมากกว่านี้ ด้วยกลัวว่ามันจะเป็นอันตรายกับเธอ นั่นจึงทำให้เขาทำได้เพียงแค่เอ่ยปากเรียกหญิงสาวที่กำลังถูกชายอีกคนพันธนาการไว้อยู่เท่านั้น“มนต์...มา
ปึ้ง...!! ปัง...!!เสียงประตูที่เปิดเข้ามาอย่างแรงจากการกระแทกที่ไม่แน่ใจว่ามาจากมือหรือเท้ากันแน่ อีกทั้งยังมาพร้อมกับเสียงปืนที่ยิงขู่ขึ้นฟ้า และด้วยการปรากฏตัวของผู้มาใหม่ก็ส่งผลทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที จนแขกเหรื่อที่อยู่ในงานต่างแตกตื่นกรีดร้องกันระงมและในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะดูวุ่นวายไปกว่านี้ คุณไผ่ที่มองภาพตรงหน้าด้วยความพึงพอใจก็ได้พูดผ่านไมค์เพื่อทำลายความวุ่นวายที่มี โดยที่ฉันยังคงได้แต่ยืนอึ้งไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อคนที่หัวใจถวิลหาออกมา“อะ...อ้าว...คุณวาคิมนี่เองนึกว่าใคร อุตส่าห์ให้เกียรติมาร่วมงานแต่งของผมกับภรรยาถึงที่ขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องแสดงความยินดีเสียงดังแบบนี้ก็ได้ครับ” เสียงทุ้มต่ำแต่ทรงพลังและอำนาจอย่างไม่เกรงกลัวปืนที่อยู่ในมือของผู้มาใหม่ ที่ตอนนี้กำลังแสดงสีหน้าถมึงทึงบอกบุญไม่รับอยู่ยังหน้าประตู แถมคนพูดเย้ยหยันยังยื่นมือออกมาโอบเอวหญิงสาวที่ยืนข้างกายแล้วดึงเข้าหาแนบตัวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ“ใครเมียมึง มนต์เป็นคนของกู วันนี้กูไม่ได้มาแสดงความยินดีห่าเหวอะไรทั้งนั้น กูมาตามคนของกูคืน” ชายหนุ่มเอ่ยปากพูดในขณะที่กำปืนในมือแน่นพร้อมมีเรื่องเต็มที่ โดยท