ความรู้สึกร้อนไปทั้งตัวแล้ววิ่งขึ้นหน้าแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับชินานางมาก่อน สาเหตุนี้เพราะสายตาของ ‘MIB’ ที่เธอแอบเรียกในใจ ตอนนี้เขาถอดแว่นดำแล้วแถมมักจะจ้องเธออยู่บ่อยครั้ง แววตาสีน้ำตาลไหม้ที่เธอจ้องกลับนั้นไม่เคยหลบเลยสักครั้งจนเธอต้องเป็นฝ่ายหลบไปซะเองทุกที คิดแล้วก็แทบอยากกลับไปอาบน้ำใหม่อีกครั้งทั้งที่อาบไปแล้ว แต่เหงื่อมันซึมมาใหม่เนื่องมาจากแววตาราวกับแผดเผาเธอได้ของเขา
มือบางยกขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ระหว่างที่ทั้งสามรอการตั้งโต๊ะของชมพู่กับแป้นและเด็กรับใช้ภายในบ้านอีกสองคน อาหารมื้อนี้เป็นฝีมือของเธอกับแป้น เนื่องด้วยคุณป้าจิตต์แม่บ้านและแม่ครัวมือหนึ่งกับคุณแม่อรพิมเจ้าของบ้าน ไปถือศีลที่วัดในวันพระและจะกลับมาในวันพรุ่งนี้
“ป้าอรไม่โกรธแย่เหรอ ที่พี่ไม่กลับบ้านสักที” ตติยะเอ่ยถามระหว่างการรอ
“ก็มีงอนบ้างค่ะ ว่าพี่ติวคงมัวแต่หลงสาวๆ จนลืมคนแก่อย่างท่านกับป้าจิตต์ไปแล้ว แต่ก็แค่บ่นๆ น่ะค่ะ ไม่ได้โกรธจริงจังหรอก”
พอมีการพูดคุยเธอก็ค่อยโล่งอกมากขึ้น เพราะไม่ต้องมานั่งเก็บกดทนอึดอัดกับสายตาใครคนหนึ่งแค่อย่างเดียว เพราะหลังจากที่ให้คนช่วยเอากระเป๋าของทั้งสองไปเก็บ พร้อมกับได้พักผ่อนกันเล็กน้อยและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ตติยะก็พาเรฟมาที่เรือนไทยโดยรู้ว่าป้าเขาไม่อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว จึงตั้งใจมาฝากท้องกับหญิงสาวแทน เพราะอย่างไรเสียเขาก็มักจะทานข้าวที่เรือนหลังนี้มาตั้งแต่ครั้งที่เรียนอยู่ที่นี่แล้ว
“ผมไม่ค่อยกินอาหารไทย กินไปแล้วจะปวดท้องไหม” เรฟพูดเบาๆ จะยกมือขึ้นตักกับข้าว
“ไม่หรอกน่า กินไปแล้วจะติดใจ” ตติยะบอกลูกผู้พี่
“แต่คนชินแต่กับอาหารฝรั่ง ทานไปคงไม่ถูกปากหรอกมั้งคะ” เสียงหวานได้ทีกัดคนหน้าเฉยเข้าให้
“ไม่ถูกปากน่ะไม่เท่าไหร่ แต่กลัวท้องเสียนี่สิ” คนหน้าเฉยก็ยังโต้กลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม แต่คราวนี้ไม่มองหน้าเธอเพราะกำลังตักผัดผักมาใส่จานของตน หลังจากเห็นว่าตติยะทานไปแล้วสองสามคำ
“ถ้าไม่แน่ใจ ไม่ต้องทานก็ได้นะคะ” พูดแล้วหญิงสาวก็เม้มปากอย่างสะกดอารมณ์ เรื่องอะไรจะยอมให้ว่าเราได้ฝ่ายเดียว มากินของของเราแล้วยังว่าเราอีก ไม่ต้องกินซะเลยจะดีกว่า เธอคิดอย่างขุ่นเคือง
“จริงๆ ก็ไม่อยากนักหรอก แต่เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีมารยาท เพราะอุตส่าห์ทำมาให้ทานตั้งเยอะ” เขายังพูดต่อเสียงราบเรียบ
“ทำให้พี่ติวต่างหาก“
“เอาน่า...กินกันได้แล้ว อร่อยๆ ทั้งนั้น แถมพี่ชอบทุกอย่างอีกต่างหาก น้องนานี่น่ารักจริงๆ เลย รู้ใจพี่ไปหมดทุกอย่าง”
