ความรู้สึกร้อนไปทั้งตัวแล้ววิ่งขึ้นหน้าแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับชินานางมาก่อน สาเหตุนี้เพราะสายตาของ ‘MIB’ ที่เธอแอบเรียกในใจ ตอนนี้เขาถอดแว่นดำแล้วแถมมักจะจ้องเธออยู่บ่อยครั้ง แววตาสีน้ำตาลไหม้ที่เธอจ้องกลับนั้นไม่เคยหลบเลยสักครั้งจนเธอต้องเป็นฝ่ายหลบไปซะเองทุกที คิดแล้วก็แทบอยากกลับไปอาบน้ำใหม่อีกครั้งทั้งที่อาบไปแล้ว แต่เหงื่อมันซึมมาใหม่เนื่องมาจากแววตาราวกับแผดเผาเธอได้ของเขา
มือบางยกขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ระหว่างที่ทั้งสามรอการตั้งโต๊ะของชมพู่กับแป้นและเด็กรับใช้ภายในบ้านอีกสองคน อาหารมื้อนี้เป็นฝีมือของเธอกับแป้น เนื่องด้วยคุณป้าจิตต์แม่บ้านและแม่ครัวมือหนึ่งกับคุณแม่อรพิมเจ้าของบ้าน ไปถือศีลที่วัดในวันพระและจะกลับมาในวันพรุ่งนี้
“ป้าอรไม่โกรธแย่เหรอ ที่พี่ไม่กลับบ้านสักที” ตติยะเอ่ยถามระหว่างการรอ
“ก็มีงอนบ้างค่ะ ว่าพี่ติวคงมัวแต่หลงสาวๆ จนลืมคนแก่อย่างท่านกับป้าจิตต์ไปแล้ว แต่ก็แค่บ่นๆ น่ะค่ะ ไม่ได้โกรธจริงจังหรอก”
พอมีการพูดคุยเธอก็ค่อยโล่งอกมากขึ้น เพราะไม่ต้องมานั่งเก็บกดทนอึดอัดกับสายตาใครคนหนึ่งแค่อย่างเดียว เพราะหลังจากที่ให้คนช่วยเอากระเป๋าของทั้งสองไปเก็บ พร้อมกับได้พักผ่อนกันเล็กน้อยและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ตติยะก็พาเรฟมาที่เรือนไทยโดยรู้ว่าป้าเขาไม่อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว จึงตั้งใจมาฝากท้องกับหญิงสาวแทน เพราะอย่างไรเสียเขาก็มักจะทานข้าวที่เรือนหลังนี้มาตั้งแต่ครั้งที่เรียนอยู่ที่นี่แล้ว
“ผมไม่ค่อยกินอาหารไทย กินไปแล้วจะปวดท้องไหม” เรฟพูดเบาๆ จะยกมือขึ้นตักกับข้าว
“ไม่หรอกน่า กินไปแล้วจะติดใจ” ตติยะบอกลูกผู้พี่
“แต่คนชินแต่กับอาหารฝรั่ง ทานไปคงไม่ถูกปากหรอกมั้งคะ” เสียงหวานได้ทีกัดคนหน้าเฉยเข้าให้
“ไม่ถูกปากน่ะไม่เท่าไหร่ แต่กลัวท้องเสียนี่สิ” คนหน้าเฉยก็ยังโต้กลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม แต่คราวนี้ไม่มองหน้าเธอเพราะกำลังตักผัดผักมาใส่จานของตน หลังจากเห็นว่าตติยะทานไปแล้วสองสามคำ
“ถ้าไม่แน่ใจ ไม่ต้องทานก็ได้นะคะ” พูดแล้วหญิงสาวก็เม้มปากอย่างสะกดอารมณ์ เรื่องอะไรจะยอมให้ว่าเราได้ฝ่ายเดียว มากินของของเราแล้วยังว่าเราอีก ไม่ต้องกินซะเลยจะดีกว่า เธอคิดอย่างขุ่นเคือง
“จริงๆ ก็ไม่อยากนักหรอก แต่เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีมารยาท เพราะอุตส่าห์ทำมาให้ทานตั้งเยอะ” เขายังพูดต่อเสียงราบเรียบ
“ทำให้พี่ติวต่างหาก“
“เอาน่า...กินกันได้แล้ว อร่อยๆ ทั้งนั้น แถมพี่ชอบทุกอย่างอีกต่างหาก น้องนานี่น่ารักจริงๆ เลย รู้ใจพี่ไปหมดทุกอย่าง”