ตติยะปากหวานหว่านล้อมให้หญิงสาวหันมาสนใจอาหารตรงหน้ามากกว่าทะเลาะกับเรฟ ไม่ใช่อะไรหรอก เขากลัวว่ากับข้าวที่แสนอร่อยทั้งหลายจะจืดชืดหมดเพราะบรรยากาศมันไม่เหมาะกับการรับประทานก็เท่านั้น
“งั้นพี่ติวก็ทานเยอะๆ นะคะ” หญิงสาวหันมามองเขาพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“แน่นอนอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยักคิ้วตักข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์
ผิดกับอีกหนึ่งหนุ่มที่กลับอารมณ์ขุ่นมัวยิ่งขึ้น รู้สึกรำคาญเสียงหวานนั้นอย่างบอกไม่ถูก พี่ติวอย่างนั้น พี่ติวอย่างนี้ตลอดเวลา หากเธอเป็นลูกใหม่ของแม่ เขาสิพี่ชายเธอ
ยิ่งได้รู้ว่าแม่มีคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อ แถมยังมีลูกใหม่แล้วยิ่งทำให้เรฟรู้สึกปวดใจมากขึ้น เขารู้เพียงว่าทั้งคู่ทะเลาะและไม่ลงรอยกัน แม่เกลียดพ่อชนิดไม่คิดจะเผาผี แต่ไม่คิดว่าแม่จะรักและอยู่กับคนอื่นจนลูกโตแล้วขนาดนี้ นั่นหมายความว่า แม่มีคนใหม่หลังจากเลิกกับพ่อไม่กี่ปี
แม่ลืมพ่อได้อย่างรวดเร็ว และคงลืมลูกอย่างเขาไปแล้วด้วยเช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็เหลือบมองไปที่เจ้าของเสียงหวานใส เธอดูน่ารัก สดใส อ่อนโยน เห็นชัดว่าถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักความเอาใจใส่ แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง เขารู้ว่าพ่อรักเขามาก แต่พ่อไม่ได้เลี้ยงเขาด้วยความอ่อนโยน พ่อเลี้ยงให้เขาเข้มแข็ง ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ความอ่อนโยนคือความอ่อนแอสำหรับพ่อ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่รู้จักมัน
แม้ว่าตติยะจะทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยและพูดคุยกับชินานางซะมากกว่า หากแต่อาการของลูกผู้พี่ที่เงียบและดูอึมครึมก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของเขาได้เช่นกัน
การพูดถึงคุณป้าอรพิมทำให้เรฟเจ็บปวด ตติยะรู้อยู่แก่ใจว่าเรฟรู้สึกเช่นไรและต้องการอะไรมาตลอด แม้ว่าภายนอกจะดูเฉยชาและแข็งกระด้าง แต่คนเราทุกคนต้องการ ‘ความรักจากแม่’ ด้วยกันทั้งนั้น และเขาเชื่อมั่นว่าการพบหน้ากันระหว่างเรฟกับป้าอร จะต้องทำให้อะไรๆ หลายอย่างดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะสายใยนั้นอาจจะขาดลงได้ แต่สายเลือดนั้นไม่มีวันตัดขาด
===================
พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนของบ้านสวนสุวรรณกร บดบังแสงอันน้อยนิดริบหรี่ของดวงดาวให้หลบลี้หนีหน้า ร่างสูงใหญ่นอนเหยียดยาวคิดเรื่องของลูกผู้พี่อยู่บนเก้าอี้นอนริมระเบียงห้องนอน พลางแหงนเงยหน้ามองดวงจันทร์สีทองแสนงาม แม้มันจะสดใสโดดเด่นกระจ่างตา หากแต่ก็ไม่เท่ากับรอยยิ้มของใครบางคนที่ตติยะได้เจอในวันนี้ เพราะรอยยิ้มและน้ำเสียงของเธอสว่างไสวยิ่งกว่าหลายเท่านัก
ขณะนี้ในหัวของเขาเริ่มคิดไปถึงใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักของตนเอง ใบหน้าคมหล่อเหลาระบายยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ วันนี้ทำให้เขารู้ซึ้งแก่ใจว่า สิ่งที่เรฟสันนิษฐานนั้นมันผิดถนัด
เขาและเธอยังคงความรู้สึกเดิมที่มีให้กันไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะรู้ว่าเธอมีคนชื่นชอบแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกหึงหรือหวงเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขามีต่อเธอก็คือความห่วงใยเช่นทุกครั้ง และยิ่งเห็นชวินดีต่อเธอมากขนาดนี้เขายิ่งอยากเชียร์ให้เธอตอบรับรักชวินไปซะด้วยซ้ำ เพราะในส่วนลึกเขาอยากให้เธอมีคนดูแลสักที จะได้วางใจว่าเธอมีคนอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องกังวลเรื่องชายหนุ่มที่ถูกตาต้องใจจะเข้ามาเกาะแกะด้วยเจตนาไม่ดีอีกต่อไป
ส่วนเรื่องที่เขาหวั่นเกรงนั้นเอื้อมทรายไม่เอ่ยถึงมันเลย แบบนี้แสดงว่าเธอไม่รู้ว่าคนที่เธอต่อว่าไปเมื่อคืนก่อนเป็นเขา หรือก็คือ เธอจำเขาไม่ได้นั่นเอง
ทั้งสองคุยกันถูกคอเหมือนเช่นเคย รอยยิ้มของเธอก็ยังเป็นเหมือนก่อน เธอยังตีหัวเขา เขายังยีหัวเธอได้เช่นเคย ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปอยู่ในสมัยเรียนอีกครั้ง ทว่าเวลาแห่งความสุขมักจะมีน้อย เพราะหลังจากทานข้าวกันเสร็จ คุยกันได้สักพัก เอื้อมทรายก็มีโทรศัพท์เข้ามาเธอจึงต้องรีบกลับ ก่อนกลับเขาก็เซอร์ไพรส์ด้วยของฝากเป็นซูชิของชอบของเธอกับน้องที่เขาจำได้ให้กลับบ้านไปด้วย ในตอนแรกตั้งใจว่าจะไปส่งแต่ก็ถูกวิชัยโทรตามให้เข้าไปเซ็นเอกสารที่ต้องอนุมัติด่วนจึงต้องให้เธอลงที่ป้ายรถเมล์ เอื้อมทรายไม่คิดอะไรมากอยู่แล้วยอมลงโดยไม่เกี่ยงงอน ก่อนจากเขาให้นามบัตรเธอเอาไว้เพื่อความสะดวกในการติดต่อกัน
ริมฝีปากบางสวยสีสดยกขึ้นกว้างขวางเมื่อนึกถึงคำพูดสุดท้ายของหญิงสาว
‘ไม่ต้องห่วงจ้ะ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนล่ะก็แซนด์จะโทรหาติวคนแรกเลย ก็อุตส่าห์กลับมาให้เรียกใช้บริการแล้วนี่เนอะ ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน’
เอื้อมทรายก็ยังคงเป็นเอื้อมทรายอยู่วันยังค่ำ คำว่าเกรงใจเขา สำหรับเธอนั้นไม่มี เพราะเขาเป็นคนบอกเธอตั้งแต่วันแรกที่พบกันในวันฝนตกหลังจากไปส่งถึงหน้าบ้านว่า ไม่ต้องเกรงใจ ฉะนั้นเธอจึงสนองตอบเขาเช่นนี้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
=====