ตติยะปากหวานหว่านล้อมให้หญิงสาวหันมาสนใจอาหารตรงหน้ามากกว่าทะเลาะกับเรฟ ไม่ใช่อะไรหรอก เขากลัวว่ากับข้าวที่แสนอร่อยทั้งหลายจะจืดชืดหมดเพราะบรรยากาศมันไม่เหมาะกับการรับประทานก็เท่านั้น
“งั้นพี่ติวก็ทานเยอะๆ นะคะ” หญิงสาวหันมามองเขาพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“แน่นอนอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยักคิ้วตักข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์
ผิดกับอีกหนึ่งหนุ่มที่กลับอารมณ์ขุ่นมัวยิ่งขึ้น รู้สึกรำคาญเสียงหวานนั้นอย่างบอกไม่ถูก พี่ติวอย่างนั้น พี่ติวอย่างนี้ตลอดเวลา หากเธอเป็นลูกใหม่ของแม่ เขาสิพี่ชายเธอ
ยิ่งได้รู้ว่าแม่มีคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อ แถมยังมีลูกใหม่แล้วยิ่งทำให้เรฟรู้สึกปวดใจมากขึ้น เขารู้เพียงว่าทั้งคู่ทะเลาะและไม่ลงรอยกัน แม่เกลียดพ่อชนิดไม่คิดจะเผาผี แต่ไม่คิดว่าแม่จะรักและอยู่กับคนอื่นจนลูกโตแล้วขนาดนี้ นั่นหมายความว่า แม่มีคนใหม่หลังจากเลิกกับพ่อไม่กี่ปี
แม่ลืมพ่อได้อย่างรวดเร็ว และคงลืมลูกอย่างเขาไปแล้วด้วยเช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็เหลือบมองไปที่เจ้าของเสียงหวานใส เธอดูน่ารัก สดใส อ่อนโยน เห็นชัดว่าถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักความเอาใจใส่ แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง เขารู้ว่าพ่อรักเขามาก แต่พ่อไม่ได้เลี้ยงเขาด้วยความอ่อนโยน พ่อเลี้ยงให้เขาเข้มแข็ง ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ความอ่อนโยนคือความอ่อนแอสำหรับพ่อ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่รู้จักมัน
แม้ว่าตติยะจะทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยและพูดคุยกับชินานางซะมากกว่า หากแต่อาการของลูกผู้พี่ที่เงียบและดูอึมครึมก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของเขาได้เช่นกัน
การพูดถึงคุณป้าอรพิมทำให้เรฟเจ็บปวด ตติยะรู้อยู่แก่ใจว่าเรฟรู้สึกเช่นไรและต้องการอะไรมาตลอด แม้ว่าภายนอกจะดูเฉยชาและแข็งกระด้าง แต่คนเราทุกคนต้องการ ‘ความรักจากแม่’ ด้วยกันทั้งนั้น และเขาเชื่อมั่นว่าการพบหน้ากันระหว่างเรฟกับป้าอร จะต้องทำให้อะไรๆ หลายอย่างดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะสายใยนั้นอาจจะขาดลงได้ แต่สายเลือดนั้นไม่มีวันตัดขาด
===================
พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนของบ้านสวนสุวรรณกร บดบังแสงอันน้อยนิดริบหรี่ของดวงดาวให้หลบลี้หนีหน้า ร่างสูงใหญ่นอนเหยียดยาวคิดเรื่องของลูกผู้พี่อยู่บนเก้าอี้นอนริมระเบียงห้องนอน พลางแหงนเงยหน้ามองดวงจันทร์สีทองแสนงาม แม้มันจะสดใสโดดเด่นกระจ่างตา หากแต่ก็ไม่เท่ากับรอยยิ้มของใครบางคนที่ตติยะได้เจอในวันนี้ เพราะรอยยิ้มและน้ำเสียงของเธอสว่างไสวยิ่งกว่าหลายเท่านัก