หลังเอื้อมทรายคลอดลูก ทั้งครอบครัวของตติยะก็ยังพักอยู่ต่อโดยไม่มีใครเดินทางกลับนอกจากแขก เพราะต่างก็เห่อหลานชายสองคนที่น่ารักน่าชังมากๆ แม้แต่คุณอานนท์กับคุณนิตยาเองก็ยังเฝ้าหลานทั้งสองคนไม่ห่าง ทิ้งงานที่โรงพยาบาลไปเลยทีเดียว เนื่องจากคุณนิตยาลงความเห็นว่าหลานตัวน้อยยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไปโดนแดดโดนลมทะเลในตอนนี้ ก็เลยเพียงแค่พามาพักที่บ้านพักของตระกูลตติยะเพื่อความสะดวกสบาย และเสียงเด็กๆ จะได้ไม่รบกวนแขกของรีสอร์ต พวกเขาจึงพากันเกงานกันทั้งครอบครัว โดยคุณเจอเซ่สั่งงานผ่านทางวิดีโอคอลกับคนสนิทที่ไว้ใจได้ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยทีเดียวส่วนตัวตติยะนั้นเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าหลังแต่งงานจะพักฮันนีมูนเป็นเดือนจึงไม่เดือดร้อน เนื่องจากเคลียร์และกับเลขาอย่างคุณวิชัยเรียบร้อย หากมีอะไรด่วนวิชัยคงติดต่อเขามาเอง ก็กว่าเขาจะได้แต่งงานคนอื่นก็นำโด่งไปไกลไม่เห็นฝุ่นแล้ว เพราะนับตั้งแต่คืนที่เขาต้องเสียเงินซื้อรถให้น้องทั้งสองคน เอื้อมธารก็ไม่ค่อยจะยอมให้เขาแตะต้องสักเท่าไร แถมก็งานยุ่งเนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างใหม่ นานๆ ครั้งถึงจะมีโอกาส ฉะนั้นพอแต่งงานตติยะจึงขอใช้เวลาส่วนตัวก
สองปีต่อมา...“แซนด์ไปไหน คุณหมอเห็นแซนด์หรือเปล่าคะ”ในงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานของลูกชายคนโตตระกูลเวลเลโอ ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งบนเกาะซึ่งเจ้าของงานเหมาทั้งรีสอร์ตเพื่อรับรองแขกนั้น ร่างบางของเจ้าสาวชุดสวยหรูราวเจ้าหญิงเดินไปทั่วทั้งบริเวณจัดงาน หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้วด้วยใบหน้ากังวล เอื้อมธารถามหมอหนุ่มที่กำลังจะไปนั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนในมุมหนึ่งของรีสอร์ต ทำเอาชายหนุ่มชะงักหันมองอย่างงงๆ เพราะแทนที่จะถามหาเจ้าบ่าวแต่เจ้าสาวกลับถามหาพี่สาว“เปล่าครับ แล้วนี่ซีจะไปไหน น่าจะพักนะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”วิศรุตต์พูดโดยไม่ได้เอ่ยถึงเจ้าบ่าวที่เขาคิดว่ามันคงนั่งร่วมวงอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่อยากเป็นคนชี้โพรงให้กระรอกฤกษ์ส่งตัวนั้นมีไปตั้งแต่เมื่อวานที่กรุงเทพฯ เพราะทั้งสองคนแต่งงานที่บ้านสวนแบบเรียบง่าย รดน้ำทำบุญ มีเพียงแขกผู้ใหญ่และคนสนิทจริงๆ ส่วนงานเลี้ยงมาจัดที่เกาะ ซึ่งเป็นความต้องการของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่ก็อำนวยความสะดวกให้กับแขกที่ได้รับเชิญทั้งไทยและเทศอย่างดี ฉะนั้นคู่บ่าวสาวจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตามฤกษ์ ส่วนบ้านพักของตระกูลนั้นตติยะให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวของเ
เสียงหอบหายใจคละเคล้ากับเสียงเรียกชื่อเขา พร้อมปฏิกิริยาแสนซื่อจากร่างกายของหญิงสาวทำให้คนเจนสนามไหวร่างไม่นับครั้ง สายตาคมจ้องอกอวบสองข้างที่สะท้อนขึ้นลงไว้มั่น ทั้งแรงเสียดสีจากร่างอ่อนนุ่มก็ทำให้กายแข็งแกร่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนสูงลิบแตะเพดาน หัวใจหนุ่มเต้นระส่ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ชายหนุ่มเองก็ยิ่งส่งตัวเองเร็วชนิดลืมโลก เขาไม่เคยคลั่งแบบนี้มาก่อน ลืมไปด้วยซ้ำว่าคนใต้ร่างเขานั้นเพิ่งครั้งแรก เมื่อไม่สามารถรั้งตัวเองได้ตติยะก็วิ่งชนโครมเต็มตัวไม่ยั้ง กระทั่งร่างของคนทั้งสองสะท้านเยือกขึ้นพร้อมกัน ร่างสูงใหญ่เกร็งคำรามพร่าในลำคอดัง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำบิดเหยเกแหงนเงยมองเพดานห้องเอื้อมธารที่กรีดร้องพร้อมตาเบิกโพลงมองภาพชายหนุ่มตรงหน้าด้วยหัวใจที่กระหน่ำแรงโลด รู้สึกรักเขาและภาคภูมิใจในตัวเองอย่างที่สุด หน้าตาท่าทางของอีกฝ่ายแม้จะเหมือนทรมานแสนสาหัสแต่เธอรู้เขาสุขสุดๆ เลยเชียวแหละ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเธอเองก็ไม่ต่างจากเขาเลยความรักกับเซ็กส์บางครั้งมันก็แยกกันไม่ออก เธอเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง การได้มีความสุขกับคนที่รักนั้นคือเซ็กส์ที่สุดยอดจริงๆเมื่อปล่อยกายปล่อยใจตามอารมณ์ปรารถนาแล้วตต
ครึ่งชัวโมงผ่านไปร่างบางก็ออกมาจากห้องพร้อมผ้าขนหนูพันตัวเพราะไม่ได้ถือเสื้อผ้าเตรียมเข้าไป เธอทำใจกล้าก่อนจะมองดูว่าคนตัวสูงใหญ่อยู่ในห้องหรือไม่ เมื่อไม่เห็นก็รีบวิ่งพรวดไปที่ตู้ซึ่งเพิ่งจัดเสื้อผ้าเข้าไปค้นหาของอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่ต้องรีบกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำก่อนที่ตติยะจะเข้ามาทว่าช้าไปแล้ว เพราะประตูห้องเปิดพรวดในขณะที่ร่างสูงในชุดกางเกงเลกับเสื้อแขนตัดฟิตเปรี๊ยะจนเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดแข็งแกร่ง มือใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมก้าวเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มชะงักมองคนร่างบางที่หันมามองเขาตาโต ส่วนหญิงสาวก็สะดุ้งตกใจจนเผลอปล่อยทุกอย่างในมือร่วงลงพื้นตาคมสีอ่อนมองร่างสวยตั้งแต่ใบหน้า ผมเปียกที่ถูกขมวดลวกๆ รุ่ยร่ายตกลงมาระลำคอระหง ไหล่บาง เนินอกอวบขาวนวลเนียนก่อนจะถูกผูกทับไว้ด้วยผ้าขนหนู สายตาเขาจึงไล่ลงล่างอย่างรวดเร็ว ขาขาวกลมกลึงที่โผล่จากผ้าผืนเล็กคลุมสะโพกอย่างหมิ่นเหม่ทำเอาชายหนุ่มกลืนน้ำลายเสียงดังชัดเจน คนที่สบตากับเขาถึงกับตัวสั่นเพราะแววกระหายฉายวาบโชติช่วงอย่างไม่ปิดบัง เอื้อมธารจึงเลี่ยงหลุบตาลงมองเสื้อผ้าแล้วย่อตัวลงหยิบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มีส่วนล่อแห