ขณะนี้ในหัวของเขาเริ่มคิดไปถึงใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักของตนเอง ใบหน้าคมหล่อเหลาระบายยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ วันนี้ทำให้เขารู้ซึ้งแก่ใจว่า สิ่งที่เรฟสันนิษฐานนั้นมันผิดถนัด
เขาและเธอยังคงความรู้สึกเดิมที่มีให้กันไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะรู้ว่าเธอมีคนชื่นชอบแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกหึงหรือหวงเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขามีต่อเธอก็คือความห่วงใยเช่นทุกครั้ง และยิ่งเห็นชวินดีต่อเธอมากขนาดนี้เขายิ่งอยากเชียร์ให้เธอตอบรับรักชวินไปซะด้วยซ้ำ เพราะในส่วนลึกเขาอยากให้เธอมีคนดูแลสักที จะได้วางใจว่าเธอมีคนอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องกังวลเรื่องชายหนุ่มที่ถูกตาต้องใจจะเข้ามาเกาะแกะด้วยเจตนาไม่ดีอีกต่อไป
ส่วนเรื่องที่เขาหวั่นเกรงนั้นเอื้อมทรายไม่เอ่ยถึงมันเลย แบบนี้แสดงว่าเธอไม่รู้ว่าคนที่เธอต่อว่าไปเมื่อคืนก่อนเป็นเขา หรือก็คือ เธอจำเขาไม่ได้นั่นเอง
ทั้งสองคุยกันถูกคอเหมือนเช่นเคย รอยยิ้มของเธอก็ยังเป็นเหมือนก่อน เธอยังตีหัวเขา เขายังยีหัวเธอได้เช่นเคย ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปอยู่ในสมัยเรียนอีกครั้ง ทว่าเวลาแห่งความสุขมักจะมีน้อย เพราะหลังจากทานข้าวกันเสร็จ คุยกันได้สักพัก เอื้อมทรายก็มีโทรศัพท์เข้ามาเธอจึงต้องรีบกลับ ก่อนกลับเขาก็เซอร์ไพรส์ด้วยของฝากเป็นซูชิของชอบของเธอกับน้องที่เขาจำได้ให้กลับบ้านไปด้วย ในตอนแรกตั้งใจว่าจะไปส่งแต่ก็ถูกวิชัยโทรตามให้เข้าไปเซ็นเอกสารที่ต้องอนุมัติด่วนจึงต้องให้เธอลงที่ป้ายรถเมล์ เอื้อมทรายไม่คิดอะไรมากอยู่แล้วยอมลงโดยไม่เกี่ยงงอน ก่อนจากเขาให้นามบัตรเธอเอาไว้เพื่อความสะดวกในการติดต่อกัน
ริมฝีปากบางสวยสีสดยกขึ้นกว้างขวางเมื่อนึกถึงคำพูดสุดท้ายของหญิงสาว
‘ไม่ต้องห่วงจ้ะ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนล่ะก็แซนด์จะโทรหาติวคนแรกเลย ก็อุตส่าห์กลับมาให้เรียกใช้บริการแล้วนี่เนอะ ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน’
เอื้อมทรายก็ยังคงเป็นเอื้อมทรายอยู่วันยังค่ำ คำว่าเกรงใจเขา สำหรับเธอนั้นไม่มี เพราะเขาเป็นคนบอกเธอตั้งแต่วันแรกที่พบกันในวันฝนตกหลังจากไปส่งถึงหน้าบ้านว่า ไม่ต้องเกรงใจ ฉะนั้นเธอจึงสนองตอบเขาเช่นนี้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