ขณะนั้นตติยะเริ่มขยับลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้า ทว่าได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงแล้วลุกขึ้นใหม่ มือหนายื่นไปข้างหน้าเพื่อควานหาคนร่างบาง หากก็ต้องล้มอีกครั้งเพราะความรีบร้อนลุยน้ำและมองไม่เห็น แต่ชายหนุ่มก็ยังฝืนลุกขึ้นก้าวเร็วๆ ขึ้นไปบนผืนทรายจนได้ เขาขยี้ตาที่ยังแสบแต่ก็ยังลืมตาไม่ขึ้นจึงได้แต่เดินสะเปะสะปะยื่นมือไปทั่ว“ซี คุณยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ผมเป็นห่วงคุณนะ ตอบผม ให้ผมได้ยินเสียงคุณหน่อย”หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้วยืนมองคนที่ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ในการหาเธออยู่พักใหญ่จนแทบจะทนไม่ไหว มือบางก็ยื่นไปข้างหน้าช้าๆ หากก็ตัดใจลดมือลงในที่สุดและยืนนิ่งอย่างรอคอย ใจเต้นแรงลุ้นระทึกแทบจะกลั้นหายใจ ขอเวลาอีกนิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น‘ก้าวมาสิ มาหาฉัน’เอื้อมธารร้องเรียกอีกฝ่ายอยู่เพียงในใจ“คุณอยู่ที่นี่ใช่ไหมซี”ชายหนุ่มเคลื่อนไหวช้าลง พยายามจับทิศทางก่อนจะขยับไปด้านซ้ายมือเพียงสองก้าวแล้วคว้าหมับ ทำให้ร่างเย็นชื้นหากก็นุ่มนิ่มเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขาเต็มๆ ปากบางสวยก้มลงจูบข้างขมับเธอพร้อมกระซิบต่อว่าเบาๆ ทั้งที่ใจเขาแทบขาดรอน กลัวไปหมดทุกอย่าง“แกล้งผมทำไมฮึ คุณจะฆ่าผมหรือไง ทั้งที่รู้ว่าผมรักคุณ
“บอกอะไรคะ”ชินานางอดถามไม่ได้“ก็พี่ทิมบอกว่า ผู้ชายถ้าได้มีอะไรกับคนที่รักแล้วจะยิ่งรักมากขึ้น ให้ดูพี่เรฟเป็นตัวอย่าง เพราะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเวลาอยู่กับพี่นา แยมไม่ค่อยเชื่อ เพราะพี่เรฟเขาเย็นชา ชอบทำหน้าเฉยตลอด แต่แยมก็เห็นพี่เรฟมองตามพี่นาตลอดเหมือนกัน ตอนเราเล่นน้ำก็มอง แต่พอเห็นความน่ารักของพี่นาเวลาเขินอย่างนี้แยมเข้าใจเลยค่ะ แยมก็ชอบพี่นานะคะ”เอื้อมธารกับชินานางมองคนที่อธิบายเสียงใสแล้วก็มองหน้ากัน โดยชินานางเป็นฝ่ายเขินหลบไปก่อนขณะที่เอื้อมธารคิดตามคำพูดของสาวน้อย เธอเองก็เห็นด้วยเพราะรู้สึกได้ว่า เรฟแสดงออกว่าห่วงใยรักใคร่ชินานางมากกว่านิสัยปกติของเขา คล้ายกับแววตาที่อานินท์มองพี่สาวของเธอ แถมทั้งสองคนยังมีแผนจะแต่งงานกันในอีกหกเดือนข้างหน้า แต่เอื้อมทรายจะยังอยู่กับเธอโดยที่อานินท์ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยส่วนเมื่อคิดถึงแววตาและการเอาใจใส่ดูแลเธอของตติยะก็ไม่ได้น้อยไปกว่าใคร แถมเขายังดูจะตามใจเธอมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ไม่ได้ทำให้เอื้อมธารรู้สึกน้อยหน้าใครๆ แต่อย่างใด“แล้วพี่เรฟ แบบว่ามีเซ็กส์กับพี่นาบ่อยไหมคะ”สาวน้อยจอมซักยังถามต่อ แม้ใบหน้าสวยของตัวเองจะแดงเรื่อขึ้น